ศรีลังกากับภาวะอนาธิปไตย

ใครที่ติดตามวิกฤตศรีลังกาคงกำลังตั้งคำถามว่าบ้านเมืองไร้ขื่อไร้แปอย่างนี้จะเดินหน้าไปได้อย่างไร...และจะมีทางออกอะไรเหลืออยู่

ประธานาธิบดีเผ่นหนีไปนอกประเทศ แต่งตั้งนายกฯ ขึ้นมารักษาการแทนตัวเอง

ตอนแรกเอาเครื่องบินทหารอากาศไปลงมัลดีฟส์ ต่อมาเมื่อคืนวันพฤหัสฯ ก็ไปลงสิงคโปร์

กระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์บอกว่าเป็นการ “มาเยือนส่วนตัว” (private visit) ซึ่งฟังดูแปลกประหลาดไม่น้อย

เดิมทีผู้นำทั้งสองของประเทศรับปากว่าจะลาออกเพื่อเปิดทางให้สภาฯ ตั้ง “รัฐบาลสมานฉันท์” มาบริหารประเทศ

แต่ทั้งประธานาธิบดีและนายกฯ ก็เบี้ยว อีกทั้งไม่มีวี่แววว่าจะมีการตั้งรัฐบาลแห่งชาติได้เมื่อไหร่ อย่างไร

ความช่วยเหลือจากประเทศจีนและอินเดียที่ศรีลังกาขอไปก็ยังไม่มา เพราะความสับสนอลหม่าน ไม่รู้ใครรับผิดชอบบ้านเมือง

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ที่ได้รับคำร้องขอให้เงินกู้ก็ยังไม่รู้ว่าจะเจรจากับใคร

วิกฤตศรีลังกาที่เข้าระดับ “ล้มละลาย” จนประชาชนทนไม่ได้ ต้องบุกทำเนียบประธานาธิบดีและเผาบ้านพักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา จะตั้งรัฐบาลผสมของทุกพรรคสำเร็จหรือไม่ก็ยังไม่แน่ชัด

แต่ที่แน่ๆ คือถ้านักการเมืองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลไม่มีสำนึกความรับผิดชอบและสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาประชาชนแล้ว เราอาจจะเห็นตัวอย่างของ “รัฐล้มเหลว” หรือ Failed state อย่างชัดเจนอีกกรณีหนึ่ง

นายกรัฐมนตรีศรีลังกากล่าวเมื่อปลายเดือนที่แล้วว่า เศรษฐกิจ

ที่เป็นภาระหนี้สินหนักหน่วงเกินแก้ไขของประเทศเข้าสู่โหมด “พังทลาย” (collapse) โดยสิ้นเชิงแล้ว

เหตุผลคือรัฐบาลไม่มีเงินจ่ายค่าอาหารและเชื้อเพลิง เพราะไม่มีเงินสดจ่ายสิ่งของจำเป็นที่ต้องเข้าทั้งหลาย

เป็นหนี้ท่วมหัวแล้วก็ยังต้องผิดนัดชำระหนี้เพราะถังแตก

นายกรัฐมนตรีรานิล วิกรมสิงเห ซึ่งเพิ่งรับตำแหน่งในเดือนพฤษภาคม กำลังเน้นย้ำภารกิจสำคัญที่เขาต้องเผชิญในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจที่เขากล่าวว่ากำลังมุ่งหน้าไปสู่ ​​“จุดต่ำสุด”

วันเสาร์ที่ผ่านมา ทั้งนายกฯ และประธานาธิบดีโคตาบายา ราชปักษา ไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องยอมไขก๊อกด้วยแรงกดดันที่รุนแรง เพราะผู้ประท้วงที่โกรธแค้นบุกที่พักของผู้นำทั้งสอง

ถึงขั้นจุดไฟเผาบ้านพักนายกฯ

ทั้งสองต้องหนีหัวซุกหัวซุน เพราะไม่อาจจะสื่อสารให้ประชาชนยอมรับความล่าช้าและความไร้ประสิทธิภาพของการบริหารวิกฤตนี้ได้อีก

วิกฤตนี้กระทบปากท้องของชาวบ้านอย่างหนัก

ครอบครัวส่วนใหญ่ต้องอดมื้อกินมื้อ เพราะต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลน

อีกทั้งยังต้องเข้าแถวเป็นเวลาหลายชั่วโมงเพื่อแย่งกันซื้อเชื้อเพลิงที่ขาดหาย

นั่นคือความจริงอันโหดร้ายสำหรับประเทศที่เศรษฐกิจเคยเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะมีชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้ออย่างดีมาก่อน

คำถามคือ วิกฤตครั้งนี้ร้ายแรงแค่ไหน?

คำตอบคือรัฐบาลเป็นหนี้เงิน 51,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท)

เมื่อไม่มีเงินก็ไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ได้

ไม่ต้องพูดถึงการส่งคืนเงินต้น

การท่องเที่ยวซึ่งเป็นกลไกสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจ เจอวิกฤตเพราะการระบาดใหญ่ของโควิด และความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยหลังจากการโจมตีของผู้ก่อการร้ายในปี 2019

อีกด้านหนึ่ง ค่าเงินของประเทศก็ทรุดตัวลง 80% ทำให้การนำเข้ามีราคาแพงขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อแย่ลงอย่างแรงจนถึงระดับที่ควบคุมไม่ได้

ซ้ำร้าย ตัวเลขทางการบอกว่าค่าอาหารพุ่งขึ้น 57%

ในความเป็นจริงอาจจะเลวร้ายกว่านั้น

เมื่อประเทศเข้าสู่ภาวะล้มละลาย ก็แทบไม่มีเงินนำเข้าน้ำมัน นม ก๊าซหุงต้ม หรือแม้กระดาษชำระ

ซ้ำเติมด้วยปัญหาคอร์รัปชัน

และหากเงินกู้จาก IMF หรือธนาคารโลกมาถึงก็จะมาพร้อมกับเงื่อนไขที่เข้มงวด เพราะกลัวนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถบริหารจัดการให้ถึงมือประชาชนอย่างแท้จริง

คำถามต่อมาก็คือ วิกฤตครั้งนี้มีผลกระทบต่อคนจนอย่างไร?

