เรือของบริษัท Oliveira Navegacoes ออกเดินทางจากท่าเรือตาบาติงกาทุกวันพุธ เวลา 12.00 น. และมีกำหนดถึงท่าเรือเมืองมาเนาส์ เวลา 18.00 น.ของวันเสาร์ เรือที่เราจะฝากชีวิตไว้ในอีก 78 ชั่วโมงข้างหน้ามีชื่อว่า “GM OLIVEIRA II”
ราคาในตั๋วระบุไว้ 240 เรียล แต่มีเงื่อนไขพิเศษ เข้าใจว่าเป็นเพราะคณะของเราซื้อหลายใบจึงได้ราคา 220 เรียล หรือประมาณ 1,550 บาท ถือว่าถูกมากเพราะอยู่ในเรือตั้ง 4 วัน 3 คืน ถูกมากเพราะมีอาหารเลี้ยงวันละ 3 มื้อ และถูกมากเพราะเป็นการเดินทาง 1,628 กิโลเมตรไปบนแม่น้ำสายยิ่งใหญ่ของโลก
เจ้าของแม่น้ำเรียก “อามาโซนัส” (Rio Amazonas ทั้งในภาษาสเปนและโปรตุเกส) ภาษาอังกฤษออกเสียง “แอมะซอน” และสำนักราชบัณฑิตยสภาของไทยก็ให้ใช้ “แอมะซอน” ผมจึงขออนุญาตเขียน “แอมะซอน” นะครับ
เมื่อปี ค.ศ. 1541 นักสำรวจและผู้พิชิตดินแดนชาวสเปน ชื่อ “ฟรานซิสโก เด โอเรยานา” เผชิญหน้าและถูกทำร้ายโดยกลุ่มสตรีชนพื้นเมือง ทำให้เขานึกถึง “อามะโซเนส” นักรบหญิงในเทพนิยายกรีก ว่ากันว่านี่้คือที่มาของชื่อแม่น้ำ แต่ก็มีนักวิชาการจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าน่าจะมาจากคำหนึ่งในภาษาถิ่นดั้งเดิม นั่นคือ “อามาสโซนา” แปลว่า “สิ่งที่ทำลายเรือ”
จุดกำเนิดของแอมะซอนมาจากต้นน้ำนับพันแห่ง แต่ต้นทางที่วัดได้ไกลที่สุดคือตาน้ำบนภูเขารูมิครูซ (Cordillera Rumi Cruz) ของแม่น้ำมันทาโร ในประเทศเปรู
การพิสูจน์นี้เป็นที่ยอมรับเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้แม่น้ำแอมะซอนยาวขึ้นกว่าเดิม และทำให้ยาวกว่าแม่น้ำไนล์ในทวีปแอฟริกา โดยแม่น้ำไนล์ยาว 6,650 กิโลเมตร ขณะที่แอมะซอนยาว 6,762 กิโลเมตร
แอมะซอนมีแม่น้ำสาขาราว 1,100 สาย แอ่งหรือพื้นที่ลุ่มน้ำมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ประมาณ 7 ล้านตารางกิโลเมตร ครอบคลุมประเทศเปรู เอกวาดอร์ โคลอมเบีย โบลิเวีย เวเนซุเอลา และบราซิล แผ่ความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ 5.5 ล้านตารางกิโลเมตรของป่าดิบชื้นแอมะซอน ซึ่งป่าดิบชื้นแอมะซอนมีพื้นที่เกินครึ่งหนึ่งของป่าดิบชื้นที่เหลืออยู่ในโลก และผลิตออกซิเจนออกมาเลี้ยงโลกประมาณ 1 ใน 5 ของทั้งหมด
Discharge หรืออัตราการไหลเฉลี่ยของแม่น้ำแอมะซอนเท่ากับ 209,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีเมื่อไหลออกสู่มหาสมุทรแอตแลนติกที่รัฐปารา ประเทศบราซิล คิดเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ของน้ำที่ไหลลงทะเลในโลกนี้ ทิ้งห่างอันดับ 2 คือแม่น้ำคองโกที่มีอัตราการไหล 41,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
