โคลอมเบียมีตุ๊กๆ ให้บริการในบางเมือง และเรียกว่า “ตุ๊กๆ” เหมือนอย่างบ้านเรา แต่เขียนด้วยอักษรโรมันว่า Tuc Tuc ส่วนใหญ่เป็นรถยี่ห้อ Bajaj นำเข้าจากอินเดีย และที่เมืองเลติเซีย รัฐอามะโซนัส ตุ๊กๆ ถือเป็นขนส่งสาธารณะหลัก
ภิกษุหนุ่ม พระศุภชัย สุภาจาโร หนึ่งในคณะพระธุดงค์เพื่อสันติภาพโลก นั่งตุ๊กๆ มาจอดหน้าที่พัก Casa Hotel Maüneซึ่งมีลักษณะเป็นเกสต์เฮาส์มากกว่าโรงแรม ตั้งอยู่ตรงบริเวณหัวมุมถนน Calle 12 ตัดกับ Carrera 8ท่านแยกมาจากคณะที่ไปหาซื้อตั๋วเรือโดยสารล่องแอมะซอน มารับผมไปช่วยหาอีกแรง
ผมเก็บกระเป๋าในห้องพักแล้วเอากระเป๋าของฝากซึ่งล้วนเป็นอาหารแห้ง 1 กระเป๋าเต็มๆ ที่ซื้อจากร้านน้ำพริกนิตยา บางลำพู ขนมาฝากคณะ เก็บในห้องของโยมที่ติดตามพระธุดงค์ ตอนนี้มีท่านหนึ่งอยู่ในห้อง ชื่อแม่พริ้งกี้ ไม่ได้ออกไปหาซื้อตั๋วกับคณะใหญ่ แกบ่นหิว ผมจึงแนะนำให้ประทังท้องด้วยกวยจั๊บกึ่งสำเร็จรูป ตอนที่แกต้มน้ำร้อนผมก็ออกไปเรียกตุ๊กๆ กับพระศุภชัย
คนขับวัยรุ่นคิดค่ารถ 5 เปโซ หรือประมาณ 45 บาท (1 เปโซเท่ากับ 9 บาท) สำหรับระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตรไปพรมแดนโคลอมเบีย-บราซิล เรียกว่า Frontera พอถ่ายรูปตรงนี้เสร็จผมขอให้ข้ามไปเมืองตาบาติงกา ฝั่งบราซิล เขายังไม่เรียกราคาเพิ่ม
สำหรับเมืองตาบาติงกานี้อยู่ในรัฐชื่ออามะโซนัสเช่นกัน โดยรัฐอามะโซนัสของบราซิลเป็นรัฐขนาดใหญ่สุดของประเทศ มีเมืองมาเนาส์เป็นเมืองเอก ซึ่งจะเป็นปลายทางของคณะในการเดินทางล่องเรือ 1,600 กิโลเมตร ใช้เวลา 4 วัน 3 คืน
ไม่มีการตรวจเอกสารใดๆ ตอนข้ามแดน ไม่มีอะไรกั้น ทั้งไม่มีเจ้าหน้าที่ยืนตรวจตรา มีเพียงธงชาติ 3 ประเทศ ได้แก่ โคลอมเบีย บราซิล และเปรู อยู่ตรงวงเวียนก่อนข้ามแดน
เนื่องจากสื่อสารกันไม่ค่อยรู้เรื่องด้วยข้อจำกัดทางด้านภาษา คนขับพาเราไปที่ท่าเรือสำหรับเรือเล็ก กลางแม่น้ำแอมะซอนมีร้านอาหารเรือนแพจำนวนสามสี่ร้าน ฝั่งตรงข้ามคือประเทศเปรู แผ่นดินที่มองเห็นคือเกาะกลางแอมะซอนชื่อ “จิเนเรีย” ตั้งอยู่ในเขตเมืองยาวาริ รัฐโลเรโต แม่น้ำแอมะซอนบริเวณนี้คือเขตแบ่ง 3 ประเทศ อาจเรียกเล่นๆ ได้ว่า “แอมะซอนสามชาติ” หรือ “สามเหลี่ยมทองคำแห่งแอมะซอน” ก็ย่อมได้
เปรูมีรัฐชื่ออามะโซนัสเช่นเดียวกับโคลอมเบียและบราซิล แต่อยู่ถัดไปทางตะวันตกของรัฐโลเรโต ไม่ได้ติดกับอามะโซนัสของโคลอมเบียและบราซิล
สำหรับเมืองเลติเซียที่เราค้างแรมนั้นในอดีตเคยทำให้เปรูต้องรบกับโคลอมเบียมาแล้วในช่วงปลายปี ค.ศ.1932 ถึงต้นปี ค.ศ.1933 เพราะเปรูไม่พอใจสนธิสัญญาปักปันเขตแดนในพื้นที่ช่วงบนของแอมะซอนกับโคลอมเบียใน 1 ทศวรรษก่อนหน้านั้น