คำตอบคือที่ผ่านมา ศรีลังกาไม่ได้ขาดแคลนอาหาร เพราะตั้งอยู่ในโซนที่เหมาะกับการเพาะปลูก

แต่วันนี้ผู้คนกำลังหิวโหยเพราะวิกฤตรอบด้าน

โครงการอาหารโลกของสหประชาชาติระบุว่า เกือบ 9 ใน 10 ครอบครัวต้องกินมื้อข้ามมื้อ เพราะขาดแคลนอาหารและรายได้

ตัวเลขทางการแจ้งว่า ประชาชนประมาณ 3 ล้านคน ต้องเข้าโครงการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมฉุกเฉิน

อีกด้านหนึ่งแพทย์ทั้งหลายต้องใช้โซเชียลมีเดียเพื่อพยายามหาอุปกรณ์และยาที่สำคัญ

ชาวศรีลังกาจำนวนมากขึ้นกำลังดิ้นรนทำหนังสือเดินทางเพื่อหนีไปทำงานต่างประเทศ

เจ้าหน้าที่รัฐจำนวนไม่น้อยได้รับวันหยุดพิเศษเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อให้มีเวลาปลูกอาหารกินเอง

คำถามอีกข้อหนึ่งที่สำคัญคือ ทำไมเศรษฐกิจถึงอยู่ในภาวะวิกฤตเช่นนี้?

ถ้าถามนักเศรษฐศาสตร์ที่เกาะติดเรื่องนี้จะได้รับคำตอบว่า วิกฤตนี้เกิดจากปัจจัยภายในประเทศ เช่น การจัดการที่ผิดพลาด และการทุจริตประพฤติมิชอบของนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐเป็นเวลายาวนาน

ความโกรธแค้นของประชาชนส่วนใหญ่พุ่งเป้าไปที่ประธานาธิบดีโคกาบายา ราชปักษา และน้องชายของเขา อดีตนายกรัฐมนตรีมหินดา ราชปักษา

คนหลังลาออกในเดือนพฤษภาคม หลังจากการประท้วงต่อต้านรัฐบาลหลายสัปดาห์ติดต่อกันจนกลายเป็นความรุนแรงนองเลือดกลางถนน

สถานการณ์ด้านความมั่นคงของประเทศก็เสื่อมทรุดมาอย่างต่อเนื่อง

ในปี 2019 เหตุระเบิดฆ่าตัวตายในโบสถ์และโรงแรมในช่วงอีสเตอร์ได้คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 260 คน

เป็นผลให้การท่องเที่ยวพังทลายทั้งๆ ที่เป็นแหล่งรายได้เงินตราต่างประเทศที่สำคัญสำหรับประเทศ

เมื่อรายได้หดหาย รัฐบาลก็จำเป็นต้องหาทางเพิ่มรายได้ เพราะหนี้ต่างประเทศที่กู้มาสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เพิ่มสูงขึ้นทุกที

แต่นายกฯ มหินดา ราชปักษา กลับผลักดันให้มีการลดภาษีครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ศรีลังกา

แม้ว่ามาตรการลดภาษีจะถูกยกเลิกภายหลัง แต่ก็ช้าไป เพราะเจ้าหนี้ปรับลดอันดับเครดิตของศรีลังกา เป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้กู้ยืมเงินมากขึ้น

ในขณะที่ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศจมลง

จากนั้นการท่องเที่ยวก็พังพินาศอีกครั้งในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19

ถึงเดือนเมษายนปีที่แล้ว รัฐบาลสั่งห้ามการนำเข้าปุ๋ยเคมีเพื่อส่งเสริมเกษตรอินทรีย์

แต่ก็มีผลสร้างความตกใจฉับพลันให้กับเกษตรกร จนทำลายผลผลิตของพืชผลต่างๆ โดยเฉพาะข้าว มีผลดันราคาสูงขึ้น

รัฐบาลต้องการประหยัดเงินตราต่างประเทศด้วยการห้ามการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือย แต่ก็ไร้ผล

พอเกิดสงครามยูเครน ก็ทำให้มีการผลักดันราคาอาหารและน้ำมันให้สูงขึ้น

เฉพาะในเดือนพฤษภาคม อัตราเงินเฟ้ออยู่ใกล้ 40% และราคาอาหารเพิ่มขึ้นเกือบ 60%

กระทรวงการคลังกล่าวว่า ศรีลังกามีเงินสำรองระหว่างประเทศที่ใช้ได้เพียง 25 ล้านดอลลาร์

นั่นคืออาการ “ถังแตก” ที่ชัดเจน

ศรีลังกาจะออกจากวิกฤตได้อย่างไร เป็นกรณีศึกษาที่สำคัญสำหรับคนทั้งโลกจริงๆ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568

นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน

บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'

เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ

เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ

เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