ช่วงนี้ผู้คนติดตามข่าวคราวที่เกี่ยวกับปากท้องของตัวเองด้วยการทำความเข้าใจกับตัวเลขชุดต่าง ๆ
เงินเฟ้อไปถึงไหน...ถ้าของสหรัฐฯล่าสุดเดือนมิถุนายนพุ่งไปที่ 9.1% ของไทยเราจะวิ่งขึ้นไปอีกไหม
ดอกเบี้ยจะขึ้นต่อไปอย่างไร...ถ้า Fed ของสหรัฐฯปรับขึ้นอีกรอบที่ 0.75% หรือ 1.00% เลย คณะกรรมการนโยบายหรือ กนง. ของแบ็งก์ชาติจะขยับขึ้นตามหรือไม่
อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทกับดอลล่าร์ที่เห็นตัวเลข 36.60 บาทต่อหนึ่งเหรียญสหรัฐฯ อ่อนที่สุดใน 13 ปี (ตัวเลข ณ บ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมา) จะยังอ่อนต่อไปอีกหรือไม่
อัตราเติบโตเศรษฐกิจของจีนไตรมาสที่สองอยู่ที 0.4% จะมีผลต่อการค้าการขายของจีนกับโลกและอาเซียนรวมทั้งไทยอย่างไรหรือไม่
อัตราเติบโตจีดีพีของไทยปีนี้ที่ปรับลดกันอย่างต่อเนื่องจะไปจบลงตรงไหน
ราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงมา (ตัวเลขวันศุกร์ที่ผ่านมา) อยู่ที 90-94 เหรียญต่อบาเรลซึ่งเป็นระดับก่อนสงครามยูเครนจะสามารถรักษาระดับนี้ได้หรือไม่ และจะมีผลต่อเงินเฟ้อและราคาสินค้าของบ้านเราอย่างไร
ทั้งหมดนี้คือตัวเลขที่จะบอกเราว่าชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร
แต่ก่อนนี้ พอเราเอ่ยถึงตัวเลขต่าง ๆ ที่ว่านี้ ส่วนใหญ่ก็จะไม่ได้รับความสนใจเท่าไหร่ เพราะนึกว่าดัชนีทั้งหลายนี้เป็นเรื่องของผู้เชี่ยวชาญ, นักเศรษฐศาสตร์หรือผู้วางนโยบายระดับชาติเท่านั้น
ชาวบ้านเคยนึกว่าเราไม่เกี่ยวเพราะมันเป็นเรื่องวิชาการทั้งนั้น
แต่ถึงวันนี้ ทุกความเคลื่อนไหวของดอกเบี้ย, เงินเฟ้อ, ราคาน้ำมัน, อัตราแลกเปลี่ยน, ราคาน้ำน้ำมันดิบและน้ำมันสุกล้วนแล้วแต่มีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเราทั้งสิ้น
ที่ยากขึ้นไปกว่านั้นคือตัวเลขเหล่านี้เคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างผันผวน วิ่งขึ้นลงได้อย่างน่าใจหายใจคว่ำตลอดเวลา
แต่ก่อนนี้ช่วงของการขึ้นลงจะมีจำกัดและใช้เวลาระยะหนึ่ง แต่ทุกวันนี้ความเปลี่ยนแปลงหนักหน่วงรุนแรงและพุ่งขึ้นและดิ่งลงอย่างน่าหวาดเสียวได้ตลอดเวลา
ไม่ต่างอะไรกับการนั่งเรือเหาะในงานวัดที่เรียกว่า roller-coaster
ที่เหวี่ยงขึ้นลงอย่างไร้ทิศทาง ทำเอาผู้ที่นั่งอยู่บนนั้นต้องใจหายใจคว่ำ ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตลอดเวลา
เพราะไม่รู้ว่าวันนี้ขึ้นพรุ่งนี้จะลงหรือไม่ และถ้าขึ้นจะขึ้นเท่าไหร่ หรือถ้ากลับทิศทาง ร่วงลง จะหล่นแบบค่อยเป็นค่อยไป หรือจะเป็นลักษณะโหม่งโลก
ที่เราไม่เคยเห็นก็ได้เห็น ที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดก็เกิด
ในภาวะเช่นนี้ทักษะที่สำคัญที่สุดคือการ “บริหารความเสี่ยง”
