ถามหน่อยครับ
หาร ๑๐๐ กับ หาร ๕๐๐ ทำให้ประเทศไทยมีผู้แทนราษฎรที่มีคุณภาพมากขึ้นหรือเปล่า?
ถ้าหารแล้วเราได้ผู้แทนฯ ไม่โกงไม่กิน ก็ควรสนับสนุนสุดลิ่มทิ่มประตู
แต่หารแล้วเป็นเรื่องความได้เปรียบในการเลือกตั้งของพรรคการเมือง แล้วประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร
นอกจากหารแล้วใครได้เปรียบเสียเปรียบ รัฐสภาไทยได้คิดเรื่องปฏิรูปการเมือง ให้มี ส.ส.น้ำดีเต็มสภาบ้างหรือเปล่า
ก็อ้างได้ครับว่า การแก้กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. กับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล หรือการตรวจสอบการทำงานรัฐบาลของฝ่ายค้าน เป็นคนละเรื่องกัน
แต่คนที่จะมาเป็นรัฐบาล หรือฝ่ายค้านมาจากการเลือกตั้ง ส.ส.นี่ซิครับ ฉะนั้นจะบอกว่าไม่เกี่ยวกันเลยคงไม่ได้
เกมชิงไหวชิงพริบ เข้าข่ายทำลายความน่าเชื่อถือของสภาหนักเข้าไปทุกที
ตามข่าวบอกว่าสาเหตุที่ประชุมร่วมรัฐสภาล่มเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม มีสาเหตุมาจาก ส.ส.พลังประชารัฐ และ ส.ส.เพื่อไทย อยู่ในห้องประชุมกันน้อย เนื่องจากไม่ต้องการให้องค์ประชุมครบ
เพราะ ส.ส.ทั้งสองพรรคไม่ต้องการให้ใช้สูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อหารด้วย ๕๐๐ จึงเล่นเกมล่มสภามันซะเลย
๑๕ สิงหาคมนี้ หากพิจารณาไม่ทัน ร่างกฎหมายก็ตกไป ส่วนจะกลับไปใช้ร่างฉบับเดิมที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอจริงหรือไม่ ก็ยังเป็นปัญหาว่าใช่หรือเปล่า?
แต่...ก่อนจะไปถึงจุดนั้น คุณหมอระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ บอกว่ามีคำสั่งให้ ส.ส.กลับบ้านเพื่อทำให้สภาล่ม
"...ไม่คิดว่าจะมีการเล่นเกมใต้โต๊ะ ชกใต้เข็มขัด ทำในสิ่งที่ไม่ควรจะทำ ทำให้รัฐสภาเสื่อมเสีย แต่เท่าที่ทราบคือมีพรรคร่วมรัฐบาลพรรคหนึ่งออกคำสั่งให้ ส.ส.ในพรรคเซ็นชื่อเสร็จแล้วกลับบ้านได้เลย
แต่เมื่อ ส.ส.บางคนไม่ทำ ยังอยู่ร่วมประชุม ก็ยังมีตัวแทนมาไล่ ส.ส.ให้กลับบ้าน อ้างว่านายสั่งให้กลับ มีหลายคนมาเล่าให้ฟัง
แม้กระทั่ง ส.ส.พรรคเล็กบางคนก็ยังถูกตัวแทนคนดังกล่าวมาสั่งให้กลับบ้านเช่นกัน เนื่องจากเป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่จึงทำให้ ส.ส.หายไปจำนวนมาก จนในที่สุดรัฐสภาก็ล่ม
สภาล่มไม่ได้เกิดจากเหตุสมาชิกไม่ครบแบบทั่วไป แต่เกิดจากการเล่นเกมของพรรคใหญ่อันดับหนึ่งและสอง ที่สมาชิกไม่ยอมแสดงตนร่วมประชุม มีความพยายามคว่ำการประชุมให้ได้ เพื่อที่กฎหมายลูกจะไม่สามารถมีโอกาสเข้าสภาได้ และต้องย้อนกลับไปใช้สูตรคำนวณหาร ๑๐๐ ตามร่างที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นเข้ามาในตอนแรก
การกระทำเช่นนี้ผมรับไม่ได้ ถ้ามาเล่นนอกกติกาแบบนี้ ไม่ใช่วิธีที่ลูกผู้ชายทำกัน...”
