เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน เจพี มอร์แกน ธนาคารสหรัฐ ออกมาเตือนว่าหากรัสเซียระงับการส่งออกน้ำมันโดยสิ้นเชิง เศรษฐกิจโลกอาจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจนทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น 4 เท่า เป็นเกือบ 400 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลทันที
แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบร่วงลงมาต่ำกว่า 100 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล เพราะความหวาดหวั่นเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยระดับโลก
ซึ่งจะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันของโลกลดน้อยลง
แต่ไม่มีใครไว้วางใจใครได้ทั้งนั้น เพราะการขึ้นลงของราคาน้ำมันและก๊าซนั้นมีปัจจัยอย่างอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องจนไม่อาจจะพิจารณาจากแค่เรื่องอุปสงค์-อุปทาน หรือ demand-supply ได้อีกต่อไป
แต่ที่เป็นคำถามใหญ่สำหรับยุโรปตะวันตกและชาวโลกก็คือ
ถ้ารัสเซียตัดสินใจหยุดส่งก๊าซและน้ำมันไปให้ยุโรปตะวันตกโดยสิ้นเชิง จะเกิดอะไรขึ้น?
นี่ไม่ใช่คำถามล้อเล่นอีกต่อไป
เพราะสัปดาห์ที่ผ่านมา รัสเซียสั่งปิดการจ่ายก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่ไปยังยุโรปที่ผ่านทางท่อส่ง Nordstream 1
มอสโกบอกว่าเหตุผลสำคัญคือ เป็นการปิดเพื่อการซ่อมบำรุงรักษาตามแผนตามปกติ
แปลว่าคงจะเป็นเรื่องสั้นๆ ชั่วคราวเท่านั้น
แต่รัฐบาลเยอรมันเริ่มกังวลอย่างจริงจังว่ารัสเซียจะปิดก๊อกน้ำแบบถาวร เพราะปูตินทำให้เห็นแล้วว่าอาวุธของรัสเซียนอกจากปืนผาหน้าไม้แล้วก็คือพลังงานนี่แหละ
คล้ายๆ กับจะส่งเสียงเตือนไปว่าตะวันตกอย่าได้ซ่ากับรัสเซียก็แล้วกัน
เพราะได้เริ่มลดการส่งก๊าซไปยังยุโรปแล้วในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หลังจากตะวันตกประกาศคว่ำบาตรรัสเซียเพราะสงครามยูเครน
ส่งผลให้ราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะประเมินว่าสถานการณ์อันน่ากลัวนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร
และทำไมนักวิเคราะห์หลายสำนักจึงทำนายว่าถ้าเกิดเรื่องอย่างนี้โลกก็จะเผชิญกับ “หายนะ” ทางเศรษฐกิจเป็นแน่แท้
จะว่าไปแล้ว รัสเซียก็ได้ “ส้มหล่น” จากวิกฤตครั้งนี้ เพราะมีรายได้เพิ่มเป็นพันล้านดอลลาร์จากการขายน้ำมันและก๊าซแม้ในจังหวะที่ถูกคว่ำบาตรก็ตาม
เพราะพลังงานรัสเซียได้ราคาสูงขึ้น
นับตั้งแต่เกิดสงคราม ราคาน้ำมันและก๊าซถูกกำหนดในระดับสากล และในตลาดนี้รัสเซียเป็นผู้เล่นหลักเลยทีเดียว
มาตรการห้ามรัสเซียขายพลังงานให้กับยุโรปตะวันตกยิ่งทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นไปถึงระดับที่ JP Morgan เรียกว่า "สตราโตสเฟียร์" ในทันที
Stratosphere หมายถึงราคาพุ่งขึ้นไปบนชั้นบรรยายเหนือโลกไปแล้ว
สหรัฐฯ อาจจะไม่เดือดร้อนมากนัก เพราะมีน้ำมันของตัวเอง แต่ยุโรปก็ยังคงพึ่งพารัสเซียอยู่อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมในเยอรมนีและอิตาลีจะได้รับผลกระทบจากต้นทุนด้านพลังงานที่สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผลที่ตามมาคือ บริษัทหลายพันแห่งที่ไม่มีสายป่านยาวพอก็มีอันต้องล้มละลาย
