'ไทย-ศรีลังกา' ณ พุทธะ

๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๕

ตรงกับขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันเพ็ญอาสาฬหะ   เมื่อ  ๒๖๑๐ ปี ล่วงมาแล้ว

วันนี้ "พระพุทธองค์" หลังทรงตรัสรู้ "อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ" คือ ญาณอันเป็นเครื่องตรัสรู้เป็น "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า"

พระองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา คือ "ธัมมจักกัปปวัตนสูตร" แก่ปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี

สำหรับไทย อันเป็นประเทศ "ศูนย์กลางพระพุทธศาสนา" ที่ดำรงคงอยู่และตั้งมั่นในปัจจุบัน

เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๑ คณะสังฆมนตรี กำหนดให้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เรียกว่าวัน "อาสาฬหบูชา"

"จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" นายกฯ ขณะนั้น ประกาศให้เป็น "วันหยุดราชการ" ด้วย

"เหตุการณ์สำคัญ" ที่เกิดในวันอาสาฬหะดังย่อ ดังนี้

-เป็นวันแรกที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศศาสนาพุทธ

-เป็นวันแรกที่พระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมจักร ประกาศสัจธรรม อันเป็นองค์แห่งพระสัมมาสัมโพธิญาณ

เป็นวันที่พระอริยสงฆ์สาวก "องค์แรก" บังเกิดขึ้นในโลก คือ "พระอัญญาโกณฑัญญะ"

ได้รับประทาน "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" ในวันนั้น

-เป็นวันแรกที่บังเกิดสังฆรัตนะ สมบูรณ์เป็นพระรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ

เอาล่ะ....

บุญก็รู้ บาปก็รู้ กันดีแล้ว ฉะนั้น วันนี้ เรามาคุยกันในมุมอื่นบ้าง

พุทธศาสนาเข้ามาเมืองไทยตั้งแต่เมื่อไหร่ คงอยากรู้กัน  พูดแล้วก็ยอกย้อนในความซ้อนซับของภูมิภาคนี้ 

สรุปเอาที่ชัดๆ ก็ตั้งแต่ยุคอาณาจักรสุโขทัยสมัย "พ่อขุนรามคำแหงมหาราช" เรื่อยมา!

แพร่เข้ามาจากศรีลังกา และ "พ่อขุนรามคำแหงมหาราช" ทรงเลื่อมใสศรัทธา ยกเป็นศาสนาหลักชาติ

"พ่อขุนรามคำแหง" คือพระผู้รวบรวมแผ่นดินเป็น "ราชอาณาจักรไทย" เมื่อ ๘๐๐ ปีล่วงมาแล้ว

พระพุทธศาสนานั้น ทุกคนก็รู้ว่า กำเนิดจากประเทศอินเดีย แล้วแพร่เข้าไปสู่ศรีลังกาตั้งแต่เมื่อไหร่?

ก็หลังพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ๒๓๖  ปี

"พระเจ้าอโศกมหาราช" พระผู้ทรงคุณในการทำนุบำรุงเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในการสังคายนาพระวินัยครั้งที่ ๓  ในอินเดีย

พระองค์ทรงส่งพระเถระผู้แตกฉานในพระธรรมวินัย แยกเป็น ๙ สาย ออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนต่างๆ

๑ สายใน ๙ สายนั้น นำโดย "พระมหินทเถระ"

ได้มาที่เกาะของชาวสิงหล คือ "ประเทศศรีลังกา" ที่กำลังล้มละลายจากพิษเศรษฐกิจและประชาชนลุกฮืออยู่ขณะนี้นี่แหละ

พระมหินทเถระ นำพระไตรปิฎกและคัมภีร์ธรรมมาด้วย  พระมหากษัตริย์ศรีลังกาขณะนั้น คือ "พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ" เลื่อมใสศรัทธาถึงขั้นยกราชอุทยาน อุทิศให้ "สร้างวัด"

เพราะเหตุที่ "พระพุทธศาสนา" ในไทย มาจากศรีลังกานั่นเอง ไทยจึงเรียกพระพุทธศาสนาในไทยว่า นิกายเถรวาท สาย "ลังกาวงศ์"

