ดูเหมือนว่าความพยายามที่จะให้ได้จำนวน ส.ส. มากในระดับ Landslide หรือชนะแบบถล่มทลายนั้นกำลังจะสัมฤทธิผลจนสลิ่มทั้งหลายหดหู่ท้อแท้ เพราะกลัวจะได้นายกรัฐมนตรีหญิงอีกคน ไม่ได้ดูถูกหรอกนะ แต่ดูประสบการณ์แล้ว ที่ผ่านมาพี่คิด น้องทำ เราเจอกับอะไร มาคราวนี้พ่อคิด ลูกทำ จะนำพาประเทศชาติไปในทางไหน ด้วยเหตุนี้สลิ่มทั้งหลายเลยไม่สบายใจกับการย่างก้าวสู่ชัยชนะแบบ Landslide ตามเป้าหมายของนายใหญ่ผู้เป็นเจ้าของคอก
บันไดขั้นที่ 1 มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจทุกครั้งที่เปิดสมัยประชุม แต่ก็ไม่สามารถเด็ดหัวนายกรัฐมนตรีที่ชื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้ เพราะไม่มีเรื่องทุจริตเชิงประจักษ์มากล่าวหานายกรัฐมนตรี
และในทุกข้อกล่าวหาของพวกเขานั้น กลับกลายเป็นโอกาสให้นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงในลักษณะแถลงผลงานให้ประชาชนได้รับรู้ว่าได้ทำงานอะไรไปบ้าง และหลายเรื่องที่เป็นข้อกล่าวหาของพวกเขา ก็เป็นการขว้างงูไม่พ้นคอ เพราะคำกล่าวหาหลายเรื่องมันโดนนายใหญ่เจ้าของพรรคของพวกเขาเอง
บันไดขั้นที่ 2 พวกเขาต้องการให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ แยกระหว่าง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เพราะว่าในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วด้วยบัตรใบเดียวแล้วคำนวณหาจำนวน ส.ส.พึงมีนั้น พวกเขาไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อแม้แต่คนเดียว แกนนำคนสำคัญของพรรคที่อยู่ในบัญชีรายชื่อไม่ได้เข้าสภาแม้แต่คนเดียว จึงทำให้เขาพยายามที่จะให้มีการแก้รัฐธรรมนูญให้มีการเลือกตั้งด้วยบัตร 2 ใบ เพราะเขาเคยชนะแบบถล่มทลายมาแล้วด้วยการเลือกตั้งด้วยบัตร 2 ใบ ตามแนวทางที่เขาว่า The winner takes all. คือ ผู้ชนะกวาดเรียบทั้ง ส.ส.เขตและ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ทำให้สามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยคะแนนจากพรรคอื่น การเอาพรรคอื่นเข้ามาเสริมก็เป็นเพียงสร้างความมั่นคงให้กับรัฐบาลเท่านั้น และสิ่งที่ประชาชนได้เห็นก็คือ “เผด็จการรัฐสภา” เพราะว่านายทุนเจ้าของพรรคสั่งได้ทุกอย่าง ส.ส.ไม่มีเอกสิทธิ์ในการลงคะแนนเสียง
บันไดขั้นที่ 3 เขามั่นใจมากว่าเมื่อมีการเลือกตั้งด้วยบัตร 2 ใบ พวกเขาจะได้คะแนนมามาก และเขาต้องการให้ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อจำนวนมาก โดยกันไม่ให้พรรคเล็กได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ จึงต้องการให้ใช้สูตรจำนวนผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งหาร 100 ที่จะทำให้การจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน จะต้องได้คะแนนเสียงประมาณ 300,000 ถึง 400,000 คะแนน แต่ถ้าหากใช้สูตรหาร 500 การจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อจะต้องใช้คะแนนเพียง 70,000 กว่าๆ เท่านั้น ถ้าจะต้องให้ได้คะแนนมากกว่า 300,000 จึงจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน พรรคเล็กทั้งหลายน่าจะหายไปจากการเมืองของประเทศไทย เพราะที่ผ่านมานั้นพรรคเล็กที่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อนั้น บางพรรคได้คะแนนไม่ถึง 70,000 ด้วยซ้ำ ที่เราเรียกขานกันทุกวันนี้ว่า “ส.ส.ปัดเศษ” ตอนนี้สลิ่มบางคนเมื่อรู้ว่าพวกเขาจะใช้สูตรหาร 500 กันก็ปลอบใจตนเองว่าก็ดีเหมือนกัน ส.ส.ปัดเศษบางคนจะได้ไม่มีโอกาสเข้าสภา เพราะที่ได้เข้ามาแล้วในตอนนี้ก็มีพฤติกรรมที่ประชาชนไม่ปรารถนาและเอือมระอาอยู่เหมือนกัน
บันไดขั้นที่ 4 ที่กำลังพยายามอยู่ในตอนนี้ก็คือ ต้องการให้นายกรัฐมนตรีครบการดำรงตำแหน่ง 8 ปีในวันที่ 24 สิงหาคม 2565 นี้ ทั้งๆ ที่เวลานี้นักกฎหมายหลายคนก็ตีความต่างกัน บางคนก็นับตั้งแต่ปี 2557 ที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีจากการแต่งตั้งของ คสช. ถ้านับแบบนี้ พลเอกประยุทธ์ก็จะต้องพ้นตำแหน่งปีนี้ บางคนก็บอกว่าเวลานั้นยังไม่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จึงจะนับตอนนั้นไม่ได้ ต้องนับตั้งแต่ปี 2560 ที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ถ้าหากนับแบบนี้ พลเอกประยุทธ์ถ้าหากได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อก็จะพ้นตำแหน่งในปี 2568 เป็นการอยู่ไม่ครบวาระ บางคนก็บอกว่าต้องนับตั้งแต่ปี 2562 ที่พลเอกประยุทธ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีจากการลงคะแนนเสียงของสภา ประธานรัฐสภาทูลเกล้าฯ ถวายรายชื่อพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี และเมื่อมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ก็มีประธานรัฐสภาเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ เมื่อมีการตีความต่างกันเช่นนี้ วิธีที่ดีที่สุดคือการส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ
แต่ก็มีคนที่น่าจะกลัวว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตีความให้พลเอกประยุทธ์สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ถึงปี 2568 หรือ 2570 จึงพยายามกดดันให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาตนเอง ไม่ต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ต้องรู้ด้วยตนเอง แล้ว “เสียสละ” ลาออกไปเอง เมื่อนายกรัฐมนตรีบอกว่าท่านจะรอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ก็มีความพยายามที่จะกดดันศาลรัฐธรรมนูญด้วยการเอารายงานประชุมที่มีการออกความคิดเห็นกันไปต่างๆ นานาในการตีความเรื่อง 8 ปี ไปเอาการเสนอความคิดเห็นที่ไม่ใช่มติของที่ประชุมมาบอกว่าจากความเห็นดังกล่าวนั้น เป็นการผูกมัดว่าพลเอกประยุทธ์จะต้องพ้นตำแหน่งปี 2565 นี้ จนเจ้าตัวที่ถูกอ้างถึงได้ออกมาอธิบายว่าในการประชุมมีการพูดกันหลายคน และเป็นเพียงความคิดเห็น ไม่ได้เป็นมติ และไม่มีการเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ และยังพูดอีกว่า อย่าดูเฉพาะมาตรา 158 ที่กำหนดเอาไว้ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีเกิน 8 ปีไม่ได้ ไม่ว่าจะต่อเนื่องหรือไม่ต่อเนื่องก็ตาม ต้องดูมาตราอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบด้วย
สำหรับเรื่องนี้ นอกจากจะเอารายงานการประชุมมาเผยแพร่กันให้ว่อนใน Social Media แล้ว เหล่าบรรดาสื่อมวลชนที่เลือกข้างสนับสนุนพรรคใหญ่ที่ต้องการ Landslide ก็เอาไปขยี้ละเลงกันใหญ่ ทั้งๆ ที่เจ้าตัวที่ถูกกล่าวถึงว่าเป็นผู้แสดงความคิดเห็นได้ออกมาอธิบายแล้ว แต่ก็ไม่นำพา ก็ยังพยายามที่จะกดดันให้พลเอกประยุทธ์ลาออกเอง หรือใช้รายงานการประชุมมีบันทึกความคิดเห็นที่ไม่ใช่มติมากดดันศาลรัฐธรรมนูญ พวกเขาคิดแต่เรื่องการจะเปลี่ยนขั้วอำนาจเอานายกรัฐมนตรีที่ชื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกไป เพื่อให้พวกเขาได้เข้ามาแทน ด้วยการกล่าวหาว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่มา 8 ปีไม่มีผลงาน ไม่รู้ว่าพวกเขามองไม่เห็นจริงๆ หรือว่าเขาเห็น แต่ก็จงใจบิดเบือนความจริง ดังนั้นเรื่อง Landslide ยังคงมีเครื่องหมาย ???? นี้อยู่นะ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ลัคนาธนูกับเค้าโครงชีวิตปี 2568
ยังอยู่ในช่วงเจ็ดปีของการเปลี่ยนแปลงใหญ่สุขภาพอนามัย-หนี้สิน-ลูกน้องบริวาร และเกือบตลอดปีผู้หลักผู้ใหญ่อวยสถานะ-ยศ-เงินทองให้ แต่มีช่วงซ้อมรับทุกข์และการได้ความผิดที่ไม่ได้ก่อ
ดร.เสรี ลั่นรังเกียจ วาทกรรมแซะสถาบัน
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสารโพสต์เฟซบุ๊กว่า เกิดวาทกรรมใหม่ "ใบอนุญาตที่ 2"
เด็กฝึกงาน...ไม่ผ่านโปร
ฉากทัศน์ทางการเมืองของประเทศไทยหลังจากรู้ผลของการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เป็นภาพที่สร้างความกังวลให้กับคนไทยจำนวนมากที่ไม่ได้เลือกพรรคส้มหรือพรรคแดง
'ความเป็นไทย' กับกรณีน้ำท่วมภาคเหนือ-ภาคใต้
ถึงแม้จะก่อเกิด ถือกำเนิด ที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี...แต่ด้วยเหตุเพราะไปเติบโตที่ภาคใต้ ไม่ว่าเริ่มตั้งแต่อำเภอทุ่งสง จังหวัดหน่ะคอนซี้ทำหมะร่าด ไปจนอำเภอกันตัง
ได้ฤกษ์ 'นายพล' ล็อต 2
ผ่านเดดไลน์ตามคำสั่ง ผบ.ต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้ทุกหน่วยส่งบัญชีข้อมูลผู้เหมาะสมเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น
'ดร.เสรี' กรีดเหวอะ! ใครมีลูกสาวเก่งพอที่จะเป็นนายกฯ ต้องบอกลูกให้มีผัว 9 คนอยู่ใน 9 ภาค
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสารโพสต์เฟซบุ๊กว่า ใครมีลูกสาวที่เก่งพอที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ต้องบอกลูกนะคะ