ในแง่ความหลากหลายทางชีวภาพก็มีมากที่สุดในโลก นิตยสาร Nature ให้ข้อมูลว่ามีสัตว์น้ำมากกว่า 4 พันสปีชีส์ คิดเป็น 15 เปอร์เซ็นต์ของพันธุ์ปลาน้ำจืดในโลก
เรือโดยสารของเราออกจากท่า Terminal de Embarque Fluvial-Porto Tabatinga เวลา 12.30 น. ช้ากว่ากำหนดครึ่งชั่วโมง เจ้าหน้าที่ในยูนิฟอร์มอายุประมาณ 50 กลางๆ ถึงปลายๆ นำแก้วน้ำมาแจกคนละใบ เป็นแก้วพลาสติกหนาสีขาว มีลวดลายสัญลักษณ์ของบริษัท แก้วนี้สำคัญมากสำหรับคนที่ไม่มีแก้วขึ้นเรือมาอย่างผม เพราะใช้เป็นที่รองน้ำดื่ม กดกาแฟ แปรงฟัน รวมทั้งใส่เบียร์ ใส่ไวน์ และสุดท้ายเปรียบเสมือนของที่ระลึก คุณจะไม่มีแก้วแบบนี้ถ้าไม่ได้เดินทางล่องแอมะซอน
เจ้าหน้าที่ท่านเดียวกันนี้ยังนำแท็กสำหรับผูกข้อมือ ยืนยันความเป็นผู้โดยสารมาให้ทุกคน แกยิ้มแย้มเป็นกันเองกว่าใคร หลายคนคิดว่าแกเป็นกัปตัน แต่ตำแหน่งคือ Auxiliar de saúde หรือบุรุษพยาบาลประจำเรือ
เรือ GM OLIVEIRA II ที่เราโดยสารนี้เป็นเรือ 3 ชั้น ระบุตัวเลขความจุผู้โดยสารไว้ว่าชั้นแรกรับได้ 215 คน ชั้น 2 รับได้ 200 คน และชั้น 3 รับได้ 115 คน แต่ชั้น 1 ดูเหมือนจะไม่มีผู้โดยสาร หากแต่เน้นบรรทุกยานพาหนะและพัสดุ ส่วนใหญ่ผู้โดยสารจะอยู่กันบนชั้น 2 ซึ่งเป็นพื้นที่หลัก ส่วนชั้น 3 นั้นมีพื้นที่นอนราวครึ่งหนึ่งของชั้น 2 มีโซนดาดฟ้าอยู่ท้ายเรือ และร้านค้าประจำเรือ 1 ร้าน
สำหรับร้านค้าประจำเรือนี้ผมอาจจะพูดถึงบ่อยครั้งหลังจากนี้ไป มีลักษณะเป็นเคาน์เตอร์ที่พ่อค้าอยู่ด้านใน ขายตั้งแต่ลูกกวาดยันแฮมเบอร์เกอร์ และเป็นเสมือนบาร์อีกด้วย หลังคาเรือปิดปกคลุมส่วนที่นอนและโซนร้านค้า เว้นส่วนท้ายเรือไว้ ใครจะขึ้นไปบนหลังคาเรือก็ได้ เป็นที่เก็บเรือบดหรือเรือชูชีพ นั่งเล่นได้แต่ไม่สะดวกสบาย
การเดินทางในแอมะซอนจากตาบาติงกาไปยังมาเนาส์ยังมีเรือเร็วกว่านี้ ใช้เวลาประมาณ 33 ชั่วโมง เรือขนาดใกล้เคียงเรือด่วนเจ้าพระยา มีที่นั่งเป็นแถวเป็นตอนเหมือนรถบัส ถ้าใครรีบกว่านี้ก็ต้องขึ้นเครื่องบิน ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง และยังมีเรือที่ช้ากว่า 4 วัน 3 คืนอีก คือประมาณ 1 สัปดาห์
ท่าเรือที่ GM OLIVEIRA II ของเราจะจอด จากตาบาติงกาถึงมาเนาส์นั้นมีอยู่ด้วยกัน 8 ท่า 8 เมือง ท่าเรือเล็กๆ เรือโดยสารของเราจะไม่จอด เรือจะรับคนขึ้นมาใหม่และส่งคนจากท่าก่อนๆ ลงไป หลายเมืองในรัฐอามะโซนัสของบราซิลไม่มีถนนเชื่อมต่อกัน วิธีไปมาหาสู่ รวมถึงเดินทางทำมาหากินจำเป็นต้องพึ่งพาเรือ
