"วสันต์" ที่ทักษิณ "แสบ"

ผมลืมนึกถึงท่านไปแล้วนะเนี่ย....

"วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์" อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว!

เห็นมาแถลงข่าวในฐานะ "หัวหน้าทีมทนาย" ให้ นายนิพนธ์ บุญญามณี" รมช.มหาดไทย เมื่อวาน (๑ ก.ย.๖๕)

ก็จำได้ และดีใจ

สิบกว่าปีก่อน เป็นยังไง วันนี้ ท่านก็เหมือนเดิม ไม่แก่-ไม่เฒ่า ไม่ยึดติดหัวโขน เงินไม่มีค่าเท่าสัตย์สุจริต แน่วแน่ในหลักนิติธรรม เป็นที่ประจักษ์

ก่อนรู้จักตัวตนท่านให้มากขึ้น ฟังบางช่วง-บางตอน ที่ท่านแถลง เป็นการเรียกน้้ำย่อยก่อน

".......สาเหตุที่รับคดีของนายนิพนธ์ สู้กับ ป.ป.ช.นั้น เพราะในสังคมมีคนถูกกลั่นแกล้งรังแกพอสมควร หากช่วยพวกพรรคได้ก็ควรช่วย

คนที่รับคดีต้องพิจารณาว่า มันจะมีทางต่อสู้หรือไม่ ถูกแกล้งรังแกหรือไม่

หากนายนิพนธ์เป็นฝ่ายผิด คงไม่รับทำคดีให้ เพราะเสียฟอร์มเปล่าๆ ผมเป็นทนายเงียบๆ ไม่ได้หิวแสงเหมือนกับใคร......."

"............ผมอยู่กระบวนการยุติธรรมเกินครึ่งศตวรรษ มองว่าใครได้รับความเป็นธรรม ใครไม่ได้ความเป็นธรรม รูปคดีเป็นอย่างไร พอมองออก

เมื่อเอาเรื่องมาดูและตรวจสอบเอกสาร เห็นว่านายนิพนธ์ เป็นผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ผมจึงรับเป็นทนายความให้

โดยสรุปเหตุคดี คือ........

"อบจ.สงขลา" ต้องการซื้อรถอเนกประสงค์ ๒ คัน มูลค่า ๔๐ กว่าล้าน ใช้การประมูลเสนอราคาตามขั้นตอน จนกระทั่งทำสัญญา ส่งมอบรถฯ ผู้ขายขอเบิกค่ารถ

ช่วงนั้นมีการร้องเรียนเรื่องฮั้วประมูล ประกอบกับมีการเปลี่ยนตัว " นายก อบจ.สงขลา" เป็นนายนิพนธ์

ปรากฏว่า บริษัทที่ประมูลถูกตรวจพบว่า มีการฮั้วประมูล ผู้ว่าฯ สงขลา สั่งให้ระงับจ่ายเงิน และ อบจ.สงขลาร้อง ป.ป.ช.ว่ามีการฮั้วประมูลด้วย

ขณะที่บริษัทที่ถูกกล่าวหาว่าฮั้วประมูล อัยการก็สั่งฟ้องคดีอาญาต่อศาลทุจริตฯ ภาค ๙

และตัวแทนบริษัทคู่เทียบต่างหลบหนีหมายจับของศาลฯ ไปต่างประเทศหลายรายแล้ว

ขณะที่เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ก็ได้แจ้งความกล่าวโทษบริษัทเหล่านั้นในข้อหาฮั้วประมูลด้วย เบื้องต้น ป.ป.ช.เชื่อว่าบริษัทเหล่านี้มีพฤติกรรมฮั้วประมูลจริง

ส่วนบริษัทที่ประมูลได้ ก็ยื่นฟ้อง "นายก อบจ.สงขลา" ต่อ ป.ป.ช.ว่า "ไม่จ่ายเงินค่ารถ" พร้อมกับไปฟ้องศาลปกครองกลาง แต่ศาลระบุ "ไม่มีหลักฐานว่าฮั้ว" จึงสั่งให้ อบจ.สงขลาจ่ายเงิน