หลังจากเปรูประกาศทวงเลติเซียคืนก็ได้นำกำลังเข้าขับไล่ตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐโคลอมเบียจนต้องหนีกระเจิดกระเจิงเข้าไปในบราซิล ทั้งนี้ด้วยความช่วยเหลือสนับสนุนจากชาวบ้านในเมืองเลติเซียที่ส่วนใหญ่มีเชื้อสายเปรู กว่าทางโบโกตาจะทราบเรื่องก็ผ่านไปหลายวัน ก่อนจะจัดแจงส่งกองทัพบุกลงมา
สงครามยืดเยื้ออยู่ 8 เดือน สูญเสียชีวิตจากอาวุธไปฝั่งละประมาณ 60 คน ตายจากโรคในป่าอีกประมาณข้างละ 200 คน อย่างไรก็ตามโคลอมเบียหลีกเลี่ยงที่จะบุกเข้าเลติเซีย และเหตุการณ์ลอบสังหารประธานาธิบดีเปรูในกรุงลิมาทำให้ผู้นำคนใหม่ของเปรูออกคำสั่งถอนกำลังออกจากเลติเซีย สนธิสัญญาสงบศึกลงนามกันหลังจากนั้นที่เมืองรีโอเดจาเนโรของบราซิล และเลติเซียก็กลับเป็นของโคลอมเบียตามสนธิสัญญาฉบับก่อนหน้านั้น
ผมบอกคนขับตุ๊กๆ ด้วยภาษาอังกฤษผสมสเปนกระท่อนกระแท่นว่าให้พาไปท่าเรือที่จะล่องไปมาเนาส์ เขาก็เข้าใจ และทำท่าทางประมาณว่า 5 เปโซไม่ไหวนะ ผมบอกว่าเดี๋ยวให้เพิ่ม เขาก็บึ่ง “บาจัจ” ออกไปตามคำขอ
บรรยากาศของฝั่งบราซิลดูคึกคักมีชีวิตชีวากว่าฝั่งโคลอมเบียอย่างเห็นได้ชัด ถ้าไม่ดูหน้าตาคนและเสียงดนตรีที่ได้ยินมาจากร้านค้าและลำโพงของรถราที่วิ่งบนถนน ก็อาจคิดว่ากำลังอยู่ในอินเดีย
เราเจอคณะใหญ่เดินออกมาจาก Porto de Tabatinga ท่าเรือสำหรับเรือใหญ่ล่องแอมะซอน แต่มาถึงช้าหมดเวลาขายตั๋วไปแล้ว ผมจ่ายเงินให้คนขับตุ๊กๆ 30 เปโซ เพื่อเป็นค่ารถที่มาส่งผมและพระศุภชัย รวมกับที่จะให้ขับไปส่งสุภาพสตรีค่อนข้างสูงวัยทั้งหลายที่เป็นโยมติดตามรับใช้พระธุดงค์ให้ถึงที่พัก น่าทึ่งที่เหล่าคุณป้าเดินกันมาจากที่พักในเมืองเลติเซีย ฝั่งบราซิล ระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร เวลาตอนนี้เลย 6 โมงเย็นมาแล้ว คงทรหดเกินไปหากต้องเดินกลับอีก 4 กิโลเมตร
ผมกับพระศุภชัยร่วมแจมกับคณะหมายจะเดินกลับโรงแรม แต่เดินไปได้กิโลนิดๆ หนึ่งในคณะสงฆ์โบกได้รถ 3 ล้อมีกระบะคันหนึ่ง ตัวรถเป็นมอเตอร์ไซค์ แต่นำมาดัดแปลงเป็นรถบรรทุกขนาดเล็ก ขณะที่พวกเราสนใจรถ ผู้คนก็ให้ความสนใจพระ ขอถ่ายรูปอยู่หลายนาที คนขับรถก็ถ่ายด้วย สุดท้ายได้เจรจากันและตกลงให้ไปส่งที่พักในราคา 30 เปโซ พระสงฆ์ 6 รูปและ 1 ฆราวาสอัดกันในกระบะเล็กๆ รถวิ่งไปบนถนนเป็นหลุมเป็นบ่อตลอดทาง ลงหลุมทีก็ร้องโอ้ยพร้อมกัน ถึงโรงแรมคนขับลงมาเปิดท้ายให้ แต่ละคนค่อยๆ ยืดขา ลงจากรถอย่างช้าๆ แล้วสำรวจกระดูกกระเดี้ยว โชคดีไม่มีใครถึงกับบาดเจ็บ
