สาเหตุที่ "ไทยไม่เจริญ"

วันนี้ขอพึ่งข้อเขียน "ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี" เป็นการ "ตีกิน" ซักวัน

ก็ตามประสาสังขารคนแก่นั่นแหละครับ ที่สามวันดี-สี่วันไข้

แต่ที่จริง อ่านที่ท่านโพสต์เฟซแต่คืนก่อนแล้ว ตั้งใจว่าวันนี้ "ลอกแน่" เพราะเรื่องที่ท่านเล่า เป็นอุทาหรณ์สำหรับเราคนไทยได้ดีที่สุด ในการตัดสินใจเลือก "ใครซักคน" เป็นผู้นำบริหารประเทศ

ท่านใดอ่านตามโซเชียลมีเดียแล้ว ก็คงไม่ว่ากันนะ แต่ผมว่า เรื่องอ่านแล้ว-อ่านอีก ไม่สำคัญเท่า

อ่านแล้ว "ได้คิด" หรือไม่ นั่นแหละ ที่สำคัญ

..................................

ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี

#เรียนรู้จากฟิลิปปินส์

เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ประเทศฟิลิปปินส์ได้เลือกลูกชายจอมเผด็จการขี้โกง Ferdinand Marcos อย่างชนิดถล่มทลาย อาจเป็นที่ตกอกตกใจแก่ชาวโลกและชาวไทยจำนวนหนึ่ง

ว่าทำไมคนฟิลิปปินส์ จึงลืมประวัติศาสตร์ที่ นายมาร์กอส และภริยา (อิเมลดา) ได้โกงบ้านกินเมืองไปประมาณกันว่าเกิน 3 แสนล้านบาท

 (ในจำนวนนี้ รัฐบาลฟิลิปปินส์ ยุคหลังนายมาร์กอส สามารถยึดคืนเงินที่ถูกโกงกลับสู่แผ่นดินได้เพียงประมาณ 1 แสนล้านบาทเท่านั้น)

ปัจจุบัน แม้อดีตประธานาธิบดีได้ตายไปแล้ว ที่รัฐฮาวาย (ซึ่งผมเคยเช่าบ้านอยู่ใกล้ๆ กับบ้านท่านที่ Honolulu)                 แต่คดีการคอร์รัปชัน ก็ยังเล่นงานภรรยาหม้ายของเขาอยู่ (อย่างน้อย 6 คดี)

อันนี้ยังไม่รวมการฆ่าแกงอย่างรุนแรงแก่พวกมุสลิมที่อยากแยกดินแดนที่เกาะมินดาเนา และพวกคอมมิวนิสต์ที่มีกระจายอยู่หลายจุดในฟิลิปปินส์

ในฐานะที่ผมเคยศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติฟิลิปปินส์ (University of the Philippines)ระหว่างปี พ.ศ.2511-2513

ซึ่งเป็นช่วงปลายของการเป็นประธานาธิบดีสมัยแรกของ "ประธานาธิบดี Marcos" ได้รับเลือกปี พ.ศ.2508 เป็นครั้งแรก      

ผมจึงอยากเล่าความจริงให้ฟังว่า.........

ในช่วงสมัยแรกของการเป็นประธานาธิบดีนั้น Marcos ได้สร้างความเจริญให้กับฟิลิปปินส์มาก

ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า อุโมงค์อันแรกกลางกรุงมะนิลา การร่วมมือกับสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (International Rice Research Institute : IRRI) ทำให้การผลิตข้าวมีเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน 

ต่างชาติมาลงทุนกันเยอะ มีห้างสรรพสินค้าที่ทันสมัย ชนิดแบบมีบันไดเลื่อน (Escalator) หลายแห่ง

ในขณะที่ประเทศไทย "ไม่เคยมี" เช่นนั้นแม้แต่แห่งเดียว

"เงินเปโซ" แข็งกว่า "เงินบาท" มาก

เราต้องใช้เงินบาทถึง 7 บาท เพื่อจะแลกกับเงิน 1 เปโซของฟิลิปปินส์

 (ปัจจุบันเราใช้แค่ 1 บาท ก็สามารถแลกได้ประมาณ 1.5 เปโซ)

ด้วยเหตุนี้ คนฟิลิปปินส์ที่บรรลุนิติภาวะในช่วงดังกล่าวจึงชื่นชมยินดีกับผลงานของอดีตประธานาธิบดีมาร์กอส