ต่อมา "อบจ.สงขลา" ยื่นฟ้อง "ศาลปกครองสูงสุด" พร้อมหลักฐานเพิ่มเติม เรื่องบริษัทคู่เทียบมีการฮั้วประมูล

โดยคดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของ "ศาลปกครองสูงสุด"

 “ถ้านายก อบจ.สงขลา สั่งจ่ายเงินค่ารถฯ สัญญาที่เป็นโมฆะ ก็ถือว่ามีความผิด เพราะเป็นโมฆกรรม ถือว่าคู่กรณีกลับคืนในฐานะเดิม คือคืนรถกลับไปให้บริษัท แต่นายก อบจ.สงขลาไม่จ่ายเงิน พวกฮั้วประมูลบอกเป็นกลั่นแกล้ง"

ซึ่งอัยการมีคำสั่ง "ไม่ฟ้อง" นายก อบจ.สงขลา

แต่ ป.ป.ช.กลับ "ฟ้อง" คดีนี้เอง!

เราพร้อมสู้กับ ป.ป.ช.และไม่ได้เกรงใจอะไร ยังชื่นชม ป.ป.ช.ชุดนาฬิกายืมเพื่อนด้วย นี่ผมไม่แขวะใคร เพราะข้อเท็จจริงเป็นแบบนี้จริงๆ”

เปิดฉากก็แซ่บ นักข่าวถาม "มั่นใจจะชนะแน่หรือไม่?"

อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญตอบว่า.......

"ถ้าผมไม่มั่นใจ ผมคงไม่รับคดี เอาเรื่องจริงไปสู้กันในศาล เราในฐานะจำเลย ก็เตรียมความพร้อมในทางคดี  ผมและนายนิพนธ์ จะไปตามที่ ป.ป.ช.นัด ในวันที่ ๕ ก.ย.นี้แน่นอน"

"เคลียร์-คัต ชัดเจน" มั้ยล่ะ เมื่อบอก พร้อมชน ป.ป.ช.รับรอง เรื่องนี้ เรตติ้งพุ่งกระฉูดแน่

"๕ กันยา." ที่ ป.ป.ช.แฟนๆ คงตามไปดูกันตรึม!

ทีนี้มาเข้าประเด็น "วสันต์-ผู้เปิดฟ้านิติธรรม" กันบ้าง

จำคดี "ทักษิณซุกหุ้น" ตอนเป็นนายกฯ ปี ๒๕๔๔ กันได้ใช่มั้ย?

แต่บอกก่อน ตอนนั้นท่านวสันต์เป็น "ประธานศาลอุทธรณ์ ภาค ๗" ไม่เกี่ยวกับคดีซุกหุ้นที่ศาลรัฐธรรมนูญ

คดีซุกหุ้นนั้น "ศาลรัฐธรรมนูญ" วินิจฉัยให้ทักษิณ "ไม่ผิด" ด้วยเสียง ๘:๗!

"ทั้งเมือง" วิพากษ์กันอึง "น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ" เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์แนวหน้า

ตุลาการฯ เสียงข้างมาก ๘ คนนั้น ฟ้อง น.ต.ประสงค์และแนวหน้า ข้อหา "หมิ่นประมาท" ที่เขียนว่า

"ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก เขียนคำวินิจฉัยคดีซุกหุ้น เพื่อช่วยเหลือ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรีให้พ้นผิด ถือเป็นการขัดรัฐธรรมนูญ"

ก็สู้กันถึงศาลฎีกา ในที่สุดศาลฎีกายกฟ้อง น.ต.ประสงค์

การที่ ๘ ตุลาการเสียงข้างมาก ฟ้อง น.ต.ประสงค์ ด้วยพยานที่ชื่อ "วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์" ท่านนี้