ว่าไปแล้ว "ศรีลังกา" กับ "ไทย" แม้อยู่ห่างกันหน่อย  แต่เมื่อสืบสาวจะพบว่า "ไทย-ศรีลังกา" สัมพันธ์กันแนบแน่นในความเป็น "พุทธ" จากหน่อ-รากเดียวกัน

ศรีลังกานี่ ควรทราบนะครับว่า ความเป็นมาไม่ใช่ระดับพันปี หากแต่ระดับ ๓๐,๐๐๐ กว่าปี ผ่านความรุ่งเรือง ความล่มสลาย ตกเป็นเมืองขึ้นทั้งโปรตุเกส, ฮอลันดา และอังกฤษ

เพิ่งได้รับอิสรภาพจากอังกฤษ เป็นสาธารณรัฐระบบกึ่งประธานาธิบดี ยังไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ!

ช่วงที่ตกเป็นเมืองขึ้นตะวันตก ศาสนาพุทธในศรีลังกาถูกกีดกัน บีบคั้น ทั้งทำร้ายและทำลาย จนพุทธศาสนาจมซบไปจากศรีลังกา

ช่วงเป็นอาณานิคมอังกฤษดีหน่อย

ฝรั่งที่เข้าใจและศรัทธาในพระพุทธศาสนามีบ้าง พุทธศาสนาจึงรอดจากการ "ขุดราก-ถอนโคน"

กระนั้น "หน่อราก" ก็สิ้นเชื้อ จนตอนปลายกรุงศรีอยุธยา ศรีลังกามาอาราธนาพระเถระผู้แตกฉานในพระไตรปิฎกไปช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในศรีลังกา

"พระอุบาลีเถระ" ได้เดินทางไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้ตั้งมั่นในศรีลังกาอีกครั้ง ศรีลังกา ประชากรกว่า ๒๐ ล้านคน  ในจำนวนนั้น ราวๆ ๗๐% เป็นชาวพุทธ

ศรีลังกา จึงให้เกียรติไทย เรียกพุทธนิกายเถรวาทในศรีลังกา ตราบทุกวันนี้ว่า "พุทธ-สยามวงศ์"

เช่นเดียวกับไทย ที่รับเอาพระพุทธศาสนามาจากศรีลังกา ก็ให้เกียรติศรีลังกา เรียกพุทธนิกายเถรวาทในไทยว่า "พุทธ-ลังกาวงศ์"

ในความที่เมืองไทย ขึ้นชื่อว่า "เมืองพุทธ" แกนหลักในโลก เราควรทราบว่า หลังพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ๗๐๐ ปี
พระพุทธศาสนาก็ถูกคนต่างศาสนา ต่างลัทธิ-นิกาย บุกเข้ามาฆ่า ทำลาย และเผาผลาญวัดวาอาราม จนพระพุทธศาสนาสูญหายไปจากอินเดีย

การงอกเงยและงอกงามขึ้นมาอีกครั้งของพระพุทธศาสนาในโลกใบนี้

นอกจากคุณูปการยิ่งใหญ่ของนักสำรวจชาวอังกฤษ สมัยอังกฤษปกครองอินเดีย ที่รื้อฟื้นพระพุทธศาสนา "จากซาก" ที่สำรวจพบและขุดขึ้นมาให้ปรากฏบนดินอีกครั้งแล้ว

การที่พระศาสนาและพุทธสถานในอินเดีย จาก "หน่อพุทธ" ที่จมหาย ได้แตกยอดขึ้นมาอีกครั้ง

จนสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา......

โดยเฉพาะ "พุทธคยา" กลับมาเป็นของชาวพุทธอีกครั้งได้นั้น เราต้องกราบบูชาพระคุณท่าน

"อนาคาริก ธรรมปาละ" ชาวศรีลังกา

ท่านผู้นี้ เป็นบุคคลสำคัญที่สุดในการ "รื้อฟื้นพระพุทธศาสนา" ที่จมหายในอินเดียให้ผุดขึ้นมา และเป็นผู้เรียกร้องเอาพุทธสถานในอินเดียกลับมาเป็นของชาวพุทธ

"ดอน เดวิด เหวะวิตารเน" หรือท่านธรรมปาละ ท่านเป็นคนตระกูลร่ำรวย นับถือพุทธศาสนา

การที่ท่านเดินทางไปพุทธคยา เพราะแรงดาลใจจากได้อ่านบทความของ "เซอร์ เอดวินด์ อาโนลด์" ที่เดินทางไปพุทธคยา แล้วสลดหดหู่กับสภาพที่เห็น จึงได้นำมาเขียน