ตอนที่เรือออกจากตาบาติงกาซึ่งเป็นท่าเรือแรกหรือท่าบนสุดของแอมะซอนในบราซิล มีผู้โดยสารอยู่ประมาณครึ่งหนึ่งของความจุ และค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบเต็มพิกัดเมื่อผ่านวันที่ 2 ไปครึ่งวัน
เพื่อไม่ให้โดนลมเย็นยามดึก คณะของเราขึ้นจับจองพื้นที่ชั้น 2 ของเรือส่วนหน้าสุดสำหรับผู้โดยสาร โดยอยู่ถัดจากกลุ่มห้องพักของลูกเรือและห้องพยาบาล ซึ่งอยู่หลัง Bridge หรือห้องควบคุมเรือที่เป็นส่วนหน้าสุดของเรือ
พื้นที่ของผู้โดยสารนั้นจะเป็นพื้นโล่งยาวไปจนติดห้องอาหารที่อยู่ด้านท้ายเรือ เพดานของห้องผู้โดยสารสูงประมาณ 2.5 เมตร และตรงขื่อคานเหล็กที่เรียงกันอยู่ตามแนวยาวลำเรือมีตะขอไว้พร้อมสำหรับให้ผู้โดยสารผูกเปลตามแนวขวางลำเรือ 2 แถวซ้าย-ขวา นี่คือเคบินส่วนตัวของแต่ละคน ที่วางสัมภาระของแต่ละคนก็คือใต้เปล
ทุกคนเตรียมเปลขึ้นมาเพื่อผูกนอน ยกเว้นโยมติดตามพระธุดงค์ 2 คน ผมซื้อเปลมาจากเมืองไทย 3 ปาก เลือกแบบที่สามารถปรับให้มีมุ้งในตัว โดย 2 ปากถวายแด่พระสุธรรม ฐิตธัมโม และพระศุภชัย สุภาจาโร อีกปากไว้ใช้เอง แต่ผมพิจารณาดูแล้วว่าคงจะนอนในเปลไม่ได้ตลอดคืนด้วยสภาพโค้งๆ ของเปลจะทำให้ปวดหลัง มีโทรทัศน์จอแบนแขวนอยู่ เชื่อว่าจะต้องมีคนเปิดดูข่าว ดูหนังในยามค่ำคืน และเหตุผลสำคัญคือจะต้องมีคนกรน ผมรู้ว่ามีอย่างน้อย 1 คนในคณะที่มีเสียงกรนดังสนั่นหวั่นไหว คล้ายการประสานเสียงระหว่างเสือโคร่งและเรือกลไฟ เปลของผมเลยมอบให้คุณป้าติดตามพระท่านหนึ่ง
ผู้ช่วยกัปตันเรือ ในภาษาโปรตุเกสเรียกว่า Imediato เห็นว่าคุณป้าอีกท่านไม่มีเปล แกก็ไปเปิดห้องพักนำเปลออกมาให้ยืม ทุกอย่างลงตัว ทุกคนมีเปลนอน ผมจึงขึ้นไปหาทำเลบนชั้น 3 โดยส่วนหน้าของเรือชั้น 3 มีห้องพักลูกเรืออีกจำนวนหนึ่งและอาจจะมีห้องเก็บของด้วย จำนวนห้องชั้น 3 นี้มีมากกว่าชั้น 2 เสียอีก
เปลผูกอยู่แล้วจำนวนหนึ่ง แต่พื้นที่ว่างมีมาก ถือว่าชั้น 3 ค่อนข้างโล่ง และบนพื้นเรือด้านหน้าที่ผมเลือกวางถุงนอนนี้ป้องกันลมหรือเรียกได้ว่าอับลม ส่วนเรื่องยุงก็จะไม่เป็นปัญหา ตอนนี้ทราบแล้วว่าไม่มียุง (เพราะว่ามีลม) กระเป๋าสัมภาระของผมยังคงวางรวมอยู่กับของคณะบนชั้น 2 นอกจากถุงนอนแล้วผมนำขึ้นมาแค่ผ้าขนหนูเพื่อเตรียมม้วนทำหมอนหนุน