๘ ตุลาการกลับ "เสียศักดิ์-เสียสถาบัน" เสียเอง

ทักษิณนั้น "ถูกกระชากหน้ากาก" ให้เห็นโฉมหน้าจริง ที่เลวยิ่งกว่าสุดขั้วนรก

มันคืออย่างไร เอางี้ เพื่อตัดครหาบิดเบือนด้วยอคติ

ผมจะเอาจาก "เว็บประชาไท" ที่เขารายงานข่าวในนัดสืบพยานในศาล เมื่อ ๑๓ ต.ค.๔๗ มาให้อ่านกัน เริ่มจาก.....

"นายบัณฑิต ศิริพันธ์" ทนายจำเลย ขอเบิกตัว "นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์" ประธานศาลอุทธรณ์ ภาค ๗ มาเป็นพยานฝ่ายจำเลย

นายวสันต์บอกเหตุจำเป็นต้องมาเป็นพยานให้ฝ่ายจำเลยว่า เพราะศาลอาญาได้ออกหมายเรียก

ส่วนตัวรู้จักกับนายบัณฑิต ศิริพันธ์ ทนายจำเลย (น.ต.ประสงค์) เพราะเคยเป็นทนายอยู่สำนักงานเดียวกันมาก่อน             และรู้จักกับ "นายจุมพล ณ สงขลา" ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (๑ ใน ๘ เสียงข้างมาก) ซึ่งเคยเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกามาก่อน

"ก่อนการลงมติ ในคดีซุกหุ้นของนายกฯ ทักษิณ นายจุมพลเดินทางมาพบที่ห้องทำงานชั้น ๔ ของศาลฎีกา เพื่อมาขอคำปรึกษาว่า

หากจะเขียนคำวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีความผิดในคดีซุกหุ้น เพราะไม่เข้าข่ายมาตรา ๒๙๕ ของรัฐธรรมนูญ จะเหมาะสมหรือไม่"

นายวสันต์ได้สอบถามนายจุมพลว่า "ตกลง "จะอุ้มนายกฯ ทักษิณ" ใช่หรือไม่" นายจุมพลตอบว่า

"ประชาชนกว่า ๑๑ ล้านคน เลือก พ.ต.ท.ทักษิณมาเป็นนายกฯ จะให้เสียงคนไม่กี่คนมาทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณพ้นตำแหน่งได้อย่างไร"

ประธานศาลอุทธรณ์ภาค ๗ ยังเบิกความด้วยว่า เขาได้ทักท้วงนายจุมพลว่า

"เมื่อเป็นผู้พิพากษา ถ้าหากใครทำผิดกฎหมายก็ต้องลงโทษ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม" แต่ก็แนะนำไปว่า

"ถ้าจะ "อุ้ม" ควรจะวินิจฉัยในเรื่องของข้อเท็จจริงของคดี มากกว่าใช้การตีความตามข้อกฎหมาย"

ซึ่งภายหลังจากที่ได้มีการลงมติในคดีซุกหุ้นไปแล้ว ก็ได้พบกับนายจุมพลอีกครั้ง ได้ซักถามว่า "เหตุใดนายจุมพล จึงวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ผิด เพราะไม่เข้าข่ายตามมาตรา ๒๙๕ ของรัฐธรรมนูญ"

ที่ขณะนั้น ตุลาการที่วินิจฉัยในข้อกฎหมายว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ผิด เพราะไม่เข้าข่ายมาตรา ๒๙๕ ถูกวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงกว่าตุลาการที่วินิจฉัยในข้อเท็จจริง

นายวสันต์เบิกความต่อไปว่า....