หรือ risk management
แต่ทุกคน, ทุกองค์กร, ทุกบริษัท, ทุกรัฐบาลก็กำลังต้องใช้ความรู้ความสามารถในการบริหารความเสี่ยงกันตลอดเวลาและประมาทไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว
เพราะทุกคนมีความเสี่ยงส่วนบุคคล
บริษัทมีความเสี่ยงเรื่องต้นทุน, วัตถุสำหรับการผลิตและความเปลี่ยนแปลงของอุปนิสัยผู้บริโภค
ระดับรัฐบาลก็มีความเสี่ยงเรื่องการใช้จ่ายและตระเตรียมเงินทองและแผนฉุกเฉินสำหรับการตั้งรับสถานการณ์ที่ไม่ได้คาดการณ์หรือคิดไม่ถึงมาก่อน
คำว่า“ประกันความเสี่ยง” จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่เพราะเมื่อความเสี่ยงสูงขึ้นก็ต้องหาทางป้องกันความเสี่ยงนั้น ๆ
แต่ก่อนนี้มี “ผู้เชี่ยวชาญ” ที่ทำหน้าที่หรือมีอาชีพเป็นผู้ประกันความเสี่ยง
แต่ทุกวันนี้ ภายในสภาวะของการเมืองและเศรษฐกิจที่ผันผวนปรวนแปรอย่างรุนแรงตลอดเวลา ทุกคน, ทุกองค์กร, ทุกชุมชนและทุกรัฐบาลต่างก็ล้วนต้องทำงานด้าน “ประกันความเสี่ยง” ทั้งสิ้น
ความเสี่ยงส่วนตัวคือเรื่องรายได้และรายจ่ายที่เกิดความไม่แน่นอนสูงขึ้นทุกขณะ
ความเสี่ยงที่จะตกงานสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ความเสี่ยงที่จะขาดทุนจากการลงทุนในทุกรูปแบบก็พุ่งพรวดพราดขึ้นมาในรูปแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ทุกบริษัทล้วนต้อง “ประกันความเสี่ยง” ทั้งสิ้น
เช่นผู้ส่งออกก็ต้องประเมินว่าหากเงินบาทเทียบกับดอลล่าร์อ่อนต่อเนื่องเช่นนี้จะต้องวางแผนการส่งออกอย่างไรจึงจะได้ประโยชน์สูงสุด
ผู้นำเข้าก็ต้องเข้าใจว่าเมื่อเงินบาทอ่อนเช่นนี้ ต้นทุนของสินค้านำเข้ารวมถึงวัตถุดิบที่มาจากต่างประเทศก็จะแพงขึ้น
บางบริษัทแม้จะได้ประโยชน์จากการที่เงินบาทอ่อนเพราะเป็นผู้ส่งออกก็ต้องระวังว่าวัตถุดิบที่ใช้ผลิตสินค้านั้นต้องนำเข้า...เงินบาทอ่อนก็กลายเป็นภาระหนักขึ้น
ดังนั้นแม้ในองค์กรเดียวกันก็ต้องบริหารความเสี่ยงทั้งด้านบวกและลบที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน
จึงทำให้การดำรงชีวิตอยู่และการบริหารอาชีพของแต่ละธุรกิจต้องเพิ่มความเป็นมืออาชีพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
วันก่อนผมอ่านแนววิเคราะห์ของ ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเรื่องเศรษฐกิจไทยก็พอจะเห็นถึงความลำบากของการ “บริหารความเสี่ยง” ของธนาคารกลางของประเทศอีกเหมือนกัน
พรุ่งนี้จะได้ว่าต่อว่าผู้ว่า ธปท. ต้องบริหารความเสี่ยงเรื่องนโยบายการเงินอย่างไร
ทำไมท่านจึงบอกว่า Fed อเมริกาขึ้นดอกเบี้ย แต่เราไม่จำเป็นต้องขึ้นตามด้วย
มันเป็นเช่นไร? พรุ่งนี้ว่ากันเรื่องนี้ครับ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