เป็นครั้งแรกที่เราได้ยินจากปากของรัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย Sergei Kuzhugetovich Shoigu ว่าเป็นความจริงที่กองกำลังรัสเซียในสมรภูมิยูเครนได้ชะลอการรุกคืบ
แต่ไม่ใช่เพราะความเพลี่ยงพล้ำหรือผิดพลาด
แต่เป็นเพราะรัสเซียไม่ต้องการให้เกิดความเสียหายต่อพลเรือนต่างหาก
แปลว่ามอสโกก็มีความกังวลเกี่ยวกับการที่จะถูกกล่าวหาว่ามีการโจมตีในบางจุดที่ไปโดนเป้าเหมายพลเรือน มิใช่เพียงการทำลายกองกำลังหรือที่ตั้งทางทหารของฝ่ายตรงกันข้ามเท่านั้น
ถ้าถามข่าวกรองตะวันตกและยูเครนก็จะได้ข้อมูลหรือการตีความคนละแบบ
เพราะฝ่ายยูเครนเชื่อว่าในช่วงหลังนี้ทหารรัสเซียเริ่มจะล้า, ระส่ำระสาย และไร้ทิศทาง
จึงทำให้เริ่มจะเป็นฝ่ายตั้งรับมากกว่าจะเป็นฝ่ายบุก
อีกทั้งในช่วงหลังนั้นก็ไม่สามารถยึดดินแดนของยูเครนเพิ่มจากเดิม
ตรงกันข้ามกลับถูกฝ่ายยูเครนบุกยืดเอาพื้นที่คืนในหลายๆ จุด
ไม่ว่าความเป็นจริงในสนามรบจะเป็นอย่างไร ผมเชื่อว่าเดือนกันยายนที่จะถึงนี้จะเป็น “จุดหักเห” ของสงครามยูเครนสำหรับทั้ง 2 ฝ่าย
เพราะต่างฝ่ายต่างต้องการจะ “ปิดเกม” การสู้รบก่อนที่จะเข้าสู่หน้าหนาว
ฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาที่เป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดสำหรับการสู้รบ
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัสเซียหรือยูเครน
รัสเซียกลัวว่าเมื่อหิมะลง การเคลื่อนทัพของรัสเซียก็จะยากเย็นยิ่งขึ้น
สำหรับยูเครนแล้ว หน้าหนาวแปลว่าจะต้องการก๊าซเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับครัวเรือนทั่วประเทศ
แต่เมื่อไม่มีก๊าซปริมาณเพียงพอ อีกทั้งยังถูกรัสเซียตัดต่อส่งก๊าซเป็นการลงโทษเพิ่มด้วย ก็จะเกิดปัญหาความยากเข็ญทั้งสำหรับทหารและพลเรือนอย่างหนัก
ดังนั้นเราจึงได้ยินประธานาธิบดีเซเลนสกีของยูเครนออกมาตอกย้ำว่าสงครามจะต้องจบโดยเร็วที่สุด
และจะต้องยึดดินแดนที่รัสเซียกำลังควบคุมอยู่ให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุดอีกด้วย
ด้านรัสเซียนั้น ปูตินก็เดินหน้าเปิดศึกทุกแนวรบในยูเครน เพราะต้องการจะเผด็จศึกให้ได้ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า
สงครามย่างเข้าเดือนที่ 7 แล้ว ยาวนานกว่าที่วางแผนเอาไว้มากโขอยู่
ยิ่งมีเสียงประกาศดังๆ จากเซนเลนสกีว่าจะต้องเอาดินแดนทั้งหมดกลับไปเป็นของยูเครน รวมถึงแหลมไครเมียทางใต้ด้วยก็ยิ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องระดมสรรพกำลังเพื่อจัดการให้ทหารยูเครนหมดสภาพของการสู้รบให้โดยเร็ว
เป็นที่มาของการที่มีข่าวว่าปูตินได้ลงนามขยายกองทัพรัสเซีย ปรับกำลังเป็น 2.04 ล้านคน เพื่อการศึกยูเครนโดยเฉพาะ
เป็นคำสั่งของปูตินที่ลงนามในกฤษฎีกาขยายขนาดกองทัพรัสเซีย จากจำนวน 1.09 ล้าน เพิ่มอีกกว่า 137,000 นาย
ซึ่งต้องถือว่าเป็นการขยายกำลังพลจำนวนมากผิดสังเกต
นี่ย่อมถือว่ารัสเซียประกาศให้ประเทศตกอยู่ในภาวะสงครามเต็มรูปแบบแล้ว
จึงสามารถจะสั่งขยายจำนวนทหารได้อย่างมีนัยสำคัญเช่นนั้น
เหตุผลสำคัญประการหนึ่งก็คือ สงครามยูเครนดำเนินมาเข้าสู่เดือนที่ 7 แล้ว แต่ยังไม่สัญญาณใดๆ ที่บ่งชี้ว่าสงครามจะจบลงในเร็ววัน
จึงต้องปรับแผนเพื่อรับสถานการณ์ของสงครามยืดเยื้อข้ามปี...แม้ว่าเป้าหมายเฉพาะหน้าจะต้องการให้ปิดเกมให้ได้ในไม่กี่เดือนข้างหน้า