ราวๆ ๑๓๐ กว่าปีที่แล้ว ท่านธรรมปาละได้อ่าน ก็เกิดความรู้สึก ชวนพระโกเซน คุณรัตนะ ชาวญี่ปุ่นเดินทางไปดูพุทธคยา "สถานที่ตรัสรู้" ของพระพุทธเจ้าทันที

และท่านธรรมปาละ บันทึกเหตุการณ์ตอนนี้ว่า...

 “หลังจากขับรถออกมาจากคยา 6 ไมล์ (ประมาณ 10  กม.) พวกเราได้มาถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ภายในระยะทาง 1  ไมล์ ท่านสามารถเห็นซากปรักหักพังและภาพสลักที่เสียหายเป็นจำนวนมาก

ที่ประตูทางเข้าวัดของพวกมหันต์ (นักธุรกิจการค้าในรูปนักบวชฮินดูซึ่งร่ำรวย-เปลว) ตรงหน้ามุขทั้งสองด้าน มีพระพุทธรูปปางสมาธิและปฐมเทศนาติดอยู่ จะแกะออกได้อย่างไร

พระวิหารที่ศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธรูปประดิษฐานอยู่บนบัลลังก์ งดงามมาก ซึ่งแผ่ไปในใจของพุทธศาสนิกชนสามารถทำให้หยุดนิ่งได้ ช่างอัศจรรย์จริงๆ               

ทันใดนั้นเอง ข้าพเจ้าได้มานมัสการพระพุทธรูป ช่างน่าปลื้มอะไรเช่นนี้ เมื่อข้าพเจ้าจรดหน้าผาก ณ แท่นวัชรอาสน์  แรงกระตุ้นอย่างฉับพลันก็เกิดขึ้นในใจ

แรงกระตุ้นดังกล่าวนั้น กระตุ้นให้ข้าพเจ้าหยุดอยู่ที่นี่ และดูแลรักษาพุทธสถานอันศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นสถานที่ตั้งแห่งต้นพระศรีมหาโพธิ์

ซึ่งเจ้าชายศากยะสิงหะ (พระสิทธัตถะ) ได้ประทับตรัสรู้ และเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่มีที่แห่งใดในโลกมาเทียมเท่านี้

เมื่อมีแรงบันดาลใจ ข้าพเจ้าถามท่านโกเซน คุรุรัตนะ ว่า ท่านจะร่วมมือกับข้าพเจ้าหรือไม่

ท่านได้ตอบตกลงอย่างเต็มใจ และมากไปกว่านั้นท่านเองก็มีความคิด เช่นเดียวกัน เราทั้งสองสัญญากันอย่างลูกผู้ชายว่า

'พวกเราจะพักอยู่ที่นี้ จนกระทั่งมีพระสงฆ์บางรูปมาดูแล สถานที่แห่งนี้' "(วิกิพีเดีย)

ธรรมปาละต่อสู้กับแรงต้านทานชนิดชีวิตแลก ทั้งทางการเมือง การศาสนา และทั้งจากพวกมหันต์

ท่านเดินทางไปประเทศต่างๆ เกือบทั่วโลก ทั้งเผยแผ่พุทธธรรม พร้อมขอความสนับสนุนเรียกร้องเอาพุทธสถานเหล่านั้นกลับคืนมาเป็นของชาวพุทธ

ท่านใช้เวลากว่า ๓๐ ปี จึงพบความสำเร็จ เมื่ออินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ ด้วยทั้งคานธี ทั้งท่านรพินทรนาถ  ฐากูร สนับสนุน

"ชวาหะร์ลาล เนห์รู" รัฐบาลอินเดีย ร่างกฎหมายโอน "พุทธคยา" จากพวกมหันต์ มาเป็นของรัฐบาล

แล้วตั้งคณะกรรมการร่วม "พุทธ-ฮินดู" เป็นผู้บริหาร

นับว่าท่านทำสำเร็จ!

