วันก่อนเขียนถึงปัญหาคนจีนในหลายเมืองออกมาประท้วงไม่ยอมจ่ายค่าผ่อนส่งบ้าน เพราะความล้มเหลวของหลายบริษัทอสังหาริมทรัพย์
วันนี้มีรายละเอียดที่ควรแก่การติดตามเพิ่มเติม
เพราะมีผลกระทบไปถึงผู้ฝากเงินรายกลางและรายย่อยที่ไม่สามารถจะถอนเงินฝากของตัวเองได้
เริ่มมีนักวิเคราะห์พูดถึง “ระเบิดหนี้จีน” ที่สร้างความกังวลมากขึ้น
คนที่อ่านว่านี่เป็นสัญญาณเตือนภัยบอกว่า ความเชื่อมั่นในความมั่นคงของธนาคารจีนได้รับผลกระทบค่อนข้างหนักจากความล้มเหลวของธนาคารขนาดเล็กหลายแห่งในมณฑลเหอหนานในเดือนเมษายนปีนี้
เป็นกรณีศึกษาที่โยงไปถึงสินทรัพย์ประมาณ 4 หมื่นล้านหยวน (6 พันล้านดอลลาร์ หรือกว่า 2 แสนล้านบาท) และจำนวนลูกค้าประมาณ 400,000 ราย
ธนาคารในชนบทที่ปิดตัวลงย่อมเป็นส่วนหนึ่งของกลไกในระบบการเงินของจีน
ที่หวั่นเกรงว่าจะเกิดการ “ตูมตาม” ของระเบิดหนี้ของสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การดูแลที่มีปัญหาความโปร่งใส ประกอบกับความสงสัยว่ามีการทุจริตส่งผลกระทบไปกว้างไกล
ปัญหายิ่งวุ่นวายมากขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจัดการกับผลกระทบนั้นด้วยวิธีการที่ค่อนข้างจะแข็งกร้าว ไม่มีการสื่อสารและทำความเข้าใจกับผู้ซื้อบ้านที่เดือดร้อน
ไม่ช้าไม่นานภาพและข่าวของการกระชากลากถูผู้ประท้วงโดยเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นก็ถูกแพร่กระจายไปทั่ว
ยิ่งทำให้เกิดปฏิกิริยาทางลบกับระบบของรัฐมากขึ้นอีก
เมื่อเกิดกรณีเช่นนี้ สิ่งที่ผู้รับผิดชอบควรจะต้องพิจารณาเบื้องต้นคือ วิธีที่เยียวยาด้วยการชดเชยผู้ฝากเงินที่เดือดร้อน
ตามระเบียบของทางการ ผู้เสียหายมีสิทธิ์ได้รับเงินชดเชยสูงถึง 500,000 หยวน
แต่ดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่กลับทำทุกอย่างเพื่อปิดปากผู้ที่ออกมาร้องเรียน
วิธีการที่ค่อนข้างจะไร้ความเห็นอกเห็นใจชาวบ้านเจ้าของเงินฝากก็เกิดขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่เริ่มด้วยการจำกัดการเคลื่อนไหวของผู้ฝากเงิน โดยเปลี่ยนรหัสทดสอบ COVID บนสมาร์ทโฟนของพวกเขาเป็นสีแดง
ผลก็คือเจ้าของมือถือไม่สามารถใช้บริการขนส่งสาธารณะ หรือแม้แต่ขับรถของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พอเกิดเสียงโวยวายในที่สาธารณะบังคับก็กดดันให้รัฐบาลเหอหนานเลิกวิธีที่ชวนให้เกิดความวุ่นวายนี้
แต่เมื่อผู้ฝากเงินหลายร้อยรายไม่สามารถเข้าถึงเงินฝากของตนในธนาคารที่ล้มเหลว และได้รวมตัวกันในวันที่ 10 กรกฎาคม เพื่อประท้วงหน้าสำนักงานสาขาธนาคารประชาชนในเมืองเจิ้งโจว เมืองหลวงของเหอหนาน เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้ส่งทีมงานบุกทำร้ายร่างกายผู้ฝากเงิน
โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบยืนคุมเชิงอยู่แบบหน้าตาเฉย
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนอกเครื่องแบบกระชากลากถูและดึงเสื้อของผู้ประท้วงกลางถนน ทั้งๆ ที่ไม่ใช่การก่อหวอดเรื่องการเมืองที่อ้างว่ากระทบความมั่นคงได้
เหตุผลมีง่ายๆ คือคนฝากเงินธนาคารเบิกเงินของตัวเองไม่ได้ เพราะธนาคารขาดเงิน
การใช้ความรุนแรงกับชาวบ้านที่เดือดร้อนน่าจะเป็นเพราะเจ้าหน้าที่บ้านเมืองต้องการจะปกปิดข่าวร้ายอะไรหลายอย่าง
ไม่แต่แค่ปิดบังความไร้ประสิทธิภาพของการบริหารท้องถิ่น
แต่ยังพยายามซ่อนปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น คือสถานการณ์ที่ธนาคารขนาดเล็กเหล่านี้ล้มเหลว
รัฐบาลจีนเริ่มใช้การกู้เพื่อกระตุ้นการเติบโตตั้งแต่ปี 2552 ทำให้เกิดคำถามว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะเดินตามนโยบายนี้ได้นานเพียงใดโดยไม่ต้องเจอปัญหา
