เรื่่องดีที่ไม่ต้องจ้างลง

วันนี้ "โซเชียลมีเดีย" พรึ่บไปด้วย "ข่าวมงคล" ๒ ข่าว

ข่าวแรก..........

เป็นภาพ-ข่าววันเฉลิมพระชนมพรรษา "พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว" รัชกาลที่ ๑๐

และการถวายพระพรจากคณะรัฐบาล คณะบุคคล และบุคคลผู้จงรักภักดีทั้งหลาย

อีกข่าวหนึ่ง คือข่าวอากงฮาตาริ "จุน วนวิทย์" บริจาคเงิน ๙๐๐ ล้านบาทให้มูลนิธิรามาธิบดี

เมื่อข่าวการบริจาคเผยแพร่ออกไป ก็เกิดกระแสชื่นชมโพสต์สรรเสริญอากง "จุน วนวิทย์" ผู้วิจัย-พัฒนา พัดลม "ฮาตาริ" ตั้งแต่ "ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ" ด้วยตัวท่านเอง

จนฮาตาริ "แบรนด์ไทย" แค่เบอร์ ๑ ความแรงก็หอบเอาพัดลม "แบรนด์นอก" ปลิวกระเจิงไปจากตลาดไทย

อย่าว่าแต่พัดลมด้วยกันเลย....

ขนาด "เจ้าเมือง" ออกว่าราชการ เปิดประตู-หน้าต่างทุกบานให้ลมโกรกก็แล้ว พนักงานพัดโบก โบกจนมือระวิง เร็วระดับ ๑๒๐ กม./ชม.ก็แล้ว

แต่ท่านเจ้าเมืองยังทุรน-ทุราย "ไม่คลายร้อน"

"ทำไงดีล่ะ ท่านปุโรหิต?" ท่านเจ้าเมืองถามด้วยหงุดหงิด

 ฝ่ายปุโรหิตที่หมอบกราบอยู่ตรงหน้า กราบทูลทันควัน

"พัดลมฮาตาริ พ่ะย่ะค่ะ"

"มันดียังไง?"

ปุโรหิตเอื้อมไปกดปุ่มพัดลมฮาตาริแทนคำตอบ  กดปุ๊บ ท่านเจ้าเมืองปลิวกระเด็นออกหน้าต่างไปปั๊บ  ด้วยความแรงของลมฮาตาริ!

เนี่ย พัดลมฝีมืออากงจุน แรงลมแค่น้องๆ เฮอริเคนเท่านั้น จึงกลายเป็น "มิตรคู่เรือน เพื่อนคู่ร้อน" บ้านไหนไม่มีฮาตาริ เชยระเบิด

ผมก็เพิ่งรู้ตอนนี้เองว่า ฮาตาริ เป็นของคนไทย ด้วยฝีมือวิจัย-พัฒนา ของวิศวะ ป.๒ ชื่อ "จุน วนวิทย์"

ผู้ผ่านการฝึกฝนในอาชีพ ช่างทอง ขับแท็กซี่ ลูกจ้างทําป้ายพลาสติก ลูกจ้างโรงกลึง ช่างทําแม่พิมพ์ สําหรับฉีดชิ้นงานพลาสติก

จนอายุ ๕๒ วิศวะ ป.๒ ผู้ยึดหลัก........

"ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด กตัญญู เสียสละ มุ่งมั่น มีวินัย ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ และกล้าคิด-กล้าทํา"

นวัตกรรม "ฮาตาริ" โดยอากงจุน จึงบรรลุผล!

พัดลมยี่ห้อ "ฮาตาริ" จึงถือเป็น "สัญลักษณ์" ชีวิตนักบุกเบิกและนักบุญผู้ยิ่งใหญ่

นาม "อากงจุน" และ "ฮาตาริ" จะเป็นต้นแบบ "ให้ผู้ที่เกิดมาจน และด้อยโอกาสทางการศึกษา

ได้ฮึกเหิม มีพลังว่า....

"ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด กตัญญู เสียสละ มุ่งมั่น มีวินัย ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ และกล้าคิด-กล้าทํา" อย่างอากงจุน

คือสูตรสู่ความสำเร็จ "รวยแบบอากง" ได้ทุกคน!

ในการค้า เงินเกินทุน คือกำไร

ในการคิด ให้คือกำไรงอก ทบต้น-ทบดอก ทวีคูณ!

ประวัติอากงจุนตอนนี้ เป็นกระแสสังคม "แรงที่สุดในปฐพี" ไม่ยิ่งหย่อนแรงลมฮาตาริ ฉะนั้น จะไม่นำมาเล่าต่อ

แต่อยากบอกในมุมมองผมว่า......

