การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เกิดขึ้นทุกครั้งที่กฎหมายเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้าน ที่มีพฤติกรรมเป็นฝ่ายแค้นเสียมากกว่า สำหรับในครั้งที่ผ่านมาอาจจะเรียกได้ว่าเป็นการทวงแค้นครั้งสุดท้าย มีการโฆษณาเชิญชวนประชาชนติดตามด้วยโปสเตอร์ที่น่าสนใจเหมือน
หนังนักสืบของเกาหลี และใช้ถ้อยคำที่ฟังดูดุเดือดมาก นั่นคือ “เด็ดหัว สอยนั่งร้าน” แต่คำว่า “นั่งร้าน” ที่พวกเขาหมายถึงรัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะคนที่เป็นหัวหน้าพรรค แต่คำนี้กลับเตือนใจผู้คนให้คิดถึงนั่งร้านหลังกระสอบข้าวในโกดังเก็บข้าวที่ชาวนาเอามาจำนอง
เป็นการชี้ให้เห็นว่ามีการทุจริตจำนวนข้าวที่ปรากฏในบัญชีการจำนองของชาวนา ดังนั้นคำดังกล่าวนี้กลายเป็นศรที่ย้อนกลับไปยิงหัวของฝ่ายที่อภิปรายนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ถูกมองว่าเป็นนั่งร้านเสียมากกว่า และหัวที่ถูกเด็ดนั้น ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี แต่กลายเป็นหัวของใครบางคนที่อยู่แดนไกล
ในที่สุดการอภิปรายที่เป็นการทวงแค้นครั้งสุดท้าย ก็จบลงโดยที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้กันทุกคน แม้ว่าจะได้คะแนนไม่เท่ากัน แต่ก็ไม่มีใครที่มีคะแนนเฉียดฉิว แม้คนที่ได้คะแนนน้อยที่สุดก็ไม่ได้เฉียดฉิวแต่อย่างใด นอกจากจะสามารถผ่านการซักฟอกได้แล้ว ฝ่ายรัฐบาลยังได้โอกาสในการแถลงผลงานอีกด้วย ทั้งนี้เพราะข้อกล่าวหาที่ฝ่ายค้านนำมาอภิปรายนั้น หลายเรื่องเป็นเพียงวาทกรรมที่หาความจริงเชิงประจักษ์มาสนับสนุนไม่ได้ หลายเรื่องก็เป็นข้อมูลที่ผิดพลาด ไม่รู้ว่าไม่หาข้อมูลให้ดีพอ หรือจงใจที่จะบิดเบือน ไม่ว่าข้อมูลที่ผิดพลาดจะมีที่มาที่ไปอย่างไร ประชาชนก็มองว่าฝ่ายค้านทำงานไม่ดีพอ ข้อมูลไม่แน่น ไม่สามารถหาความจริงเชิงประจักษ์มาเล่นงานรัฐบาลได้ และข้อกล่าวหานั้นก็กลายเป็นการหยิบยกประเด็นออกมาให้ฝ่ายรัฐบาลได้โอกาสในการแถลงผลงาน แม้ว่าจะมีรัฐมนตรีบางคนตอบได้ไม่กระจ่างนัก แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดจะเด็ดหัวหรือสอยนั่งร้านได้อย่างที่คุยเอาไว้
แม้ว่าดาวสภาฝ่ายค้าน จะใช้ลีลาและวาทกรรมอย่างดุเดือดเพียงใด ก็ไม่สามารถเด็ดหัว สอยนั่งร้านได้สำเร็จ สำหรับแฟนคลับของฝ่ายค้าน พวกเขาจะมองว่าบรรดา ส.ส.ที่ยกมือให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกคนผ่านนั้นไม่ฟังเสียงประชาชน ก็ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงประชาชนกลุ่มไหนที่พวกเขาต้องการให้ ส.ส.ทั้งหลายฟังและยกมือให้ถูกใจประชาชน แล้วแฟนคลับของรัฐบาลที่มองว่าฝ่ายค้านยังทำงานไม่ดีพอ และฝ่ายรัฐบาลชี้แจงได้ดีเพียงพอที่จะผ่านนั้นเล่า พวกเขาไม่ใช่ประชาชนหรือไร ถ้าหาก ส.ส.เขาจะฟังประชาชนกลุ่มนี้จะได้ไหม เขาผิดไหม ถ้าหากเขาจะฟังประชาชนกลุ่มนี้ หรือจะต้องฟังเฉพาะประชาชนที่เป็นแฟนคลับของฝ่ายค้านเท่านั้น เพราะพวกเขาเป็น “ประชาชน” แบบนี้แล้วยังจะเรียกตัวเองว่าเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” อีกหรือ