แต่เมื่อถึงสมัยที่ 2 เขาเริ่มบ้าอำนาจ

ประกาศกฎอัยการศึก วันที่ 23 กันยายน 2515 บังคับให้รัฐสภา "แก้กฎหมาย" ให้เขาสามารถเป็นประธานาธิบดี "ได้ตลอดชีพ"

เมื่อถูกประชาชนเดินขบวนต่อต้าน มีการแฉโพย ทั้งเรื่องการโกงเลือกตั้ง (ทั้งโกง-ทั้งซื้อเสียง) การฆ่าศัตรูทางการเมือง การควบคุมเสรีภาพของประชาชน

ตลอดจนการโกงบ้านกินเมืองในหลายๆ เรื่อง (ประมาณกันว่า ไม่ต่ำกว่าสามแสนล้านบาท หรือสิบพันล้านดอลลาร์)

เขาจึงถูก รมว.กลาโหม พร้อมทหารเข้ายึดอำนาจ จนเขาและครอบครัว (รวมทั้งลูกชายลูกสาว) ต้องลี้ภัยไปอยู่ที่ Hawaii ดังกล่าวแล้วข้างต้น

มีหลายคนยืนยันว่า คนที่เลือกนาย Bong-Bong (บองบอง) ลูกชายของเขาขึ้นเป็นประธานาธิบดีอย่างถล่มทลาย ก็เพราะ "คนรุ่นใหม่" ที่เพิ่งมีสิทธิ์เลือกตั้ง

ไม่เคยทราบว่า "อะไรเกิดขึ้นกับฟิลิปปินส์"?

ในสมัยที่มาร์กอสผู้พ่อ เป็นเผด็จการในสมัยที่ 2 ที่เขาเป็นประธานาธิบดี ได้โกงกินมากมาย

และก่อหนี้ต่างประเทศอย่างมหาศาล อย่างที่ไม่เคยเป็นเช่นนั้นมาในอดีต

ทำให้ฐานะการเงินการคลังและการเศรษฐกิจกลับตกต่ำลงมาจนแทบจะฟื้นไม่ไหวจนถึงปัจจุบัน

และทีมหาเสียงของ "นาย Bong-Bong" ก็มีความสามารถสูงในการใช้ Social media ให้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อการโกหกพกลมให้ "คนชั่วเป็นคนดี"

ประชาสัมพันธ์เฉพาะส่วนที่ดีซ้ำแล้วซ้ำอีก จนทั้งชาวไร่ชาวนา และคนในชนบทหลงเชื่อ เทเสียงให้พร้อมๆ กับพวกคนรุ่นใหม่ ที่ขาดความรู้และประสบการณ์

ส่วนคนชั้นกลาง คนในเมือง และคนที่มีการศึกษา จะไม่ยอมกาบัตรให้เขาอย่างเด็ดขาด

เพียงแต่มีจำนวนน้อยกว่าหลายเท่า (การเมืองในชนบทของฟิลิปปินส์ นักการเมืองจะใช้ทั้งเงินและปืนมาโดยตลอด)

ผมเห็นด้วยกับบางท่านที่วิจารณ์ว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า

โลกเราตอนนี้อยู่ในยุค "เผด็จการอำนาจนิยม" มากขึ้น และประชาธิปไตยถดถอยอย่างเห็นได้ชัด

โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา แนวโน้มอำนาจนิยมที่อยู่เหนือหลักการประชาธิปไตยกำลังแผ่ขยายมากขึ้นทุกวัน

การไม่เคารพกฎหมาย การฆ่าแกงคนสีผิว เหล่านี้ เป็นการแสดงออกถึงอิทธิพลของอำนาจนิยมอยู่เหนือหลักการประชาธิปไตย ที่เชิดชูการเมืองแบบสันติวิธี

แต่คนฟิลิปปินส์กับคนไทยนั้นต่างกัน....

เพราะประเทศฟิลิปปินส์นั้น เคยชินกับการยอมรับผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าทั้งเงินและอาวุธ เข้ามาปกครองตนในฐานะเป็นเมืองขึ้น

ตั้งแต่สเปนจนถึงสหรัฐอเมริกา ก็ถูกปกครองอยู่ถึงประมาณ 500 ปี

จิตใจของความเป็นเสรีชนที่จะต่อสู้กับผู้มีอำนาจที่ไร้ธรรมจึงไม่ค่อยมี ถึงมีก็คงจะไม่เข้มข้นเหมือนคนไทย ที่ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใครมาก่อน

รัฐบุรุษของฟิลิปปินส์ ผู้นำกองทัพฟิลิปปินส์ที่ร่วมกับนายพลแมกอาเธอร์ และทหารสัมพันธมิตรเข้ายึดประเทศฟิลิปปินส์จากการถูกยึดครองโดยกองทัพญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ "พลเอกโรมูโล" (Rumulo)

ได้เข้าเยี่ยม พลเอกเปรม (นายกรัฐมนตรีของไทย) เป็นการส่วนตัวเมื่อ พ.ศ.2524 ที่ห้องงาช้างตึกไทยคู่ฟ้า (ขณะนั้นท่านอายุมากกว่า 80 ปี)

ท่านได้บอกพลเอกเปรมว่า........