เมื่อศึกษาชีวิตการต่อสู้ของอากงจุนแล้ว คำตอบของความสำเร็จสู่ธุรกิจอุตสาหกรรมระดับหมื่นๆ ล้านในวันนี้

ผลึก "ความสำเร็จ" ก้อนนั้น เรียกว่า

"ประสบการณ์"!

ประสบการณ์ไม่มีในตำรา ไม่มีในมหาวิทยาลัย และไม่มีขาย ต้องหมั่นศึกษา คิดค้น ทดลอง ด้วยตัวเอง บนฐาน..... "ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด กตัญญู เสียสละ มุ่งมั่น มีวินัย ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ และกล้าคิด-กล้าทํา"

อย่าไปมอง "ความร่ำรวย" ของอากงจุน

จงมอง "ที่มา" ของความรวยอากงจุน

และจงมอง "ที่ไป" ของเงินด้วยว่า อากงจุน "ใช้เงิน" หรือ "เงินใช้" อากงจุน

หนังสือ ที่เรียกตำรา เหมือนไม้ขีดในกลักที่ไม่มีข้าง ย่อมไม่เกิดไฟ

ชีวิต ที่เป็นตำรา นั่นคือประสบการณ์ก่อเกิดพลังที่นำตัวเอง "ทะลุมิติจักรวาล"

เรียนรู้ชีวิตอากงจุนแล้วนำไปปฏิบัติเถอะ ประเทศชาติ สังคมโลกจะพัฒนา ไอน์สไตน์ คนที่ ๒ คนที่ ๓ ก็เกิดขึ้นได้ จาก "ประสบการณ์" ตามแนวทางอากงจุน

"อากงจุน" นั่นจากประสบการณ์ในวิถีหนึ่ง

ขอถามคำ "ใครไม่เคยเปิดดูโทรทัศน์ ช่อง ๗ สีบ้าง...ยกมือขึ้น?"

ทั้่งประเทศไทย แทบไม่มีใครยกมือเลย!

แสดงว่า เป็นแฟนช่อง ๗ สีกันทั้งนั้น แต่จะเป็นแฟนระดับไหน นั่นเป็นอีกเรื่อง

ขอถามต่อ "ใครไม่เคยดูรายการ "กระจกหกด้าน" รายการของช่อง ๗ สีบ้าง?"

สลับฟันปลากันไป คือมีทั้งดูประจำ, เคยดู, ดูบ้าง-ไม่ได้ดูบ้าง และไม่เห็นมีให้ดูเลยบ้าง

ครับ....

ก็อยากบอกว่า "กระจกหกด้าน" หายจากจอช่อง ๗ สีไปพักหนึ่ง หลังจากที่อยู่คู่กับช่อง ๗ สี จนเป็นสัญลักษณ์คู่ช่อง มาเป็นเวลา ๔๐ ปี

จากวันจันทร์ ที่ ๑ สิงหา. "ทุกวันเสาร์" ตอนเย็นๆ  กระจกหกด้าน จะกลับมาคู่ช่อง ๗ สีเหมือนเดิมแล้ว  ในแนวสารคดีสะท้อน "ซอฟต์เพาเวอร์"

"กระจกหกด้าน" ต้องคู่กับเสียงบรรยายของคุณ "สุชาดี มณีวงศ์" ถึงจะเป็นของแท้ และขลัง!

เสียงคุณสุชาดี ต่อให้หลับตาดู แต่หูฟัง ได้ยินปุ๊บ ก็รู้ปั๊บ ว่าเสียง "สุชาดี" เพราะ ๖๗ ล้านคน เสียงนี้ มีเสียงเดียวในประเทศไทย

สารคดีในรายการ "กระจกหกด้าน" นี้ มีสาระคู่สังคมชาติครบด้าน และดังขนาดไหน ไม่ต้องบอก

ก็ขนาดสหรัฐอเมริกา โดยเพนตากอน ต้องขอมาชนิดเป็นทางการนั่นเชียวแหละ!

เมื่อรายการนี้กลับมาคู่ช่อง ๗ สีอีกครั้ง ผมก็ดีใจนะ เพราะทุกวันนี้ เปิดโทรทัศน์ จะหารายการทางสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมครบด้านดูบ้าง แทบไม่มีเลย

บอกตรงๆ แค่อาศัยดูข่าว ดูรายการถ่ายทอดสดกีฬาแล้ว จากนั้่น แค่เปิดทิ้งไว้ แต่ปิดเสียง

ก็ห่วงรายการกระจกหกด้านอยู่เหมือนกัน คือมันมีสาระตอบโจทย์สังคมแน่อยู่แล้ว

แต่มันจะตอบโจทย์ทางธุรกิจหรือไม่ ตรงนี้แหละที่ห่วง แม้รายการแค่ ๑๕ นาที แต่ค่าสถานี ค่าถ่ายทำสารคดี มันไม่ใช่แค่เงินหมื่น-เงินแสน

แต่มันเงิน "หลายแสน" ต่อเดือนอยู่ ในฐานะคนทำสื่อด้วยกัน แม้จะคนละแขนงก็ตาม แต่ก็พอเข้าใจว่ามันยากเย็นขนาดไหน?

ก็เอาใจช่วยนะ และคิดว่า กระจกหกด้าน ที่กลับมาอีกครั้ง ด้วยแนว "สะท้อนซอฟต์เพาเวอร์" จะมีบริษัท ห้างร้าน ที่เห็นคุณค่ามาช่วยค้ำจุน

คุยเรื่องเขาแล้ว ขอคุยเรื่องเรา คือไทยโพสต์บ้าง

ผมเอ่ยชื่อ "พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์" อดีตรอง ผบ.ตร. และอดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ท่านคงจำได้ใช่ไหมครับ?

หลังเกษียณ .............

ท่านมาเป็นคอลัมนิสต์ให้ไทยโพสต์ ประเภท "งานขอแรง" อยู่พัก แล้วก็ว่างเว้น เพราะท่านมีงานประเภท "รับใช้สังคม" ที่ต้องไปช่วยหลายงาน

ตอนนี้ ท่านพอมีเวลา เมื่อวาน ก็เขียนเรื่อง "หมอนิติเวชตำรวจ" มาให้ ทาง บ.ก.นำตีพิมพ์ที่หน้า ๔ ไทยโพสต์ ไปแล้ว

ใครที่สนใจเรื่อง "ผ่าศพแตงโม" ไปหาอ่านดูได้

ตอนนี้ ท่านเป็นประธานมูลนิธิ "โรงพยาบาลตำรวจ" ท่านบอกว่า "เชื่อมั้ย โรงพยาบาลตำรวจ แต่ผู้เข้ามาขอรับการตรวจรักษา เป็นชาวบ้านทั่วไปกว่า ๗๐%"

งบประมาณก็ใช่ว่าจะมีมาก แล้วจะทำไง ในฐานะประธานมูลนิธิ ท่านก็คิดๆ วิธี หาเงินมาจุนเจือ

และนึกขึ้นได้ว่า ที่ท่านเขียนลงไทยโพสต์ น่าจะนำไปรวบรวมพิมพ์เป็นเล่มจำหน่ายได้ โดยท่านออกทุนทุกบาท-ทุกสตางค์เอง

แต่รายได้จากการขายทั้งหมด ยกให้โรงพยาบาลตำรวจทั้งหมด โดยไม่หักค่าใช้จ่าย เพื่อนำซื้อเครื่องไม้-เครื่องมือแพทย์

ผมก็อนุโมทนาสาธุกับท่าน และปวารณาว่า ตรงไหนที่ผมทำได้และเกิดประโยชน์กับโรงพยาบาลตำรวจ ขอให้บอก ผมยินดี

ก็เท่านี้แหละครับ ประเด็นที่จะบอกคือ....

โรงพยาบาลตำรวจวันนี้

ไม่ใช่ "เพื่อตำรวจ" อย่างเดียว ปัจจุบัน กลายเป็นโรงพยาบาลเพื่อประชาชนผู้เจ็บป่วยและทุกข์ยากไปแล้ว!

ขอให้ความมุ่งมั่นของท่าน "พลตำรวจเอก เอก อังสนานนท์" ประธานมูลนิธิตำรวจ ที่ขวนขวายหาเงินซื้อเครื่องมือแพทย์เพิ่มเติม จงสำเร็จ

อืมมมม........

คุยเรื่องดีๆ คนดีๆ แล้วก็มีความสุข เนอะ!

คนปลายซอย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ทักษิณ 'รีเทิร์น' นั่งเมือง

วันนี้คุยเรื่อง "หัวเขียง-หัวขวด" พรรคเพื่อไทยกันต่อ ที่เสนอกฎหมายให้ "นักการเมือง" เข้าไป "ควบคุมกองทัพ"

ร่างฯ 'หัวขวด' เพื่อใคร?

"นักการเมือง" คือคนโง่ เพราะทำอะไรก็ยาก มีกฎหมายหลักคือรัฐธรรมนูญ และกฎหมายลูกคือ พ.ร.บ.ต่างๆ

'Grab rider ต้วง'

ดู "นาฬิกากรรม" แล้ว ก็อยากบอกว่า.... ช่วงนี้ ใครมีธุระอะไร ก็ไปทำซะให้เสร็จ ยังพอมีเวลา