คำว่า “นั่งร้าน” และข้อกล่าวหาว่า “พลเอกประยุทธ์อยู่ 8 ปีไม่มีผลงาน” ตลอดจนข้อกล่าวหาว่า “มีการทุจริต” นั้น นอกจากจะไม่ระคายผิวนายกรัฐมนตรีแล้ว วาทกรรมและข้อกล่าวหาที่สาดออกไปนั้นกลับไปโดนคนหนีคุกไปอยู่แดนไกลอย่างจัง เพราะ “นั่งร้าน” คือส่วนหนึ่งของการทุจริตของคนแดนไกล มีคนเอาผลงาน 8 ปีของลุงตู่กับผลงานมากกว่า 10 ปีของรัฐบาลก่อนหน้านี้ว่าใครสร้างผลงานมากกว่ากัน และยังนำเอาตัวเลขของความเสียหายหลายแสนล้านจากการทุจริตของนายกรัฐมนตรีก่อนหน้าที่ลุงตู่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ทุกอย่างเป็นความจริงเชิงประจักษ์ ดูได้จากคำพิพากษาของศาล ดังนั้นหัวที่ถูกเด็ดจึงไม่ใช่หัวลุงตู่ เพราะกระสุนที่สาดมานั้น ไม่ได้กระทบลุงตู่แต่อย่างใด แต่มันทำให้คนแดนไกลหัวขาด
การร่ายยาวด่าลุงตู่ พร้อมกับสรรเสริญคนแดนไกลของฝ่ายค้านนั้นเป็นเรื่องที่สวนกับความจริงเชิงประจักษ์ ถ้อยคำที่ร่ายยาวมานั้น มันคือการสร้างวาทกรรมด่าลุงตู่ พยายามจะด้อยค่าลุงตู่ว่าเป็นคนโง่ เป็นคนไม่เก่ง เป็นคนไม่มีภาวะผู้นำ เป็นคนนำพาประเทศชาติล้มเหลว ประชาชนเดือดร้อนจากเศรษฐกิจ และล้มตายจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 การร่ายยาวเช่นนี้ทำให้มีคนเอาประวัติความเก่งของลุงตู่ออกมาฉายกันเต็มพื้นที่ Social Media ขณะเดียวกัน เรื่องใหญ่ 2 เรื่อง คือ เรื่องการจัดการกับโควิด และการบริหารเศรษฐกิจในยามวิกฤตที่หยิบยกมาเล่นงานลุงตู่นั้น ไม่ใช่ความฉลาดอะไรเลย เพราะทั้ง 2 เรื่องที่ว่านี้ลุงตู่ทำได้ดี มีตัวเลขเชิงประจักษ์ ทั้งสถิติภายในประเทศ การจัดอันดับของต่างประเทศ ยกย่องประเทศไทยว่าสามารถจัดการกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ดีเป็นอันดับ 1 ของโลก และเป็นประเทศที่จะฟื้นตัวด้านเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว จำนวนนักท่องเที่ยว รายได้จากการท่องเที่ยว การเติบโตของการส่งออก เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เป็นตัวเลขที่แสดงให้เห็นความสำเร็จในการบริหารบ้านเมืองของลุงตู่
แม้จะมีปัญหาเรื่องราคาน้ำมันและราคาสินค้าที่แพงขึ้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการเด็ดหัวลุงตู่ได้ เพราะปัญหาดังกล่าวนี้เป็นเรื่องที่สามารถอธิบายได้ เป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผล เพราะสถานการณ์ดังกล่าวนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และไทยเราก็สามารถจัดการได้ดีกว่าประเทศอื่น ราคาน้ำมันก็ไม่ได้แพงไปกว่าประเทศอื่น