เมื่อไม่มีฝ่ายใดกำหนดทิศทางของสงครามได้ ก็เท่ากับว่ารัสเซียต้องทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อให้พร้อมสำหรับทุกสถานการณ์
ปูตินออกคำสั่งอย่างนี้ตีความได้หลายทาง
เช่น อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความสูญเสียของกองทัพรัสเซียในสมรภูมิยูเครนที่ค่อนข้างหนัก
หากเป็นไปตามสถิติของฝ่ายข่าวกรองอังกฤษและยูเครน ทหารรัสเซียได้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 40,000 คน และบาดเจ็บในจำนวนพอๆ กัน
อีกสาเหตุหนึ่งที่สะท้อนถึงการพลาดเป้าหมายของสงครามฝ่ายรัสเซียคือ การที่ถึงวันนี้ยังไม่สามารถเข้ายึดกรุงเคียฟ และล้มรัฐบาลของเซเลนสกีตั้งแต่เปิดศึกมาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
กฤษฎีกาขยายขนาดกองทัพจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคมที่จะถึงนี้
โดยจะมีการเพิ่มจำนวนกำลังพลทหารในการรบ 137,000 นาย รวมเป็น 1.15 ล้านนาย
นี่ย่อมไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมดา ถือเป็นการขยายกำลังพลครั้งใหญ่ของรัสเซีย
เพราะครั้งสุดท้ายที่มีการตัดสินใจทำเช่นนั้นคือเพิ่มกำลังพล ก็คือปี 2560
ตอนนั้นเพิ่มอัตรากำลังทหาร 13,698 นาย และอัตราเจ้าพนักงานที่ไม่ใช่ทหารอีก 5,357 นาย
ตั้งแต่เกิดสงครามเป็นต้นมา รัสเซียยังไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะว่าได้สูญเสียทหารจำนวนมากน้อยเพียงใดในสงครามยูเครน
มีแต่ข่าวกรองจากฝั่งตะวันตกเท่านั้นที่อ้างตัวเลขสูญเสียของฝั่งรัสเซีย แต่ไม่อาจจะยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าถูกต้องแม่นยำเพียงใด
เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหราชอาณาจักรออกมาระบุว่า รัสเซียสูญเสียทหารภาคพื้นของตนไป “กว่า 1 ใน 3” ของที่ตนมีอยู่ตั้งแต่เริ่มสงคราม
วิลเลียม เบิร์นส์ ผู้อำนวยการซีไอเอของสหรัฐฯ ออกมาระบุเมื่อเดือนก่อนว่า รัสเซียอาจสูญเสียทหารของตนในยูเครนไปประมาณ 15,000 นาย “และอาจบาดเจ็บมากกว่านั้นประมาณ 3 เท่าตัว”
ก่อนหน้าที่ปูตินจะออกคำสั่งเพิ่มกำลังพลครั้งนี้ เป็นที่รู้กันว่ารัสเซียใช้วิธีขยายกำลังด้วยการเพิ่มการเกณฑ์ทหารใหม่
วงการตะวันตกเรียกมันว่าเป็นการ “การระดมพลอย่างเงียบๆ และลับๆ”
วิธีการนี้ก็คือการที่ให้ฝ่ายบริหารของภูมิภาคต่างๆ ของรัสเซียประกาศจัดตั้ง “กองพันอาสาสมัคร” ด้วยการเซ็นสัญญาระยะสั้นแบบมีค่าตอบแทนให้กับผู้ชายวัย 18-60 ปี
เหตุที่เกิดความจำเป็นต้องระดมพลครั้งใหม่ เพราะแม้กลุ่มทหารรับจ้าง Wagner ของรัสเซียเองก็กำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนกำลังพลด้วยเช่นกัน
น่าสังเกตว่านักการทูตระดับสูงของรัสเซียบอกสื่อ The Financial Times ของอังกฤษเมื่อเร็วๆ นี้ว่ามอสโกยังมองไม่เห็นหนทางทางการทูตเพื่อยุติสงครามยูเครน
รัสเซียเชื่อว่าสงครามอาจจะยืดเยื้อและกินเวลาไปอีกยาวนาน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ยุทธศาสตร์ของรัสเซียก็คือการปรับทัพใหม่ ระดมกำลังพลทดแทนที่สูญเสีย และหากไม่สามารถเผด็จศึกในหน้าหนาวนี้ ก็เตรียมการสำหรับการทำสงครามลากยาวข้ามปี
ยังไม่มีใครเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลยจริงๆ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