อีกสิ่งที่ท่านปรารถนา คือการสร้างวัด "แห่งแรก" ในอินเดีย ที่กัลกัตตา

ก็จดทะเบียนเป็น "สมาคมมหาโพธิ" วางศิลาฤกษ์สร้างวัดชื่อว่า "ศรีธรรมราชิกเจติยวิหาร" สำเร็จ เมื่อปี ๒๔๖๓

"รัฐบาลอินเดีย" มอบพระบรมสารีริกธาตุที่ขุดค้นพบในอินเดียให้ประดิษฐานในพระวิหารด้วย

ก่อนหน้านั้น ในสมัย "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" รัชกาลที่ ๕ ของไทย ทรงได้รับถวายพระบรมสารีริกธาตุที่ขุดได้บริเวณกรุงกบิลพัสดุ์ จากรัฐบาลอินเดีย

พระองค์ทรงประกาศไปยัง "พุทธศาสนประเทศ" ว่า

"ทรงยินดี จะแบ่งพระบรมธาตุให้แก่ชาวพุทธ ในประเทศอื่นๆ"

ท่านธรรมปาละ ได้เดินทางมาขอรับพระราชทานส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุไปด้วย ในฐานะตัวแทน "ชาวพุทธลังกา"

บั้นปลายของการใช้ชีวิตเป็น "พุทธบูชา" ท่านธรรมปาละ บวชเป็นพระภิกษุ ที่ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน สารนาถ  เมืองพาราณสี

และมรณภาพที่นั้น เมื่อ ๒๙ เมษายน ๒๔๗๖ รวมอายุ  ๖๙ ปี

สุดท้ายก็อยากบอกว่า ณ ขณะนี้ ทั้งพระสงฆ์ ทั้งพี่น้องประชาชนศรีลังการ่วมเผ่าพงศ์วงศ์พุทธของเรา กำลังเดือดร้อน ทุกข์ยากแสนสาหัส

"พระราชญาณกวี" วัดพระราม ๙ ท่านป่าวประกาศ ขอรับบริจาคเวชภัณฑ์ ยารักษาโรค ที่มีภาษาอังกฤษกำกับยา เพื่อส่งไปช่วยพระและชาวบ้านที่ศรีลังกา

วันอาสาฬหบูชานี้ล่ะครับ ติดต่อได้ที่ "ธรรมสถานเฉลิมพระเกียรติ รัชกาลที่ ๙"

เลขที่ ๙๙๙/๙ ถนนพระราม ๙ ซอย-แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กทม. ๑๐๓๑๐ โทร.๐-๒๗๑๙-๗๖๗๖ และ  ๐-๒๗๑๙-๗๕๕๐

ผมก็ "ตั้งใจพร้อม" เพื่อเพื่อนพุทธศรีลังกาแล้วเช่นกัน.

คนปลายซอย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เรื่องที่ 'ลูกไม่ได้บอกพ่อ'

เหมือน "ดูหนังร่วมจอ" จบ ก็จะมานั่งเมาท์กัน "เป็นไงวะ...หนุกมั้ย"? บ้างก็ว่าสนุก บ้างก็ว่าห่วยแตก บ้างก็ว่า "พระเอกโม้สะบั้นหั่นแหลก"

มนุษย์ 'พันธุ์หน้าเหลี่ยม'

ต้องขอบคุณ "ทรัมป์" เขานะ นโยบายตั้งกำแพงภาษีนำเข้า โดยเฉพาะจากจีนจะสูงถึง ๖๐% และการลดภาษีนิติบุคคล จาก ๓๕% เหลือ ๒๑% และจะลดลงเหลือ ๑๕% ในปีต่อไป

'พ่ออวดจน-ลูกอวดรวย'

เอาละเว้ย...เฮ้ย จงระวัง! "ไอ้เสือ" มันออกล่า "คนตาบอด" เพื่อขย้ำเป็นเหยื่ออีกรอบแล้ว

สาวะถี "เทวดาเหนือคุก"

ชั่วโมงนี้.... คนอยากเห็นหน้า "คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง" ว่าที่ "ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ" คนใหม่ มีไม่เท่าไหร่

๑๗ ปี 'นาทีทอง' มาถึง

๑๑ พฤศจิกา.เรียกให้เท่แบบฝรั่งว่า 11.11 ลืมกันหรือเปล่าว่า "วันนี้เรามีนัดกัน?" ความจริงก็ไม่ใช่ "เรา"