โยมที่มาถึงก่อนนิมนต์คณะสงฆ์ไปฉันน้ำปานะที่ร้านค้าใกล้ที่พัก ผู้ชายอายุคงเกือบๆ 60 ปีนั่งดื่มเบียร์อยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง เห็นผมมองเบียร์ในมือแกด้วยความสนใจแกก็ชวนให้ผมนั่ง ก่อนนั่งผมก็ไปซื้อเบียร์ยี่ห้อ Poker แบบเดียวกับแกมา 1 กระป๋อง ต่างคนต่างพูดกันคนละภาษา ก็สนุกดี คณะกลับห้องพักไปแล้วผมไปหยิบเบียร์มาอีกกระป๋อง ผมจำราคาไม่ได้ รู้สึกว่า 2 หรือ 3 เปโซเท่านั้น
ผมจับใจความจากที่พูดกันได้ว่าชายคนนี้ทำงานที่สนามบินเลติเซีย แขนแกบาดเจ็บจากการทำงานข้างหนึ่ง เวลานี้ใช้สายคล้องไหล่ ช่วงเบียร์กระป๋องที่ 2 นี้เองมีอีกคนเข้ามาหาแก คุยกันไม่ยาวชายคนนั้นก็ลุกไป แกบอกว่า “แขนเจ็บอยู่ ไม่ได้ทำงาน ยังจะมายืมเงินอีก” ผมฟังภาษาสเปนไม่ออก แต่เข้าใจว่าความหมายน่าจะเป็นอย่างนี้
จบเบียร์ Poker ไว้ที่ 2 กระป๋อง ผมเดินกลับที่พัก อาบน้ำแล้วออกไปกินมื้อค่ำกับโยมติดตามพระท่านหนึ่ง หาร้านอยู่นานกว่าจะลงเอยที่ร้านอาหาร Cali Pollos เน้นขายไก่ย่างแบบเสียบเหล็กหมุน หนังไก่แทบละลาย และเครื่องปรุงสมุนไพรก็เข้าเนื้อ รสชาติไก่ดีมาก เข้ากับเบียร์ Poker ที่ผมซื้อมาอีก 1 กระป๋องจากร้านขายของชำตอนเดินหาร้านอาหาร คุณป้าที่มาด้วยกันกินไปราว 1 ใน 4 ของไก่ 1 ตัว ผมกินที่เหลือทั้งหมดโดยไม่ใส่น้ำจิ้ม มีสลัดและมันต้มเป็นเครื่องเคียง ผมจำราคาอาหารไม่ได้แล้ว รู้สึกแต่เพียงว่าถูกมาก
เช้าวันต่อมาคณะไปซื้อตั๋วเรือ และวางแผนล่องเรือเล็กเที่ยวตามแม่น้ำสาขาของแอมะซอนในฝั่งเปรู คนไทยเข้าเปรูได้โดยไม่ต้องใช้วีซ่า ส่วนญาติโยมที่ติดตามพระก็มีพาสปอร์ตอเมริกาเข้าได้เกือบทุกประเทศทั่วโลก ผมไม่ได้ไปล่องเรือด้วยเพราะติดเขียนคอลัมน์ เช่นเดียวกับแม่พริ้งกี้ที่เฝ้าที่พักเหมือนเดิม เราฝากพาสปอร์ตไปกับคณะเผื่อว่าต้องใช้ประกอบการซื้อตั๋ว
แม่พริ้งกี้ท้องอืดเพราะกวยจั๊บตั้งแต่เมื่อเย็นวานนี้แล้ว เส้นคงสุกไม่พอเพราะแค่ลวกน้ำร้อนเท่านั้น แกบ่นว่าปวดท้อง ผมพกยาธาตุน้ำขาวตรากระต่ายบินไปจากเมืองไทย 2 ขวด ยกให้แก 1 ขวด ยานี้มีประโยนช์มากยามเดินทางแบบลุยๆ เพราะเราไม่รู้ว่าปัญหาเรื่องท้องไส้จะบังเกิดขึ้นเมื่อใด ผมเคยมีอาการหนักมากที่เมืองโกลกาตา ประเทศอินเดีย เมื่อหลายปีก่อน ท้องเสียอยู่ 3 วันกว่าจะนึกขึ้นได้ว่าพกยาธาตุน้ำขาวไปด้วย กินปุ๊บไม่กี่ชั่วโมงก็ดีขึ้น
ได้เวลามื้อเที่ยง ผมเดินออกไปหาซื้อในรัศมีสามสี่ร้อยเมตร เห็นร้านขายไก่หมุนแบบเดียวกับที่กินเมื่อคืนก็เข้าไปซื้อมาครึ่งตัว รสชาติคล้ายๆ กัน แม่พริ้งกี้กินไก่อย่างเอร็ดอร่อย ผมยังนึกเสียดายที่ซื้อมาแค่ครึ่งตัว ไม่คิดว่าแกจะหายปวดท้องเร็วขนาดนี้