ห้องน้ำในเรือมีอยู่ทั้งชั้น 2 และชั้น 3 แต่ชั้น 2 มีมากกว่า รวมแล้วประมาณ 20 ห้อง แยกชาย-หญิง ชั้น 1 ก็น่าจะมีแต่ผมไม่ได้เดินลงไปสำรวจ ห้องอาบน้ำอยู่รวมกับส้วม ถังพักน้ำของโถชักโครกอยู่สูงเกือบถึงเพดาน เสร็จธุระก็ดึงเชือกที่ถังพักน้ำ ฝักบัวอาบน้ำติดตั้งปล่อยน้ำลงมาจากเพดานห้อง ตอนจะอาบน้ำต้องนำกระดาษชำระไปวางบนฝาถังพักน้ำ ไม่เช่นนั้นจะเปียกยุ่ย ราวหรือตะขอแขวนผ้าเช็ดตัวนั้นไม่มี แต่พอหาที่เกี่ยวได้ สบู่ ยาสระผมต้องวางกับพื้น หรือบนฝาโถส้วม น้ำที่ใช้อาบและใช้กดชักโครกมาจากแหล่งเดียวกัน คือแม่น้ำแอมะซอน
อ่างล้างหน้า-แปรงฟันแยกส่วนออกมาจากห้องน้ำ มีทั้งบนชั้น 2 และชั้น 3 แต่ชั้น 2 มีจำนวนก๊อกมากกว่า ตั้งอยู่ท้ายเรือ ด้านหลังห้องครัว น้ำที่ไหลจากก๊อกคือน้ำที่สูบขึ้นมาจากแอมะซอนเช่นกัน
ส่วนน้ำดื่มถ้าไม่อยากซื้อจากร้านค้าประจำเรือก็มีให้กดดื่มจากเครื่องกรอง ติดตั้งอยู่หน้าห้องครัว น้ำดื่มนี้เป็นน้ำสะอาดที่เตรียมมาจากบนฝั่ง และทุกครั้งที่ผมแปรงฟันผมจะใช้แก้วที่บุรุษพยาบาลให้มา รองน้ำสะอาดจากก๊อกน้ำดื่มไปใช้
พระท่านหนึ่งเรียกหาน้ำร้อนเพื่อชงกาแฟ ผมอาสาไปซื้อกาแฟมาถวาย และอยากดื่มเองสักถ้วย ถามหนุ่มอ้วนเจ้าของร้านประจำเรือเป็นภาษาสเปน เขาก็ตอบสเปนกลับมาว่า No tengo แปลว่า “ไม่มี” ซึ่งกาแฟในภาษาสเปนออกเสียง “กาเฟ” และโปรตุเกสออกเสียง “กาแฟ” ยิ่งคล้ายภาษาไทย
ลงไปถามเจ๊แม่ครัวก็ตอบว่าไม่มี ผมขอน้ำร้อนเป็นภาษาสเปน เธอพูดภาษาโปรตุเกสกลับมาเป็นชุด ผมเดาใจความจากอวัจนภาษาได้ว่า 5 โมงเย็นจะมีกาแฟ หรือไม่ก็น้ำร้อน ระหว่างนี้หลวงพี่จึงต้องทัศนาวิวแอมะซอนไปพลางๆ ก่อน
บนเรือทั้ง 3 ชั้นมีพื้นที่ทางเดินข้างตัวเรือกว้างพอสมควร มีกราบเรือรอบทิศสูงประมาณเอว บางคนลากเก้าอี้พลาสติกจากโซนดาดฟ้ามานั่งรับลมและชมวิวชิดกราบเรือ ทางเดินริมเรือชั้น 2 ที่จะเชื่อมไปยังส่วนของห้องพักลูกเรือ ห้องควบคุมเรือ และด้านหน้าของเรือมีประตูเล็กกั้นอยู่ เขียนว่า Acesso Restrito หมายถึงห้ามเข้า แต่ผมเห็นพระบางรูปยืนอยู่ตรงหัวเรือเรียบร้อยแล้ว ตอนแรกนึกว่าเจ้าหน้าที่เรือเกรงใจพระ แต่ความจริงใครๆ ก็เข้าไปได้
ผมเดินเข้าไปบ้างทางฝั่งขวามือ กัปตันเรือซึ่งในภาษาโปรตุเกสเรียกว่า Comandante บังคับเรืออยู่มองออกมาทางประตูห้องควบคุมเรือ ผมโค้งทักทาย แกทำท่าตะเบ๊ะ ผมทำท่ายกกล้องขึ้นแล้วชี้ไปที่ตัวแก เป็นคำถามว่าถ่ายได้ไหม แกหันฝ่ามือให้ แล้วอีกสองสามวินาทีแกก็ชี้ไปที่พังงาหรือพวงมาลัยเรือ ผมไม่เข้าใจ พอไปอยู่ตรงด้านหน้าห้องกัปตันซึ่งเป็นทางเดินและระเบียงหัวเรือ มีม้านั่งวางอยู่เหมือนเชื้อเชิญให้นั่ง ผมขอถ่ายจากมือถือแบบเซลฟี เห็นกัปตันอยู่ด้านหลัง แกยกหัวแม่มือให้กล้อง