 “ใครๆ ก็อิจฉาประเทศไทย เพราะมีหลายอย่างที่คนอื่นไม่มี เช่น พื้นดินอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูก ในน้ำมีปลา ในป่ามีไม้เยอะ เป็นประเทศที่ไม่ค่อยเจอมรสุมธรรมชาติบ่อยๆ เหมือนประเทศอื่นๆ

คนไทยเป็นคนฉลาด เรียนรู้อะไรเร็ว ทั่วโลกที่ขาดแคลนแรงงาน ล้วนอยากได้คนไทย

เสียอย่างเดียวคือ "ขี้เมา"

แต่สาเหตุที่ทำให้ประเทศไทยไม่เจริญเท่าที่ควรจะเป็น ก็เพราะ #ประเทศไทยมีคนเลวในวงการเมืองและวงการสื่อสารมวลชนมากเกินไป"

ผมเข้าใจว่าท่านโรมูโลคงหมายถึงหนังสือพิมพ์ เพราะยุคนั้นทีวีมีแค่ช่อง 3, 5, 7, 9 ไม่มีอิทธิพลใดๆ ในทางการเมือง และ Social media ก็ยังไม่เกิดขึ้นในโลก ที่กลายเป็นสื่อสารมวลชนที่สำคัญมากอยู่ในปัจจุบัน

พลเอกเปรมกระซิบห้ามผมว่า "ได้ยินทุกอย่างแล้ว อย่าเอาไปพูดนะ เดี๋ยวจะได้ศัตรูมาเพิ่มให้แก่รัฐบาล" (แล้วเราก็หัวเราะกัน)

ครับ ตอนนี้พลเอกเปรมก็ไม่อยู่แล้วครับ ผมจึงนำมาเล่าให้ FC ฟัง

ผมยังเชื่อว่าการเลือกตั้งทั่วไปในคราวหน้าของประเทศไทย จะไม่มีผลเหมือนที่เกิดขึ้นในฟิลิปปินส์อย่างแน่นอน

เพราะประเทศไทยไม่ใช่ประเทศฟิลิปปินส์

และคนไทย ก็ไม่เหมือนคนฟิลิปปินส์

 (ปล. #ผมเชียร์ หารด้วย 500 ครับ)

ผมขอเรียนว่า ความเห็นที่ลงในเฟซบุ๊กเป็น #ความเห็นส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับพรรค ปชป.แต่อย่างใด

...............................

พูดถึงเรื่องหาร ๕๐๐ ก็อยากบอกว่า อย่าเพิ่งดีใจหรือเสียใจ เพราะนั่นเป็นแค่วาระ ๒ พักไว้ ๑๕ วัน แล้วยังต้องไปโหวตกันอีกในวาระ ๓

ในวาระ ๓ ใช้วิธีเรียกชื่อ ลงคะแนนเปิดเผย มีเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญเป็น "ข้อกำหนด" ต้องให้เเปะๆ ตามนั้นอีกยิบ

ถึงแม้หาร ๕๐๐ ผ่านวาระ ๓ แล้ว ก็ยังไม่จบ

ก่อนจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ยังต้องผ่านด่านนำไปให้ประชาชนออกเสียงประชามติก่อน ผ่านด่านนี้แล้ว ยังต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

สรุปแล้ว "ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม" ฉบับนี้ จะผ่านทุกขั้นตอน ถึงขั้นนำขึ้น "ทูลเกล้าฯ ถวาย" เพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยก่อนทรงลงพระปรมาภิไธย

โน่นแน่ะ ไปคอยดูกันตอนกันยา.-ตุลา.โน่นแหละ

ช่วงนี้ ก็ดูหนังกลางแปลงเรื่อง....

"โทนี่ผีโลงแตก" ไปพลางๆ ก่อน!.   

คนปลายซอย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'Grab rider ต้วง'

ดู "นาฬิกากรรม" แล้ว ก็อยากบอกว่า.... ช่วงนี้ ใครมีธุระอะไร ก็ไปทำซะให้เสร็จ ยังพอมีเวลา