แม่พริ้งกี้เป็นคนอุดรธานี เล่าให้ผมฟังว่าสมัยสาวๆ เป็นช่างเสริมสวยในตอนกลางวัน และเป็นนักร้องตามร้านอาหารในตอนกลางคืนช่วงที่อเมริกาเข้าไปตั้งฐานทัพในไทยระหว่างสงครามเวียดนาม รวมถึงที่จังหวัดอุดรธานี โชคชะตาพลิกผันไปเป็นหมอนวดไทยแผนโบราณที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย แกว่ามีผู้หญิงไปขายบริการที่นั่นเยอะมาก และถูกจับตรวจภายในทุกๆ 3 เดือน แกผู้ไม่เกี่ยวข้องกับการขายบริการก็โดนหางเลขไปด้วย “ทุก 3 เดือนก็หวาดผวากันทีหนึ่ง” แกว่า
พอกลับเมืองไทยมีคนชักชวนให้ไปเป็นช่างเสริมสวยที่อเมริกา จนต่อมาได้เป็นพลเมืองอเมริกันเต็มขั้นและอยู่ยาวจนถึงทุกวันนี้ ในวัย 80 ปีแกยังดูแข็งแรง ติดตามพระธุดงค์มาแล้วราว 3 เดือน เรื่องฝีมือการนวดยังคงยอดเยี่ยม วันหนึ่งผมเจ็บเอ็นร้อยหวายจนเดินแทบไม่ไหว แกจับเส้นนิดๆ หน่อยๆ พร้อมประคบเย็น พักแป๊บเดียวก็เดินปร๋อ
ผมได้รับข้อความจากทางคณะที่ไปซื้อตั๋วเรือว่ากำลังอยู่ที่ตรวจคนเข้าเมือง สนามบินเลติเซีย ที่ต้องไปที่นั่นเพราะเพิ่งทราบว่าต้องนำพาสปอร์ตไปประทับตรา “ออก” จากโคลอมเบีย เจ้าหน้าที่ต้องการให้คนไปปรากฏตัวพร้อมกับพาสปอร์ต
พอผมและแม่พริ้งกี้เตรียมจะเรียกตุ๊กๆ ก็ได้รับข้อความใหม่ว่า ตม.ใจดีปั๊ม “ออก” ให้แล้ว หลังจากมีผู้แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าผมและแม่พริ้งกี้ท้องเสีย เป็นเหตุให้ไม่สามารถไปพร้อมกับคณะได้ตั้งแต่แรก
เวลาสำหรับคณะในการล่องแม่น้ำสาขาของแอมะซอนในเปรูคงเหลือไม่มาก แต่ก็ไม่พลาด กลับกันมาตอนฟ้ามืดพอดี
วันต่อมา เรือโดยสารกำหนดออกเดินทางเวลาเที่ยงตรง แต่เราเช็กเอาต์ออกจากเกสต์เฮาส์ประมาณ 9 โมงเช้า มีพระฝรั่งจากอเมริกา 2 รูปไม่ได้เดินทางไปด้วย ท่านทั้งสองมีกำหนดกลับสหรัฐในอีกไม่กี่วันหลังจากนี้
เจ้าของเกสต์เฮาส์โทรศัพท์เรียกแท็กซี่ให้ 3 คัน ขนทั้งคนและสัมภาระ ที่หมายแรกคือสถานีตำรวจตรวจคนเข้าเมืองตาบาติงกา ประเทศบราซิล (Departmento de Policia Federal – Tabatinga) เพื่อนำพาสปอร์ตไปประทับตรา “เข้า”
คนไทยสามารถพำนักในบราซิลได้คราวละ 90 วันโดยไม่ต้องขอวีซ่า ส่วนอเมริกันก็เข้าได้สบายๆ อยู่แล้ว สำหรับชาวโคลอมเบียหรือเปรูเข้าบราซิล หากอยู่แต่ในเมืองตาบาติงกา ผมเชื่อว่าคงได้รับการยกเว้นไม่ต้องประทับตราเข้าเมือง เพราะตาบาติงกาไม่มีถนนเชื่อมกับเมืองถัดไปของบราซิล การออกจากตาบาติงกาถ้าไม่นั่งเครื่องบินไปยังเมืองมาเนาส์ ก็ต้องนั่งเรือ และหากนั่งเรือก็ต้องมาที่สถานีตำรวจตรวจคนเข้าเมืองแห่งนี้
ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองนั่งประจำเคาน์เตอร์อยู่ 2 คน แต่ทำงานครั้งละคน รับพาสปอร์ตจากพวกเราไป 9 เล่ม แล้วเรียกทีละคน ค่อยๆ เปิดพาสปอร์ตทีละหน้า กว่าจะครบใช้เวลาตรงนี้เกือบ 1 ชั่วโมง แท็กซี่ที่เช่าไว้ไปส่งที่ท่าเรือ และที่ท่าเรือพวกเราต้องเข้าคิวเพื่อถ่ายรูปทำประวัติ ตรงท่าเรือแม้คิวจะยาว แต่กระบวนการผ่านไปค่อนข้างรวดเร็ว เวลาที่เหลือโยมติดตามพระก็ไปซื้อมื้อเที่ยงเพื่อถวายเพลในเรือ บางคนก็ไปหาที่แลกเงิน บ้างซื้อซิมโทรศัพท์บราซิล ส่วนผมเฝ้ากระเป๋าสัมภาระรออยู่ที่ท่าเรือ
ตอนใกล้เที่ยงได้เวลาลงเรือ ซึ่งจุดลงเรืออยู่ห่างจากอาคารท่าเรือประมาณ 150 เมตร ทางเดินเป็นถนนซีเมนต์อย่างดี ไม่มีใครอยากลากกระเป๋าสัมภาระไปเอง จึงใช้บริการรถเข็นกระเป๋า โดยต้องใช้ 2 คัน คนเข็น 2 คน สองหนุ่มเรียกคันละ 60 เรียล (1 เรียลเท่ากับ 7 บาท) หรือ 420 บาทต่อคัน เท่ากับรวมแล้ว 840 บาท ซึ่งถือว่าแพงมาก ก่อนจะลดราคาลงมาเหลือคันละ 40 เรียล เท่าค่าแรงขั้นต่ำต่อวันตามกฎหมายใหม่ของบราซิล
พอขนไปถึงเรือ พระท่านหนึ่งให้ทิปอีกคนละ 50 เรียล รวมเป็น 100 เรียล ท่านคงเข้าใจว่า 100 บาท.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ข้าอยากได้อะไร...ข้าต้องได้
เราคนไทยมักจะอ้างว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐ มีการบริหารกิจการต่างๆ ภายในประเทศตามหลักการของนิติธรรม แต่สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเวลานี้ หลายคนเริ่มตั้งข้อสงสัยว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐจริงหรือ
เมื่อ 'ธรรมชาติ' กำลังแก้แค้น-เอาคืน!!!
เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กรมอุตุนิยมวิทยาของบ้านเรา...ท่านเคยคาดๆ ไว้ว่า ฤดูหนาว ปีนี้น่าจะมาถึงประมาณปลายสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนตุลาคม
จ่ายเงินซื้อเก้าอี้!
ไม่รู้ว่าหมายถึง "กรมปทุมวัน" ยุคใด สมัยใคร จ่ายเงินซื้อเก้าอี้ ซื้อตำแหน่ง ในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ ตามที่ "ทักษิณ ชินวัตร" สทร.แห่งพรรคเพื่อไทย ประกาศเสียงดังฟังชัดในระหว่างขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงช่วยผู้สมัครนายก
ช่วงเค้าลางคดีสำคัญของนายกรัฐมนตรีก่อตัวในดวงเมือง
ขอพักการทำนายเค้าโครงชีวิตคนปี 2568 ไว้ชั่วคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคิวที่รออยู่คือท่านที่ลัคนาสถิตราศีตุล
ไม่สนใจใครจะต่อว่า เสียงนกเสียงกา...ข้าไม่สนใจ
ถ้าหากเราจะบอกว่านายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 ของประเทศไทย เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีเสียงตำหนิ มีการนำเอาการพูดและการกระทำที่ไม่ถูกไม่ต้อง ไม่เหมาะไม่ควร
จาก 'น้ำตา' ถึง 'รอยยิ้ม' พระราชินี
ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา...ได้อ่านข่าวพระราชาและพระราชินีสเปน เสด็จฯ ทรงเยี่ยมเยียนผู้คนที่ประสบภัยน้ำท่วมในเมืองปอร์ตา แคว้นบาเลนเซีย