เป็นเวลาชั่วอึดใจที่หลายครั้งเราไม่เข้าใจความหมายในสิ่งที่เห็น และมาเข้าใจหลังจากนั้น บางทีแค่ชั่วอึดใจต่อมา บางทีอีกนานหลายวัน หรือต้องมีเหตุการณ์อื่นมากระตุ้น แล้วเราจะนึกย้อนไปยังเหตุการณ์ข้างต้น ในภาษาภาพยนตร์เรียกว่า “แฟลชแบ็ก” ทีนี้ก็เข้าใจ ปะติดปะต่อเรื่องราว
กรณีของผม กัปตันเชิญให้เข้าห้องควบคุมเรือไปถือพังงา ผมมั่นใจว่าแกหมายความอย่างนั้น แต่ผมช้าไป และพลาดแล้วพลาดเลย จังหวะแบบนี้มีแค่ครั้งเดียว จะให้กลับไปถามว่า “กัปตันครับเมื่อกี๊ชวนให้ผมถือพังงาขับเรือในแม่น้ำแอมะซอนใช่มั้ยครับ ประมาณว่าให้ผมขับเรือถือพังงานิ่งๆ ไม่กี่วินาทีแล้วกัปตันจะถ่ายรูปให้ใช่มั้ยครับ”
ใครกันจะกล้าพูดอย่างนั้นกับกัปตันเรือ และเป็นกัปตันเรือแห่งแม่น้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ถึงจะกล้า ผมก็พูดภาษาโปรตุเกสไม่เป็น คิดได้ดังนี้ก็ถ่ายรูปน้ำ ท้องฟ้า และก้อนเมฆไปดีกว่า
แม่น้ำช่วงแรกผ่านเกาะขนาดใหญ่ทางขวามือ อีกฝั่งของเกาะนี้คือแอมะซอนสาขาที่ไหลมาจากพรมแดนเปรู-บราซิล ชื่อแม่น้ำ Javary ผ่านเกาะนี้ไปสักพักก็มีเกาะใหม่ และเกาะใหม่ แม่น้ำบางช่วงจึงแคบ บางช่วงกว้าง แต่ที่ว่าแคบนี้ก็กว้างกว่าแม่น้ำสายใหญ่อื่นๆ ทั่วไป เฉลี่ยช่วงที่แคบสุดของแอมะซอนคือ 1 กิโลเมตร และช่วงที่กว้าง เฉลี่ยกว้างตั้ง 10 กิโลเมตร
เวลา 5 โมงเย็น เจ๊แม่ครัวมาขอพูดจากไมโครโฟนในห้องกัปตัน ส่งเสียงผ่านลำโพงที่ติดอยู่ทั่วตัวเรือ ผมมาทราบทีหลังว่าเธอประกาศให้ผู้โดยสารไปรับอาหารเย็น วันนี้คือซุปเนื้อ เช่นเดียวกับทุกวันต่อมา ผมไม่เคยได้กินมื้อเย็นแม้แต่ครั้งเดียว เพราะมักจะอยู่แถวร้านหนุ่มอ้วนตอนเวลาอาหารเย็น เช่นเดียวกับมื้อเช้าที่ตื่นไม่ทัน ซึ่งทุกวันคือขนมปัง ส่วนกาแฟนั้นมีให้บริการในตอนเช้าพร้อมขนมปัง และตอนบ่าย 2 โมงหลังจากมื้อเที่ยง เป็นกาแฟร้อนชงสำเร็จในถังใบใหญ่สำหรับกดดื่ม รสชาติหวานเจี๊ยบ
ทุกมื้อหลังเจ๊แกทำอาหารเสร็จก็จะเดินไปที่ห้องควบคุมเรือ ขอไมโครโฟนจากกัปตัน แล้วประกาศว่าอาหารพร้อมแล้ว จากนั้นก็เดินกลับไปยังห้องครัวเพื่อตักอาหารให้ผู้โดยสารที่เข้าแถว ช่วงต้นมื้อแถวจะยาวออกไปจากห้องอาหาร ยาวไปจนเกือบกลางลำเรือ ส่วนมากผู้โดยสารจะนำภาชนะของตัวเองมารับอาหารแล้วกลับไปนั่งกินในเปลใครเปลมัน หรือบนพื้นข้างๆ เปล ส่วนน้อยที่กินในห้องอาหาร ซึ่งนั่งได้คราวละประมาณ 30 คน คนหนุ่มที่ขี้เกียจล้างจานคือขาประจำ เพราะจานช้อนมีให้พร้อม กินเสร็จก็นำไปส่งให้เจ๊แม่ครัว ไม่ต้องล้างเอง