ถ้าจริงตามนี้บรรเทิงครับ!
ไม่ต้องมีสภาก็ได้มั่ง?
หน้าที่หลักของสมาชิกรัฐสภาคือ การทำหน้าที่นิติบัญญัติ
ออกกฎหมาย
วันดีคืนร้ายมีคนมาบอกว่าไม่ต้องทำหน้าที่แล้วให้กลับไปนอนบ้าน น่าจะให้กลับยาวจริงๆ
มีสภาก็ไม่อยากจะทำหน้าที่
ครั้นสภาไม่มีเพราะถูกยึดไป ก็โอดครวญไม่มีสนามให้เล่น
ตกลงจะเอาไง?
เข้าใจครับว่านักการเมืองอยากได้กฎหมายเลือกตั้งที่ตรงใจตัวเองมากที่สุด แต่การออกกฎหมายไม่ใช่เล่นขายของ ลมเพลมพัดไม่ได้
ที่จริงมันผิดตั้งแต่แก้รัฐธรรมนูญแล้ว ระบบเลือกตั้งหากไม่ดีควรจะมีการศึกษาข้อดีข้อเสียให้รอบคอบก่อน จากนั้นค่อยหาวิธีแก้ไขเพื่อให้การเลือกตั้งสะท้อนความต้องการของประชาชนมากที่สุด
ไม่ใช่ให้ถูกใจนักการเมืองมากที่สุด
ประเทศไทยผ่านการเลือกตั้งมาแล้วทั้งสิ้น ๒๘ ครั้ง
ผ่านระบบเลือกตั้งมาแล้วนับสิบวิธี
ในทางทฤษฎี การเลือกตั้่งบ่อยๆ น่าจะทำให้ได้ ส.ส.ที่มีคุณภาพมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะประชาชนได้เรียนรู้ว่าควรเลือกคนแบบไหนเป็นผู้แทนฯ
แต่ในทางปฏิบัติ ก็อย่างที่เห็น
ทีนี้มาถึงอีกปัญหา หากร่างกฎหมายเลือกตั้งตกไปเพราะพิจารณาไม่ทันในวันที่ ๑๕ สิงหาคม จะกลับไปใช้กฎหมายฉบับไหน?
คำอธิบายของ "คำนูณ สิทธิสมาน" สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) น่าจะชัดเจนที่สุด
"...เพราะบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องคือมาตรา ๑๓๒ (๑) ไม่ได้เขียนไว้อย่างนี้ “….ให้รัฐสภาประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายในเวลาหนึ่งร้อยแปดสิบวัน….. ถ้าที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาพิจารณาไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบตามร่างที่เสนอตามมาตรา ๑๓๑”
ไม่มีคำว่า "ร่างของคณะรัฐมนตรี" เลยนะ มีแต่ "ร่างที่เสนอตามมาตรา ๑๓๑" เท่านั้น ทีนี้ก็ต้องย้อนขึ้นไปดูมาตรา ๑๓๑ ชัดๆ
มาตรา ๑๓๑ กล่าวถึงร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าสามารถเสนอได้ ๒ ทาง คือ
(๑) คณะรัฐมนตรี โดยข้อเสนอแนะของศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง
(๒) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
ทั้งนี้โดยข้อเท็จจริง ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้มีการเสนอเข้ามาทั้งหมดถึง ๔ ร่าง แม้จะมีหลักการใกล้เคียงกัน แต่ในรายละเอียดปลีกย่อยย่อมมีความแตกต่างกัน
๑.ร่างที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี ตามข้อเสนอของ กกต.