ตามมาด้วยผู้คนนับล้านจะตกงาน
ปูตินใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นอาวุธในการทำสงครามด้านเศรษฐกิจ
สัปดาห์ก่อนก็แผลงฤทธิ์ด้วยการปิดการจ่ายก๊าซไปยังหลายประเทศในยุโรป เพราะไม่จ่ายเป็นรูเบิล
หลายประเทศยอมจำนนแบบไม่ประกาศยอมแพ้ แต่แอบยอมตามเงื่อนไขของมอสโก
อีกด้านหนึ่ง ปูตินยังระงับการส่งออกอาหารของยูเครนเพื่อผลักดันราคาทั่วโลก
นั่นก็ถือได้ว่าเป็นอาวุธสำคัญสำหรับปูตินในการกดดันตะวันตกให้ต้องยอมเขา
ตอนแรก นักวิเคราะห์บางคนคิดว่าปูตินไม่ฉลาดที่บุกยูเครน ทำให้แหล่งรายได้สำคัญหดหาย
แต่รัฐบาลรัสเซียได้สร้าง “กันชน” เงินสดเพียงพอเพื่อช่วยยันแรงกดดันจากตะวันตก
ฝั่งยุโรปก็ต้องปรับตัวเป็นการใหญ่ ภายในปีหน้า เยอรมนีวางแผนที่จะ “หย่านม” จากการพึ่งพาพลังงานรัสเซีย
ผลของการใช้พลังงานเป็นอาวุธไม่เพียงแต่กระทบปากท้องของชาวบ้านเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อเนื่องทำให้ตลาดหุ้นดิ่งลง และบรรยากาศการลงทุนทั่วโลกตกอยู่ในภาวะซึมเซาอย่างกว้างขวาง
อีกด้านหนึ่ง การปรับตัวอย่างแรงทำให้รัฐบาลตะวันตกออกกฎหมายพิเศษในภาวะฉุกเฉินเพื่อพัฒนาอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมในระดับอุตสาหกรรม
พร้อมทั้งปูทางให้เกิดฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์และกังหันลมแห่งใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
ผลพลอยได้คือความเร่งด่วนในการสร้างฟาร์มพลังงานสะอาดได้อย่างรวดเร็วและราคาถูก
ข้อดีคือการผลิตฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์และกังหันลมจำนวนมากอย่างรวดเร็ว จะทำให้แหล่งจ่ายไฟฟ้าปลอดคาร์บอน และลดแรงกดดันต่อแหล่งจ่ายก๊าซที่จำเป็นสำหรับการปรุงอาหารและการทำความร้อน
ที่เป็นตัวเสริมอีกอย่างหนึ่งคือ รัฐบาลยุโรปตะวันตกหลายแห่งเลือกที่สามารถออกเงินอุดหนุนเพิ่มเติมสำหรับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า
เป็นการลดการพึ่งพาน้ำมันจากต่างประเทศเพื่อการขนส่ง
หลายประเทศรายงานว่า เพราะแรงกดดันที่หนักหน่วงรุนแรงนี่แหละที่ทำให้สามารถลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเป็น 2 เท่า
วิกฤตครั้งนี้จึงเกิดความตื่นตัวกันไปทั่ว
นโยบายลดการพึ่งพาน้ำมันและก๊าซ (บางประเทศเปรียบเสมือนเป็นการเสพติด) ที่เคยเดินไปอย่างช้าๆ เพราะมีแรงต่อต้านจากอุตสาหกรรมน้ำมันเดิมและความไม่คุ้นเคยของผู้บริโภคนั้น อยู่ดีๆ ก็สามารถเดินหน้าได้อย่างจริงจัง
เพราะไม่มีปัจจัยอะไรจะช่วยผลักดันนโยบายที่ยากและจำเป็นได้ดีเท่ากับวิกฤตที่รุนแรง
ดังนั้นถ้าถามว่า หากปูตินหยุดการจ่ายก๊าซและน้ำมันให้โลกตะวันตกอย่างถาวรเลย จะเกิดอะไรขึ้น
คำตอบก็คือ ความปั่นป่วนจะตามมา
พอเกิดความวุ่นวาย ทุกประเทศก็จะวิ่งเข้าหา “พลังงานทางเลือก” อย่างเร่งร้อนและฉับพลัน
เป็นการปรับตัวที่เจ็บปวด...เป็นยาขมหม้อใหญ่
แต่คนไข้อาการหนักขนาดเข้าห้องไอซียูนั้น จำเป็นต้องให้ยาแรงเพื่อกระตุ้นให้ตื่นเพื่อค้นพบตัวเองได้อย่างเป็นรูปธรรมจริงๆ
สงครามสร้างหายนะ
ขณะเดียวกันก็ปลุกให้ทุกคนต้องตื่นขึ้นมาถามตัวเองว่า : จะรอดและรุ่งต้องเปลี่ยนตัวเองให้เร็ว, แรงและยั่งยืน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