ท้องฟ้าปลายเมษายนมีสีฟ้าสดใส หมู่เมฆสีขาวลอยต่ำ เห็นเป็นรูปทรงต่างๆ แล้วแต่จินตนาการ เมฆบางก้อนกลั่นน้ำฝนลงมามองเห็นแต่ไกล เวลา 5 โมงกว่าๆ ที่หัวเรือหน้าห้องกัปตันลมพัดปะทะใบหน้าเย็นสบาย แต่พอเวลายิ่งผ่านไปลมก็ยิ่งเย็นจนต้องหนีกลับเข้าไปในตัวเรือ
เรื่องกาแฟผมเลิกสนใจไปนานแล้ว เดินขึ้นชั้น 3 ไปถามซื้อเบียร์จากหนุ่มอ้วน ภาษาโปรตุเกสต้องเรียกว่า “เซอเวจา” เขามีให้เลือก 3 ยี่ห้อ ได้แก่ บัดไวเซอร์, ไฮเนเกน และ ITAIPAVA
ผมถามเขาว่า “อิไตปาวาเป็นเซอเวจาของบราซิล?” เขาตอบว่าใช่ ผมเลยซื้อมาลอง เบียร์กระป๋องเล็กจิ๋ว ขนาดแค่ 269 มิลลิลิตร คงเหมาะเป็นพิเศษในวันอากาศร้อน เบียร์ไม่ทันหายเย็นก็ดื่มหมดกระป๋องพอดี
เจ๊แม่ครัวเดินผ่านมา แกชี้ไปที่กระป๋องเบียร์แล้วพูดยิ้มๆ ว่า “กาแฟ ?”.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อริยสัจ 4...หลักการดีที่ควรใช้
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีผู้คนนับถือศาสนาพุทธมากกว่า 92% และในคำสอนของศาสนาพุธก็มีอริยสัจ 4 เป็นหลักที่ใช้ในการแก้ปัญหาที่ยุ่งเหยิงไปสู่ความสงบ
โชคดี...ที่ตายก่อน!!!
เห็นข่าวคราวว่าด้วย หลานสาว ชาวไทยรายหนึ่ง...ซึ่งน่าจะเป็นปุถุชนคนธรรมดา ไม่ได้โดดเด่น โด่งดัง ใดๆ มาก่อนเลย แต่เมื่อเธอโพสต์คลิปวิดีโอ โดยตัวเธอเองนั่ง
ปรับฮวงจุ้ยหรือ?
ไม่รู้จะเป็นเรื่องฮวงจุ้ยหรือกลัวฟ้า กลัวฝน กลัวไฟจะชอร์ตกันแน่ เพราะตั้งแต่ ผบ.ต่อ-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล แม่ทัพใหญ่สีกากี กลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่
ย้ำเป้าหมายหลักทางเศรษฐกิจของเมือง
“เมื่อยืนอยู่ข้างกำแพงพระนครประมาณกรกฎาคม 2572 เราจะถามตัวเองว่า-สถานะทางเศรษฐกิจของเมืองรัตนโกสินทร์มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร”
หรือจะรอให้ประเทศไทยเป็นรัฐล้มเหลว
สถานการณ์บ้านเมืองของไทยเรามีอาการน่าเป็นห่วง เพราะคนรักชาติที่มีอยู่มากกว่าคนชังชาติทำอะไรไม่ได้ กลายเป็นคนหมู่มากที่นิ่งเฉย (Passive Majority) ทำได้อย่างมากก็คือ
อนุสติจากไดโนเสาร์ตัวสุดท้าย!!!
อย่างที่ว่าไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั่นแหละว่า...โดยความเป็นไปของ กฎเกณฑ์ธรรมชาติ หรือจะเรียกว่า กฎวิทยาศาสตร์ ไปจนถึง กฎของพระผู้เป็นเจ้า