นายจุมพลได้ให้เหตุผลว่า "ที่ไม่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยข้อเท็จจริง เพราะเกรงว่าจะฝืนกับข้อเท็จจริงที่มีอยู่

ทั้งระหว่างพิจารณาคดีซุกหุ้น นายกล้านรงค์ จันทิก อดีตเลขาธิการ ป.ป.ช.ได้อ้างวารสาร Who is Who ที่ระบุอย่างชัดเจนว่า มีคนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ถือหุ้นเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ

จึงจำเป็นต้องวินิจฉัย โดยอาศัยข้อกฎหมายว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ผิด ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๕"

นายวสันต์ยังเบิกความว่า....

ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นายบัณฑิตฟัง ในการพบกันครั้งหนึ่ง ซึ่งเขาและนายบัณฑิตมักจะนัดพบกันเสมอ เพื่อพูดคุยเรื่องต่างๆ

และได้เล่าให้ "นายกำพล ภู่สุขแสวง" ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกาฟัง เนื่องจากนายกำพล เห็นนายจุมพลเข้าพบตนที่ห้องทำงาน

"ผมคิดไม่ถึงว่าจะมีคดีนี้ ผมจึงพูดให้คุณบัณฑิตฟัง ถ้าผมรู้ ก็คงไม่คุยให้ใครฟังเลย แต่เมื่อทราบจากทนายจำเลยว่า ในสำเนาคำฟ้องหมิ่นประมาท มีการปฏิเสธว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ไม่เคยไปพบกับผู้พิพากษาศาลฎีกาก่อนจะลงมติ จึงต้องมาเป็นพยาน"

ก่อนหน้านี้ ในการสืบพยานในวันที่ ๑๐, ๑๑ และ ๑๓ ส.ค. นายบัณฑิต ทนายจำเลย ยังได้ขึ้นเบิกความเป็นพยานด้วยตนเองว่า

เขาได้พบกับ "นายอุระ หวังอ้อมกลาง" ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (เสียงข้างน้อย-เปลว) นายอุระเล่าให้ฟังว่า

พ.ต.ท.ทักษิณ และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ได้มาพบกับนายอุระ เพื่อขอให้ช่วยเหลือ โดย พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวกับนายอุระว่า ขอคะแนน ๑ เสียง

แล้วลูกชายของนายอุระ ที่ทำงานอยู่กระทรวงการต่างประเทศ จะย้ายไปเป็นเลขาฯ ทูตที่ประเทศไหนก็ได้ หรือจะลาออกจากราชการมาเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทยก็ได้

ในขณะที่นางเยาวภาก็ไปพบนายอุระที่บ้านถึง ๓ ครั้ง แต่นายอุระก็ไม่ได้ลงมติตามที่ถูกร้องขอ

......................

ขอขอบคุณ "ประชาไท" ต่อการที่ผมนำข้อมูลในเว็บท่านมาเผยแพร่ต่อให้สังคมได้รู้จัก "วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์"

และโดยเฉพาะ ....

ได้รู้จักตัวตนแท้จริงของ "ทักษิณและวงศ์วาน" รวมทั้งพรรคไทยรักไทยที่เป็น "พรรคเพื่อไทย" วันนี้                  

ชนิด "แก้ผ้า" กลางแดด!.

คนปลายซอย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ทักษิณ 'รีเทิร์น' นั่งเมือง

วันนี้คุยเรื่อง "หัวเขียง-หัวขวด" พรรคเพื่อไทยกันต่อ ที่เสนอกฎหมายให้ "นักการเมือง" เข้าไป "ควบคุมกองทัพ"

ร่างฯ 'หัวขวด' เพื่อใคร?

"นักการเมือง" คือคนโง่ เพราะทำอะไรก็ยาก มีกฎหมายหลักคือรัฐธรรมนูญ และกฎหมายลูกคือ พ.ร.บ.ต่างๆ

'Grab rider ต้วง'

ดู "นาฬิกากรรม" แล้ว ก็อยากบอกว่า.... ช่วงนี้ ใครมีธุระอะไร ก็ไปทำซะให้เสร็จ ยังพอมีเวลา