ทางการได้ออกมายืนยันตลอดว่า รัฐบาลและพรรคสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
และตอกย้ำเสมอว่าการคาดคะเนว่าจีนจะประสบกับปัญหา “ฟองสบู่ทางเศรษฐกิจ” นั้นไม่มีพื้นฐานใดๆ
หลายคนก็อยากจะเชื่ออย่างนั้น เพราะไม่อยากจะเห็นภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของประเทศที่เศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลกมีปัญหา
แต่เมื่อตัวเลขจากบางสำนักวิเคราะห์เปิดเผยว่า ระบบธนาคารของจีนมีอัตราส่วนหนี้สินต่อ GDP อยู่ที่ 264% ก็เริ่มมีคำถามจากหลายๆ ฝ่ายว่าสภาพที่แท้จริงเป็นเช่นไร
หลายคนที่มองโลกในแง่ดีบอกว่า ปักกิ่งดูเหมือนจะสามารถ “ท้าทายแรงโน้มถ่วงทางการเงิน” ได้
ไม่มีใครเชื่อว่าเรื่องหนี้จะกลายเป็นวิกฤตต่อระบบใหญ่ของจีน
แต่มีสัญญาณเตือนหลายอย่างที่บ่งชี้ว่าจีนอาจเผชิญกับปัญหาที่หนักกว่าที่คนทั้งหลายเคยเชื่อ
เพราะอาการไม่น่าสบายใจมีให้เห็นมากขึ้น
นักวิเคราะห์บางสำนักบอกว่า ปัญหาของสถาบันการเงินมีหลายประการ เช่น
การกำกับดูแลที่อ่อนแอ
การบริหารความเสี่ยงที่ต่ำกว่ามาตรฐาน
และคอร์รัปชัน
ทั้งหมดนี้มีแนวโน้มจะผลักดันให้ธนาคารขนาดเล็กแบบในมณฑลเหอหนานเข้าสู่ภาวะล้มละลาย
ที่ต้องกังวลหากไม่ได้รับการแก้ไขก็เป็นเพราะระบบธนาคารขนาดเล็กและขนาดกลางเกือบ 4,000 แห่งของประเทศที่มีสินทรัพย์เกือบ 14 ล้านล้านดอลลาร์ (กว่า 500,000 ล้านล้านบาท)
ที่น่ากลัวต่อมาก็คือ การล้มละลายต่อเนื่องแบบ “โดมิโน”
เพราะสถาบันการเงินอยู่ได้ด้วย “ความน่าเชื่อถือ” เป็นหลัก
หากความน่าเชื่อถือขาดสะบั้นลง ทั้งระบบก็จะถูกกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยความบังเอิญแท้ๆ ที่ขณะที่ทางการเหอหนานปราบปรามเหยื่อของความล้มเหลวของธนาคารที่นั่น เจ้าหน้าที่ในเซี่ยงไฮ้ได้นำตัวอดีตมหาเศรษฐีผู้หนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่ามีอิทธิพลกำกับควบคุมธนาคารขนาดกลางในมองโกเลียในอย่างลับๆ
พอรัฐบาลยึดธนาคารนี้เพราะล้มละลายในปี 2019 ก็ต้องเอาเงินหลายพันล้านดอลลาร์ไปอุ้มเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการลามต่อ
ระบบธนาคารจีนถูกกล่าวหาว่ามี “ธนาคารเงา” ที่แฝงไว้ข้างหลังเพื่อดำเนินกิจกรรมที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ที่ผ่านมาอะไรๆ ที่ปัดไว้ใต้พรมอาจจะไม่โผล่ออกมา เพราะเศรษฐกิจของจีนสามารถเติบโตได้ในอัตราที่สูงพอสมควร โดยเฉลี่ย 6.8% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2554 ถึง 2563
เศรษฐกิจที่เติบโตเร็วอย่างนี้ย่อมทำให้การบริหารปัญหาอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น
แม้กระทั่งจะปกปิดภาระหนี้ไม่ให้เห็นภาพจริงก็ยังทำได้...แม้จะเป็นเพียงชั่วคราวก็ตาม
แต่ลางร้ายก็เกิดขึ้นกับภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน China Evergrande Group ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดของประเทศที่กู้ยืมไปแล้วกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์ เกิดผิดนัดจ่ายดอกเบี้ยพันธบัตรของตน
และดูเหมือนว่าอาจมีการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นอีก เพราะเหล่าบรรดานักพัฒนาอสังหาฯ จีนได้เร่งซื้อหุ้นกู้มูลค่า 13 พันล้านดอลลาร์ ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
สัญญาณอันตรายอาจไปโผล่ที่ต่างจังหวัดก่อน...แล้วจึงมาระเบิดกลางกรุงอีกที
น่าติดตามมากว่ารัฐบาลของสี จิ้นผิง จะถอดสลัก “ระเบิดหนี้” นี้ได้อย่างไร.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