การที่กลุ่มเด็กๆ สามกีบขยัน Post ขยัน Share ขยัน Retweet ขยันปั้น Hashtag จนทำให้คนจำนวนหนึ่งคิดว่าคนกลุ่มนี้คงจะมีมากเหลือเกิน ถ้าหากเป็นการตลาดก็คือทำให้คนมองว่าตลาดนี้เป็น A large segment ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นจำนวนมาก
คนที่เป็นพวกเดียวกับสามกีบก็เกิดอาการลำพอง ผยองว่ากลุ่มของตนเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศไทย
ส่วนคนที่อยู่ตรงกันข้ามกับกลุ่มสามกีบหลายคน พอเห็นข้อความของสามกีบเป็น Viral messages อยู่บนพื้นที่ Social media เป็นจำนวนมาก ก็ตกอกตกใจคิดว่าประเทศไทยแย่แล้ว
เด็กๆ เป็นพวกที่ไม่มีความภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นจำนวนมาก จนน่าตกใจว่าขบวนการล้มเจ้ากำลังรุกคืบประเทศไทย ลืมไปว่าบนพื้นที่ online นั้นสามารถปั่นตัวเลขได้ คนคนเดียวอาจจะมี Social media หลาย page และอาจจะอยู่บนพื้นที่หลาย platforms และอาจจะเป็นคนที่ share ข้อความของตนเองไปยัง platforms เดียวกัน หรืออาจจะส่งไปยัง platforms อื่นๆ ที่ต่างกัน ก็เลยดูว่า “มีจำนวนมาก” แต่เราจะดูเฉพาะปรากฏการณ์บนพื้นที่ Social media ที่เป็นปรากฏการณ์ online เท่านั้นไม่ได้ เราต้องบูรณาการปรากฏการณ์ offline เข้ามาด้วย จึงจะเห็นภาพของความเป็นจริง ลองมาดูกันว่าปรากฏการณ์ offline ที่แสดงให้เห็นว่าคนกลุ่มสามกีบที่ทำตัวเป็นปรปักษ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์มีไม่มากนั้น มีอะไรบ้าง
- พรรคการเมืองที่เอาคนกลุ่มนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคน Gen Y และ Gen Z ได้ ส.ส.เขตน้อยมาก
- การชุมนุมแต่ละครั้งมีคนมาร่วมด้วยจำนวนน้อยมาก และจำนวนลดลงเรื่อยๆ
- เมื่อพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ไปในทางเดียวกับกลุ่มสามกีบส่งคนลงเลือกตั้งซ่อม แพ้ตลอด แม้แต่ในพื้นที่เดิมที่เขาครองตำแหน่งอยู่
- เมื่อกลุ่มการเมืองที่แสดงจุดยืนชัดเจนว่าเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์ส่งคนลงเลือกตั้งเป็นนักการเมืองระดับท้องถิ่น ปรากฏว่าแพ้หมดในทุกจังหวัด
- เมื่อพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองที่แสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์ไปหาเสียงหรือไปพบปะกับประชาชน ก็จะถูกขับไล่ด้วยเพลงหนักแผ่นดิน
- เมื่อมีการชวนกันแต่งตัวตามใจ (private) ไปโรงเรียน ปรากฏว่าในวันนั้นมีเด็กที่เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวเป็นจำนวนน้อยมากๆ บางโรงเรียนไม่ถึง 10 คนด้วยซ้ำ
- เมื่อมีการล่ารายชื่อให้สนับสนุนการยกเลิกมาตรา 112 ปรากฏว่าจำนวนคนที่มาร่วมลงคะแนนเสียงน้อยมาก ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้
- การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสนอโดยพรรคการเมืองและกลุ่มประชาชนที่เป็นปฏิปักษ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์ ถูกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสภาตีตกหมด
- จำนวนเด็กๆ ที่มาชุมนุมลดลงเรื่อยๆ จนต้องไปอาศัยพวกแว้น (ที่อายุมากกว่าเยาวชน) และนักชุมนุมหน้าเก่าๆ มาร่วมขบวนการด้วย และต้องทำทุกอย่างเพื่อหาทางเอาชนะ
- การกระทำที่ป่วนบ้านเมือง ก่อกวนชาวประชาให้ได้รับความเดือดร้อนนั้น สุดท้ายชาวบ้านก็ไม่พอใจ และร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการต่อสู้กับผู้ชุมนุมจนต้องล่าถอย
เหตุการณ์ offline ทั้งหมดนี้ ถ้าหากนำมาบูรณาการกับปรากฏการณ์ online ของชาวสามกีบ เราก็จะรู้ว่าพวกเขาเป็นเพียงกลุ่ม Active minority ที่ส่งเสียงอยู่บนพื้นที่ Social media แต่คนไทยที่ยังจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเป็น Silent majority ที่มีความอดทน ไม่ออกมาสร้างความขัดแย้งให้ประเทศชาติวุ่นวาย แต่เมื่อมีความพยายามของคนที่เคยแสดงศักยภาพในการเอาชนะการเมืองออกมาเล่นด้วย พลังเงียบก็จะไม่เงียบต่อไป นายใหญ่ก็คงใช้ปรากฏการณ์ online ตัดสินใจที่จะเอาคะแนนเสียงจากชาวสามกีบ
- เริ่มต้นด้วยการออกมาพูดว่าหมดเวลา Gen B ต้องยกเรื่องบ้านเมืองให้ Gen Y (ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เป็น Gen B แต่ก็ยังไม่เลิกยุ่งการเมือง แต่จะให้คนอื่นเขาเลิกยุ่ง)
- พูดจาเอาใจ Gen Y ว่าผู้ใหญ่ต้องลงมาเจรจากับพวก Gen Y ต้องฟังความคิดความอ่านของพวกเขา (แต่ตัวเองก็ยังเล่นการเมืองแบบเดิมๆ ในเรื่องเนื้อหา เปลี่ยนแปลงแค่การใช้เทคโนโลยี)
- จากนั้นก็เปลี่ยน Color Scheme ของพรรคให้เหลือแต่แดงและขาว เอาน้ำเงินออก (หลายคนเขาก็ตีความในลักษณะที่ว่าเอาน้ำเงินออกหมายถึงอะไร)
- ส่งลูกสาว Gen Y ลงมาในสนามการเมือง ได้ตำแหน่งแบบข้ามหัวคนอื่นๆ ในพรรคที่ทำงานให้พรรคมาหลายปี (หลายคนมองว่าจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ไม่เข็ดนะ ใจร้ายจริงๆ)
- ที่เล่นใหญ่จริงๆ ก็ตรงที่ผู้ใหญ่ที่มีตำแหน่งสำคัญในพรรคออกแถลงการณ์ชัดเจนว่าต้องแก้มาตรา 112 ด่าทั้งกฎหมาย และคนในกระบวนการยุติธรรมในการใช้กฎหมายฉบับนี้ สร้างวาทกรรมว่ามาตรา 112 ทำให้มีการขัง “นักโทษทางความคิด” (หลายคนมองว่าเป็นวาทกรรมดัดจริต เพราะคนที่คิดไม่ดี แต่ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ไม่มีใครถูกขัง ที่ถูกขังนั้นเพราะกระทำผิดกฎหมาย)
มาถึงตรงนี้ พลังเงียบไม่อาจจะเงียบอีกต่อไป ออกมาถล่มแบบเสียหายทั้งพรรค จนต้องออกมาพลิกลิ้นว่ายังไม่ได้ต้องการแก้หรือยกเลิกมาตรา 112 เพียงแต่จะขอทำหน้าที่เอาเรื่องนี้ไปพูดกันในสภา นายใหญ่ก็ออกมาพูดอ้อมแอ้มว่ามาตรา 112 นั้น ตัวบทกฎหมายไม่มีปัญหาอะไร ปัญหาเกิดจากคนที่เอามาบังคับใช้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้พวกสามกีบไม่พอใจ เพราะทั้งพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง และชาวสามกีบที่ร่วมขบวนการเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น มีปัญหาตั้งแต่เนื้อหาแล้ว ไม่ได้มีปัญหาแค่การนำเอามาบังคับใช้ สุดท้ายสองพรรคที่เคยเป็นแนวร่วมในการถล่มรัฐบาลก็ต้องหันหลังให้กันแล้ว พรรคหนึ่งต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง อีกพรรคหนึ่งต้องการชนะเลือกตั้ง เพื่อให้ได้อำนาจมาทำสิ่งที่จะเป็นประโยชน์กับตน ทั้งสองพรรคมีความคิดที่จะทำอะไรเพื่อประชาชนบ้างหรือไม่ เป็นผู้แทนราษฎรกันมาสองปีกว่าแล้ว พอจะบอกได้ไหมว่าทำอะไรให้ประเทศชาติ ให้ประชาชนบ้าง นอกจากมุ่งหาทางให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อประโยชน์ของตนเอง
การขยับตัวครั้งนี้ของพรรคใหญ่ที่นายใหญ่คิดว่าตัวเองเก่งหนักหนา ก็พลาดจนได้ เพราะให้ความสำคัญกับปรากฏการณ์ online มากไปหน่อย ลืมไปว่ายุคนี้เป็นยุคบูรณาการ (integration) ต้องใช้ทั้งข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ online และ offline เข้าด้วยกันในการตัดสินใจ บางครั้งคนที่คิดว่าตัวเองเก่ง ทันสมัย ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้เหนือใคร ก็สามารถตัดสินใจผิดพลาดได้ เพราะมองข้ามเหตุการณ์ offline ที่มีความเป็นเรื่องจริง (reality) มากกว่าเหตุการณ์ online ที่หลายอย่างเป็นเหตุการณ์เสมือน (Virtual) 555.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มาเป็นชุด! 'ดร.เสรี' ฟาดคนโอหัง ความรู้ไม่มี ทักษะไม่มี ไร้ภาวะผู้นำ น่าสมเพชอย่างแท้จริง
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า เตือนก็แล้ว ตำหนิก็แล้ว ต่อว่าก็แล้ว เยาะเย้ยก็แล้ว ล้อเลียนก็แ
ข้าอยากได้อะไร...ข้าต้องได้
เราคนไทยมักจะอ้างว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐ มีการบริหารกิจการต่างๆ ภายในประเทศตามหลักการของนิติธรรม แต่สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเวลานี้ หลายคนเริ่มตั้งข้อสงสัยว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐจริงหรือ
เมื่อ 'ธรรมชาติ' กำลังแก้แค้น-เอาคืน!!!
เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กรมอุตุนิยมวิทยาของบ้านเรา...ท่านเคยคาดๆ ไว้ว่า ฤดูหนาว ปีนี้น่าจะมาถึงประมาณปลายสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนตุลาคม
จ่ายเงินซื้อเก้าอี้!
ไม่รู้ว่าหมายถึง "กรมปทุมวัน" ยุคใด สมัยใคร จ่ายเงินซื้อเก้าอี้ ซื้อตำแหน่ง ในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ ตามที่ "ทักษิณ ชินวัตร" สทร.แห่งพรรคเพื่อไทย ประกาศเสียงดังฟังชัดในระหว่างขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงช่วยผู้สมัครนายก
ช่วงเค้าลางคดีสำคัญของนายกรัฐมนตรีก่อตัวในดวงเมือง
ขอพักการทำนายเค้าโครงชีวิตคนปี 2568 ไว้ชั่วคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคิวที่รออยู่คือท่านที่ลัคนาสถิตราศีตุล
ดร.เสรี ยกวาทะจัญไรแห่งปี 'เขาเว้นเกาะกูดให้เรา'
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า ประโยควาทะอัปรีย์จัญไรแห่งปี "เขาเว้นเกาะกูดให้เรา" แสดงว่าเขาเมตตาเราสินะ เราต้องขอบคุณเขา สำนึกบุญคุณเขาใช่ไหม