หากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เตรียมจะมากรุงเทพฯ และอินโดนีเซียในปลายปีนี้ตามที่เป็นข่าว ก็น่าจะเป็นความเคลื่อนไหวที่มีความสำคัญต่อภูมิรัฐศาสตร์และเกมการเมืองยักษ์ใหญ่ไม่น้อย
และอาจจะมีการนัดพบระหว่างผู้นำจีน กับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ แบบ “ตัวเป็นๆ” อีกด้วย
เพราะเป็นจังหวะที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งมากมายหลากหลาย
และตัวละครหลักก็คือผู้นำจีนและสหรัฐฯ นี่แหละที่ต้องหาทางออกร่วมกันเพื่อป้องกันไม่ให้โลกไปยืนอยู่ตรงปากเหวของสงครามนิวเคลียร์ดั่งที่เรากำลังเห็นภาพอยู่ขณะนี้
ข่าวของ Wall Street Journal เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน บอกว่าเจ้าหน้าที่จีนกำลังเตรียมงานสำหรับการเดินทางไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เพื่อเข้าร่วมประชุม 2 เวทีปลายปีนี้
หากเป็นไปตามข่าวนี้จริง การเดินทางครั้งนี้ของ สี จิ้นผิง จะเป็นการเยือนต่างประเทศครั้งเเรกของผู้นำจีนในรอบเกือบ 3 ปี
และถ้าได้พบกับไบเดน ก็จะเป็นการร่วมหารือกันตัวต่อตัวครั้งเเรกตั้งแต่ที่ไบเดนปฏิญาณตนรับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ
2 คนนี้พูดคุยกันครั้งล่าสุดผ่านวิดีโอออนไลน์ยาวนานกว่า 2 ชั่วโมง
เป็นช่วงก่อนที่จะเกิดกรณี แนนซี เพโลซี, ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ, ไปเยือนไต้หวันจนเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตจนถึงวันนี้
ก่อนจะออกเดินทางมาไทยและอินโดฯ ปลายปีนี้ ภารกิจที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับ สี จิ้นผิง วัย 69 ปี คือการประชุมใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ที่มีวาระการประชุมสำคัญที่สุดคือการต่ออายุการเป็นผู้นำของประเทศไปอีก 1 สมัย อันเป็นสมัยที่ 3
หากไม่มีมติพรรคออกมาอย่างจะแจ้งระหว่างตุลาคมและพฤศจิกายนปีนี้ สี จิ้นผิง คงไม่เดินทางไปไหน
ดูเหมือนไม่มีใครสงสัยว่าการยืนยันความเป็นผู้นำต่อเนื่องของ สี จิ้นผิง จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ไม่เพียงแต่เท่านั้น ยังมีการเปลี่ยนตัวบุคคลในระดับกรมการเมือง หรือ Politburo ของพรรคอีกหลายคน
เพราะบางคน เช่น นายกฯ หลี่ เค่อเฉียง จะหมดสมัยการทำหน้าที่ของตัวเอง
ใครเป็นใครในตำแหน่งทรงอิทธิพลที่สุดของพรรคคอมมิวนิสต์จีน 7 คน จึงเป็นหัวข้อที่ทั้งโลกต้องจับตาเป็นพิเศษ
หากทุกอย่างเป็นตามที่วางแผนเอาไว้ สี จิ้นผิง ก็จะมาจะเกาะบาหลีของอินโดเนียเซียที่เป็นเจ้าภาพการประชุมจี 20 วันที่ 15-16 พฤศจิกายน
หลังจากนั้นเพียง 2 วัน เขาก็จะบินต่อมาที่กรุงเทพมหานคร เพื่อร่วมประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หรือ APEC
ข่าวของ Wall Street Journal แจ้งว่า การพบกันระหว่างสีและไบเดนอาจเกิดขึ้นในการหารือนอกรอบที่ G-20 หรือ APEC
สื่ออเมริกันนี้บอกว่า ได้สอบถามไปยังกระทรวงต่างประเทศจีนถึงรายละเอียดของเรื่องนี้ ได้รับคำตอบเพียงว่า
"จีนสนับสนุนอินโดนีเซียและไทย ในฐานะเจ้าภาพการประชุมทั้ง 2 และเต็มใจที่จะทำงานร่วมกับทุกฝ่ายเพื่อส่งเสริมให้การประชุมเกิดผลเชิงบวก"
ขณะที่ผมเขียนอยู่นี้ยังไม่มีการยืนยันจากทั้งรัฐบาลจีนและรัฐบาลสหรัฐฯ
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวไม่ยอมให้ความเห็นเรื่องนี้
แต่แหล่งข่าวจากรัฐบาลสหรัฐฯ บอกว่าผู้นำทั้ง 2 ได้หารือกันถึงความเป็นไปได้ที่จะพบกันตัวต่อตัวระหว่างการโทรติดต่อกันก่อนหน้านี้