๒.ร่างที่เสนอโดยพรรคเพื่อไทย
๓.ร่างที่เสนอโดยพรรคพลังประชารัฐและพรรคร่วมรัฐบาล
๔.ร่างที่เสนอโดยพรรคก้าวไกล
ร่างที่ ๑ เป็นร่างตามมาตรา ๑๓๑ (๑) ร่างที่ ๒, ๓ และ ๔ เป็นร่างตามมาตรา ๑๓๑ (๒) โดยทั้ง ๔ ร่างล้วนเป็น "ร่างที่เสนอตามมาตรา ๑๓๑" ตามความตอนท้ายในมาตรา ๑๓๒ (๑) ทั้งสิ้น
รัฐสภาพิจารณาทั้ง ๔ ร่างพร้อมกันในวาระที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ และมีมติรับหลักการทั้ง ๔ ร่าง
และแม้รัฐสภาจะมีมติให้ใช้ร่างที่ ๑ เป็นร่างหลักในการพิจารณาชั้นกรรมาธิการ แต่รัฐธรรมนูญก็ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในมาตรา ๑๓๒ (๑) กรณีรัฐสภาพิจารณาไม่แล้วเสร็จภายใน ๑๘๐ วันแต่ประการใด
ถ้ารัฐสภาพิจารณาไม่แล้วเสร็จภายใน ๑๘๐ วัน แล้วที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ในมาตรา ๑๓๒ (๑) ว่าให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบตาม "ร่างที่เสนอตามมาตรา ๑๓๑" จะเกิดคำถามใหญ่ขึ้นมาทันทีว่า…ในกรณีนี้คือร่างไหนใน ๔ ร่าง? ด้วยเหตุผลใด?
เท่าที่สอบถามในประเด็นนี้ มีข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ.๒๕๖๓ ข้อ ๑๐๑ เขียนรายละเอียดไว้แล้วว่า ในกรณีนี้ให้ถือว่าร่างที่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาคือร่างหลักในการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ..."
ก็หาร ๕๐๐ นั่นแหละครับ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บ้านพิษส่องหล้า
นานๆ ทีถึงจะได้เปิดใช้ บ้านพิษณุโลกครับ วานนี้ (๒๖ กันยายน) "มาดามแพ" นำทีมที่ปรึกษา ๕ อรหันต์ทองคำ เปิดบ้านพิษณุโลก ประชุมเรื่องการบ้านการเมือง
'พรรคส้ม' พี่เก๋าหรอ
หันหัวเรือกลับเรียบร้อย... พรรคเพื่อไทยใส่เกียร์ถอย ไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เลวลงใน ๖ ประเด็นแล้ว
ไม่ใช่จุดยืน เป็นวิถีชีวิต
ไม่ง่ายเสียแล้วครับ... พรรคภูมิใจไทยประกาศจุดยืนสวนทางกับพรรคเพื่อไทยในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นั่นหมายความว่าโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะบรรลุเป้าหมายต้องออกแรงเพิ่มอีกหลายเท่า
ชำระบัญชีแค้น
ว่องไวเชียว... วันที่ ๑ ตุลาคมนี้ รัฐบาลเขาจะสุมหัวแก้ไขรัฐธรรมนูญกันแล้วครับ "บิ๊กอ้วน-ภูมิธรรม" จะนั่งหัวโต๊ะ เรียกพรรคร่วมรัฐบาลมาถามว่าจะเอาไงใน ๒ ประเด็น
สภาฯ จะไปทั้งยวง
ระวังจะพังทั้งสภาฯ เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญครับ เป็นที่ชัดเจนชนิดไม่แคร์ใคร พรรคเพื่อไทย เสนอ ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ทั้งสิ้น ๖ ประเด็น ประกอบด้วย
ทักษิณ 'ริ' เพื่อไทย 'ยำ'
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญครับ แต่มีการวางแผนมาอย่างแยบยล นับแต่ "ทักษิณ ชินวัตร" เดินทางกลับไทยจวบจนถึงวันนี้ จากนักโทษชาย จนได้รับใบบริสุทธิ์ แต่ไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว ทุกอย่างยังเป็นไปตามแผน