ยังถูกกว่าอีกหลายประเทศ ที่สำคัญคือยังมีให้เติม ราคาสินค้าที่แพงขึ้น หากดูตัวเลขเงินเฟ้อ เราก็มีอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าอีกหลายๆ ประเทศ ประชาชนฟังคำอธิบายของรัฐบาลก็เข้าใจ พวกเขาจึงมองว่าฝ่ายค้านยังทำการบ้านมาไม่ดีพอ การอวดอ้างความฉลาดของคนแดนไกลนั้น ลุงตู่สวนกลับได้เจ็บแสบดีว่า "ถ้านายของสูเจ้าฉลาดจริง ก็ต้องหาทางกลับประเทศไทยได้"
นอกจากเนื้อหาแล้ว ถ้อยคำและลีลาที่ใช้ในการอภิปรายของ ส.ส.บางคนก็หยาบคาย ต่ำตม แบบที่ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เรียกตัวเองว่า “ผู้ทรงเกียรติ” จะใช้ภาษาและลีลาอย่างที่ได้เห็นนั้น นอกจากนั้นแล้วมีการนำสิ่งของมาเป็นองค์ประกอบในการอภิปรายที่ดูเป็นเรื่อง “เล่นๆ” มากกว่าที่จะเป็นเรื่องของการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล และบางอย่างก็เอามาใช้แบบไม่ถูกต้อง ข้อมูลไม่ดีพอ และที่ประชาชนรับไม่ได้เลยก็คือการวางดอกไม้จันทน์ที่ป้ายชื่อนายกรัฐมนตรี มันเป็นการกระทำที่ไร้จริยธรรม และเป็นการกระทำที่ไม่มีมารยาท คนที่คิดเป็นและมีคุณสมบัติของผู้ดี เขาคงไม่ทำกันแบบนี้ ขอบคุณที่ทำให้พวกเราได้เห็นผลงานของรัฐบาล และคิดว่าลุงตู่คงอยู่อีกนาน นั่งร้านยังไม่พัง หัวยังไม่ขาดนะ...ขอบอก.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
4 กลุ่มชั่วน่ากลัวเป็นนักหนา กลุ่มที่ 5 ยิ่งน่าสยอง
ณ เวลานี้ หลายคนมองประเทศไทยด้วยความห่วงใยว่า ประเทศไทยของเราที่เป็นที่ชื่นชมของชาวโลก ทั้งการลงทุน การทำมาค้าขาย การเข้ามาพำนักยามชรา และการมาท่องเที่ยว
ลิ้นงู...ที่อยู่ในปากงู!!!
ถึงแม้นจะพะงาบๆ อยู่ห่างๆ...ไม่มีโอกาสได้ลงลึก เจาะลึก ในรายละเอียด ด้วยเหตุเพราะสุขภาพ สังขาร ร่างกาย และอาจด้วยความห่างเหิน ห่างหาย กับใครต่อใครมานานแสนนาน
ตั้ง 'นายพัน' สีกากีเริ่ม
อะไรจะเร็วขนาดนั้น! โผแต่งตั้ง "ตำรวจ" ระดับ "นายพันสีกากี" เริ่มขยับนับหนึ่งกันแล้ว ทั้งๆ ที่ระดับ "นายพล" ล็อตแรก ระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.)
ลัคนาตุลกับเค้าโครงชีวิตปี2568
ยังอยู่ในช่วงเจ็ดปีที่มีระยะแตกแยกพี่น้อง หรือเพื่อนสนิท หรือยุ่งยากมรดก-การเงิน
มาเป็นชุด! 'ดร.เสรี' ฟาดคนโอหัง ความรู้ไม่มี ทักษะไม่มี ไร้ภาวะผู้นำ น่าสมเพชอย่างแท้จริง
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า เตือนก็แล้ว ตำหนิก็แล้ว ต่อว่าก็แล้ว เยาะเย้ยก็แล้ว ล้อเลียนก็แ
ข้าอยากได้อะไร...ข้าต้องได้
เราคนไทยมักจะอ้างว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐ มีการบริหารกิจการต่างๆ ภายในประเทศตามหลักการของนิติธรรม แต่สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเวลานี้ หลายคนเริ่มตั้งข้อสงสัยว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐจริงหรือ