คำสารภาพ 'พระเจ้าสีป่อ'

เนื่องในมหามงคลสมัย

วันเฉลิมพระชนมพรรษา "พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว" ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๕

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

ข้าพระพุทธเจ้า

เปลว สีเงิน

.............................................

ในโอกาสมงคลเช่นนี้ เราควรนำเรื่องดีๆ เรื่องที่เป็นข้อคิด-ควรคำนึงถึงชาติบ้านเมืองในด้านดีมาคุยกัน

ก่อนคุย ขอปรารภสักเล็กน้อย

คือเป็นเรื่องน่าเห็นใจอย่างหนึ่ง ของบางคน-บางพวก อย่าว่าแต่ไม่เคยศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติบ้านเมืองตัวเองเลย

กระทั่งรกรากแห่งโคตรเหง้าตัวเอง ก็ไม่คิดจะรู้-จะศึกษาด้วยซ้ำ!

ผิดนี้ ไม่ใช่ผิดของเด็ก

หากแต่เป็น "ผิด" ของผู้ใหญ่ ผู้เป็นพ่อแม่ ที่ไม่บ่มเพาะ-ปลูกฝังลูกหลานให้รู้ถึงรากเหง้าชาติตระกูลตัวเอง ตั้้งแต่เยาว์วัย

ลูกหลานเมื่อโตขึ้น จึงโตแบบไม้ "รากฝอย" ทะลึ่งดอก-ทะลึ่งใบอยู่ไม่นาน ก็แห้ง เหี่ยวเฉา รอวันเน่าตาย

แต่ไม่ต้องห่วง......

"ชาติไทย-แผ่นดินไทย" ที่บรรพกษัตริย์แต่ละพระองค์ของเราทรงสร้าง ทรงกอบกู้ ทรงรักษา ทรงสืบสานต่อๆ กันมา ณ แต่กาล "สุโขทัย" ตราบ ณ ปรัตยุบัน "รัตนโกสินทร์" แลสืบๆ ต่อไป

จะไม่มีวันล่มสลาย กลายเป็นของชาติอื่นเด็ดขาด

เพราะยังมีลูกหลาน "ส่วนใหญ่" ได้รับการบ่มเพาะเป็นไม้สายพันธุ์ "รากแก้ว" ยิ่งโต ยิ่งมีแก่น รากแก้วยิ่งสยาย หยั่งลึก ยึดแผ่นดิน-ยึดชาติ

ไม่ยอมให้ชาติไหนเข้ามาเป็น "เจ้าเข้าครองได้" ชนิด "วางชีวิต" เป็นเดิมพัน

แผ่นดินไทย ในความเป็น "ชาติ-พระศาสนา-พระมหากษัตริย์" ไม่ว่าใครก็อย่าหมายนำไป "จิ้มก้อง" ใคร

และไอ้ที่กำลังคบคิดกันจะแบ่งแยกจากราชอาณาจักรไทยไปเป็นสาธารณรัฐนั้น

นั่นก็อย่าหมาย

เว้นแต่คนนั้น "อยากวิบัติ-ฉิบหาย" ถึงขั้น "ตายยกโคตร"

พม่าต้อง "สิ้นชาติ-สิ้นกษัตริย์" เพราะอะไร?

"ราชวงศ์อลองพญา" ที่ว่าเกริกไกร ต้องวิบัติล่มสลายตามประวัติศาสตร์ก็บอกได้ว่า "เพราะรบสู้อังกฤษไม่ได้"

ผมจะไม่เถียง.......

วันนี้ อยากให้รับรู้จาก "ปากคำ" ของ "พระเจ้าธีบอ" หรือ "สีป่อ" กษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่ากันเอาเอง

ว่าคนที่ลบหลู่บุญญาธิการ "พระมหากษัตริย์ไทย" ผลลงท้ายที่ได้รับ คือแบบไหน?

ความจริง เป็นเรื่องที่ผมนำมาเล่าไว้เป็นสิบปีแล้ว มีผู้นำไปแชร์ต่อมากมาย จะ "กรอหนังกลับ" มาให้ได้ใคร่ครวญทวนทบกันอีกที

เรื่องนี้จากหนังสือ The Glass Palace ที่นักเขียนชาวอินเดีย "Amitav Ghosh" เขียนเมื่่อราวๆ ปี  ๒๕๔๓

คุณ "ภูมิชาย ล่ำซำ" ท่านอ่านแล้วแปลมาให้ผม ก็อ่านกันอีกรอบนะ

..................................

กษัตริย์พม่าคิดอย่างไรกับ "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"?

เป็นความจริงอีกด้านหนึ่ง ซึ่งคนภายนอกไม่มีโอกาสรู้ว่า "กษัตริย์พม่าคิดอย่างไร" ต่อไทย ต่อพระมหากษัตริย์ไทย

ซึ่งพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์นั้น-ขณะนั้น คือ "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"

มันเป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ อันมีบันทึกอยู่ใน  "หอจดหมายเหตุ" ในพระราชวังพม่า

"กษัตริย์องค์สุดท้าย" ของพม่าและของราชวงศ์อลองพญา พระนามว่า "พระเจ้าธีบอ" หรือ "พระเจ้าสีป่อ"

ท่านที่เคยอ่าน "เที่ยวเมืองพม่า" ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ คงจำได้ว่า พม่าเสียเมืองให้อังกฤษราวๆ พ.ศ.๒๔๒๙ ระบบกษัตริย์ล่มสลาย

"พระเจ้าสีป่อ" ถูกอังกฤษจับไปขังอยู่ในคุกที่อินเดียเกือบ ๓๐ ปี ก่อนสวรรคตเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๘

Amitav Ghosh เขียนเกี่ยวพันถึงการเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๑ ของ "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" ผ่านการ "คิดสะท้อน" ของพระเจ้าสีป่อ โดยยกชะตาชีวิต-ชะตาชาติตัวเองเปรียบเทียบ ดังนี้

มีการตัดสินอนุญาตให้ส่งหนังสือพิมพ์จากบอมเบย์ไปยังเคหาสน์เอาท์แรม พร้อมกับเที่ยวเรือขนส่งเนื้อหมูของพระเจ้าสีป่อ

หนังสือพิมพ์ปึกแรก อ่านพบรายงานข่าวที่ทำให้จิตใจจดจ่อหมกมุ่น มันคือข่าวบรรยายการเสด็จประพาสยุโรปของ  "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจุฬาลงกรณ์" แห่งกรุงสยาม

นับเป็นครั้งแรกที่ "พระราชวงศ์เอเชีย" เสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรปอย่างเป็นทางการ

การเสด็จประพาสกินเวลานานหลายสัปดาห์ และตลอดช่วงเวลานั้น ไม่มีสิ่งอื่นใดครอบงำความสนพระทัยของพระเจ้าสีป่อได้อีกเลย

ที่กรุงลอนดอน "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจุฬาลงกรณ์" ประทับ ณ พระราชวังบัคกิงแฮม

ทรงรับการถวายการต้อนรับสู่ออสเตรียโดย "สมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ"

ทรงรับการถวายพระราชไมตรีโดย "กษัตริย์แห่งเดนมาร์ก" ณ กรุงโคเปนเฮเกน และ "ประธานาธิบดีฝรั่งเศส" ถวายพระราชทานเลี้ยง ณ กรุงปารีส

ที่ประเทศเยอรมนี "พระเจ้าไกเซอร์ วิลเฮล์ม" ทรงยืนคอยรับเสด็จที่สถานีรถไฟ จนกระทั่งขบวน "รถไฟพระที่นั่ง" ของ "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจุฬาลงกรณ์" แล่นเข้าเทียบ

"พระเจ้าสีป่อ" ทรงอ่านรายงานข่าวครั้งแล้ว-ครั้งเล่า  กระทั่งทรงจดจำขึ้นพระทัย

เพียงมินานมานี้ ที่ "พระเจ้าอลองพญา" ผู้ทรงเป็นสมเด็จทวดของพระเจ้าสีป่อและ "พระเจ้าพะคยีดอ" ผู้ทรงเป็นสมเด็จปู่ กรีธาทัพรุกรานสยาม

บดขยี้กองทัพอยุธยา ปลดกษัตริย์ผู้ครองบัลลังก์ และปล้นสะดมกรุงศรีอยุธยา เมืองหลวงเก่าของสยาม

ผลภายหลังคือ.....

ผู้มีบรรดาศักดิ์ซึ่งถูกปราบพ่ายแพ้ เลือก "พระเจ้าอยู่หัว" องค์ใหม่

"บางกอก" กลายเป็น "เมืองหลวงแห่งใหม่" ต่อมา

มันเป็นเพราะ "พระเจ้าแผ่นดินพม่า" เพราะบรรพกษัตริย์ของพระเจ้าสีป่อ เพราะพระราชวงศ์คองบอง

สยามจึงได้มี "พระราชวงศ์ปัจจุบัน" และ "กษัตริย์ผู้ครองแผ่นดิน"

วันหนึ่ง พระเจ้าสีป่อรับสั่งกับเหล่าพระราชธิดาว่า

เมื่อครั้งที่บรรพกษัตริย์ของเรา "พระเจ้าอลองพญา" ผู้เกรียงไกร ทรงยกทัพรุกรานสยาม

พระองค์มีพระราชสาสน์ถึง "พระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา" (พระราชสาสน์ฉบับคัดลอกเก็บอยู่ที่หอจดหมายเหตุในพระราชวัง) กล่าวใจความว่า

"หาได้มีความเป็นคู่ขันแข่งในพระเกียรติยศและบุญญาธิการระหว่างเราทั้งสองไม่

การวางพระองค์เทียบข้างพวกหม่อมฉัน

เป็นการเปรียบพญาครุฑของพระวิษณุกับนกนางแอ่น พระอาทิตย์เปรียบกับหิ่งห้อย

พฤกษเทวดาแห่งสรวงสวรรค์ เปรียบกับไส้เดือนดิน

พญายูงทอง ธตรัฏฐะ เปรียบกับแมลงเสพคูถ"

นั่นเป็นวาจาที่บรรพกษัตริย์ของเราตรัสกับพระเจ้ากรุงสยาม

ทว่าบัดนี้.........

พวกเขากลับได้นอนพำนักในพระราชวังบัคกิงแฮม  ขณะที่พวกเราถูกฝังจมราบอยู่ในกองมูลสัตว์เยี่ยงนี้

บุญญาบารมีและพระบรมเดชานุภาพด้วยพระเกียรติก้องแห่ง "พระมหากษัตริย์ไทย" เป็นฉันใด

"อยู่เหนือการลบหลู่"

และผู้คิดล้มล้างจะมีผลฉันใด แม้ในประวัติศาสตร์พม่าเองยังต้องยอมรับ

ผู้ที่รุกรานสยาม บดขยี้กองทัพอยุธยา ปล้นสะดมกรุงศรีอยุธยา ปลดกษัตริย์ผู้ครองบัลลังก์

ผลที่ตัวเองต้องได้รับ.....

ก็ดังคำสารภาพของนักโทษประหาร "พระเจ้าสีป่อ" นั่นแหละว่า

"พวกเขากลับได้นอนพำนักในพระราชวังบักกิงแฮม  ขณะที่พวกเราถูกฝังจมราบอยู่ในกองมูลสัตว์เยี่ยงนี้"!

.............................................

เป็นไงครับ

ผมไม่ได้บอกให้ใครเชื่อ แต่บอกให้นำไปใคร่ครวญทวนทบ ว่าประเทศในอินโดจีน "ไทย-พม่า-ลาว-เขมร-เวียดนาม"

รวมทั้งประเทศในคาบสมุทรมลายู "มาเลเซีย สิงคโปร์  และอินโดนีเซีย"

เว้นไทย "ชาติเดียว" แล้ว.......

มีประเทศไหนบ้าง ที่ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นพวกตะวันตก?

ที่ไทยไม่ตกเป็นอาณานิคมตะวันตก เพราะไทยรบสู้ฝรั่งเศส-อังกฤษได้งั้นหรือ?

เปล่าเลย...ไทยสู้ไม่ได้หรอก

แล้วเพราะอะไรล่ะ ไทยจึงดำรงไทย?

-เพราะบุญญาบารมีและพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์ไทย

-เพราะพระปรีชาสามารถในการดำเนินวิเทโศบาย ด้วยรู้เขา-รู้เรา

-เพราะบูรพกษัตริย์แต่ละพระองค์ มีพระญาณหยั่งรู้อนาคต ที่เรียกกันว่า "วิสัยทัศน์" ในปัจจุบัน

ทรงเรียนรู้ และทรงเปิดกว้างในทางประยุกต์วัฒนธรรมไทยเข้ากับตะวันตก ทรงหมุนตามโลก แต่ทรงไม่หลงโลก

สรุปโดยธรรม ในความเป็นพุทธมามกะ

พระมหากษัตริย์ไทยแต่ละพระองค์ ทรงยึด มรรค ๘  เป็นแกนในวิเทโศบาย

นั่นจึงมิต้องสงสัยเลยว่า บุญญาบารมีและพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์ไทยนั้น มาจากไหน?

"ธัมโม หเว รักขติ ธัมมจารี" ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม อันพระมหากษัตริย์ไทยแต่ละพระองค์ ทรงแน่วแน่มาตลอด

และเป็นที่ปรากฏชัดแล้วว่า.....

พระปฐมบรมราชโองการ ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒

"เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป"

นั้นคือ ตามครรลองมรรค ๘ เป็นบุญญาบารมีป้องภัย "ไทยดำรงไทย" ยั่งยืน

ผู้คิดร้ายทำลาย "ชาติ, ศาสน์, พระมหากษัตริย์"

ร้ายนั้น จะเป็น "วิบัติ" สะท้อนกลับเข้าตัว

"กษัตริย์องค์สุดท้าย" ของพม่า คือใบการันตี!

-เปลว สีเงิน

๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๕

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'Grab rider ต้วง'

ดู "นาฬิกากรรม" แล้ว ก็อยากบอกว่า.... ช่วงนี้ ใครมีธุระอะไร ก็ไปทำซะให้เสร็จ ยังพอมีเวลา