และเห็นพ้องกันว่าจะให้เจ้าหน้าที่ของแต่ละฝ่ายประสานงานกันเกี่ยวกับรายละเอียดในลำดับต่อไป
ประเด็นของบทบาทประเทศไทยในเรื่องนี้จึงสำคัญขึ้นมาทันที
เพราะหากมีความเป็นไปได้ว่า สี จิ้นผิง กับ โจ ไบเดน นัดพบกันในวาระที่ว่านี้ รัฐบาลไทยก็น่าจะพยายามประสานกับทั้ง 2 ฝ่ายให้มาพบกันที่กรุงเทพฯ
เพราะจะเป็นการตอกย้ำว่า ประเทศไทยเราเป็น “เวทีแห่งการพูดจาเรื่องสันติภาพโลก” ได้อย่างดียิ่ง
หากไบเดนมาจริง ก็จะมีเหตุโยงไปถึงการที่สหรัฐฯ จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอด APEC ปีหน้าต่อจากประเทศไทย
แต่เดือนพฤศจิกายนนี้ก็เป็นจังหวะสำคัญสำหรับการเมืองในบ้านของไบเดน
เพราะเป็นวันเลือกตั้งกลางเทอมที่มีสัญญาณว่าพรรคเดโมแครตของไบเดนอาจจะเสี่ยงถูกแย่งที่นั่งไปหลายๆ รัฐ
การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐปีนี้จะมีขึ้นในวันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน
เป็นการเลือกตั้งที่มีความสำคัญสำหรับไบเดนมาก
เพราะประชาชนคนอเมริกันจะไปหย่อนบัตรเลือกตั้งสำหรับที่นั่งทั้งหมด 435 ที่นั่ง ในสภาผู้แทนราษฎร และ 35 ที่นั่งจาก 100 ที่นั่งในวุฒิสภา
วันนี้พรรคเดโมแครตมีเสียงข้างมากเล็กน้อยในสภาล่างและเป็นเบี้ยล่างในสภาบน
ดังนั้นไบเดนจึงต้องอยู่ “เฝ้าบ้าน” ในช่วงก่อนวันเลือกตั้ง และต้องประจำการอยู่ทำเนียบขาวในวันเลือกตั้งกลางเทอมอย่างใจจดใจต่อทีเดียว
หากผลการเลือกตั้งออกมาไม่ทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคเดโมแครตเสียหายมากนัก ไบเดนก็อาจจะยังตัดสินใจบินมาบาหลีและกรุงเทพฯ
แต่หากมีเหตุการเมืองที่ทำให้ไบเดนตกที่นั่งลำบาก เพราะผลการเลือกตั้งทำให้เสียที่นั่งใน 2 สภามากเกินไป ไบเดนก็อาจตกที่นั่งลำบากในบ้าน
แต่หากทั้งสีและไบเดนมาบาหลีและกรุงเทพฯ จริง ประเทศไทยเราควรจะต้องเริ่มวางแผนจะจัดให้ “3 ผู้ยิ่งใหญ่” มาคุยกันนอกรอบ
นั่นคือต้องไม่ลืมแจ้งกับประธานาธิบดีปูตินว่าท่านตัดสินใจมากรุงเทพฯ ได้แล้ว
เพราะจะได้ตั้งวงกับสี จิ้นผิง และโจ ไบเดน ถกแถลงเรื่องสงครามยูเครน, เกาะไต้หวัน, วิกฤตเศรษฐกิจและวิถีทางหลีกเลี่ยง “สงครามนิวเคลียร์” อันไม่พึงปรารถนา!
(รัฐมนตรีต่างประเทศ ดอน ปรมัตถ์วินัย บอกนักข่าววันก่อนว่า ปูตินยังไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธที่จะมาร่วมประชุม APEC...ได้เวลาที่ไทยกับอินโดฯ จะประสานมือกับจัดการประชุมสุดยอดระดับโลกให้เป็นที่เอิกเกริกได้เลย).
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ
แหล่งค้ามนุษย์ใน 3 เหลี่ยมทองคำ
เขตเศรษฐกิจพิเศษหรือ SEZ บริเวณสามเหลี่ยมทองคำที่โยงกับไทยนั้นกลายเป็นประเด็นเรื่องอาชญกรรมข้ามชาติที่สมควรจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยอย่างจริงจัง
ไบเดนหรือทรัมป์? เอเชียน่าจะเลือกใครมากกว่า?
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าการดีเบตระหว่างโจ ไบเดน กับโดนัลด์ ทรัมป์ วันนี้ (เวลาอเมริกา) จะไม่ให้ความสำคัญต่อเอเชียหรืออาเซียน
พรุ่งนี้ ลุ้นดีเบตรอบแรก โจ ไบเดนกับโดนัลด์ ทรัมป์
ผมลุ้นการโต้วาทีระหว่างโจ ไบเดน กับโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (27 มิถุนายน) เพราะอยากรู้ว่า “ผู้เฒ่า” สองคนนี้จะมีความแหลมคมว่องไวในการแลกหมัดกันมากน้อยเพียงใด
เธอคือ ‘สหายร่วมรบ’ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค NLD คนสุดท้าย!
อองซาน ซูจีมีอายุ 79 ปีเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา...และยังถูกจำขังในฐานะจำเลยของกองทัพพม่าที่ก่อรัฐประหารเมื่อกว่า 3 ปีที่แล้ว