ความเคลื่อนไหวล่าสุดของทุกฝ่ายที่เกี่ยวกับสงครามยูเครน (เข้าสู่วันที่ 117 วันนี้) บ่งบอกว่าโอกาสที่จะนั่งลงเจรจาเพื่อหาสูตรสันติภาพยังห่างไกลนัก
สัปดาห์ที่ผ่านมาเราเห็นผู้นำเยอรมนี, ฝรั่งเศส, อิตาลีและโรมาเนียไปเยือนกรุงเคียฟกันอย่างคึกคัก
นัดหมายไปพร้อมๆ กันเพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของยุโรปในอันที่จะสนับสนุนให้ประธานาธิบดีเซเลนสกีปักหลักสู้กับรัสเซีย
หลังจากนั้นเพียงวันเดียว เราเห็นนายกฯ สหราชอาณาจักร บอริส ยอห์นสัน ทำเซอร์ไพรส์ด้วยการไปเยือนกรุงเคียฟเป็นครั้งที่ 2
และเสนอจะฝึกทหารยูเครน 10,000 นาย ในการทำสงครามกับรัสเซีย
ยอห์นสันบอกว่าโครงการฝึกทหารให้ยูเครนอย่างนี้จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ความเปลี่ยนแปลงของสมการสงคราม”
นั่นแปลว่าจะทำให้ยูเครนมีโอกาสชนะสงครามในสมรภูมิรบ
ก็ไม่ได้พูดถึงการหยุดยิงเพื่อนำไปสู่การเจรจาสงบศึกอีกเหมือนกัน
ในจังหวะเดียวกันนั้น ประธานกรรมาธิการสหภาพยุโรป Ursula von der Leyen มายูเครนเพื่อประกาศว่า บัดนี้สมาชิกของอียูได้มีมติว่าได้ยกสถานภาพของยูเครนเป็น “candidate” ของการสมัครเป็นสมาชิกอียูแล้ว
นั่นหมายถึงการเริ่มต้นของกระบวนการการอนุมัติให้ยูเครนเข้าเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการ
ไม่ใช่เพียงแค่ประเทศที่แสดงความสนใจจะสมัครเป็นสมาชิกเท่านั้น แต่ได้เข้ามานั่งในห้องรอคิวสัมภาษณ์เพื่อรับอย่างเป็นทางการแล้ว
ในเวลาเดียวกันนั้น ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ก็ขึ้นเวทีใหญ่ St Petersburg International Economic Forum (SPIEF) ที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กปราศรัยครั้งสำคัญ
โดยเน้นว่ารัสเซียตัดสินใจเปิด “ปฏิบัติการพิเศษ” ในยูเครน เพราะเป็นความชอบธรรมของประเทศที่มีอธิปไตยของตนในการที่จะปกป้องความมั่นคงของตน
เพราะปูตินอ้างว่านาโตและโลกตะวันตกมีเจตนาจะใช้ยูเครนเป็นเครื่องมือในการบ่อนทำลายความมั่นคงของรัสเซีย
มองจากแง่ของปูติน นี่ไม่ใช่การ “รุกราน” ยูเครนเพื่อขยายดินแดน หากแต่เป็นการ “ทวงคืนดินแดน” ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตในอดีต
อีกทั้งปูตินย้ำว่า แม้รัสเซียจะมีอาวุธนิวเคลียร์ ก็จะไม่ใช้มันเพื่อสร้างความไร้เสถียรภาพให้กับโลก
แต่หากความมั่นคงของรัสเซียถูกคุกคาม มอสโกก็สงวนสิทธิ์ที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์เช่นกัน
แปลว่าปูตินไม่ได้ปิดทางที่จะใช้อาวุธทำลายล้างรุนแรงเพื่อ “ปกป้องอธิปไตย” ของตน
เหมือนที่เซเลนสกีอ้างว่าที่ต้องสู้กับรัสเซีย และเรียกร้องให้โลกตะวันตกส่งอาวุธมาเพิ่มตลอดนั้นก็เป็นการ “ปกป้องอธิปไตย” ของตนเช่นกัน
ผมสนใจประโยคหนึ่งของปูตินที่บอกว่า เขาไม่ต่อต้านการที่ยูเครนจะเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป เพราะไม่ใช่องค์กรทางทหาร
เท่ากับเป็นการเปิดไฟเขียวให้ยูเครนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอียู แต่ยังคัดค้านเต็มประตูนาโตจะดึงยูเครนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างภาพรวม
ก้าวย่างที่สำคัญคือ คณะกรรมการพิจารณาสมาชิกภาพของสหภาพยุโรป (EU - European Union) ได้สรุปว่าควรเสนอให้ยูเครนเข้าสู่กระบวนการเป็นสมาชิกของ EU โดยให้ได้รับสถานภาพผู้สมัคร (candidate status)
คาดกันว่าจะนำเสนอกันในที่ประชุมสุดยอดของ EU ในสัปดาห์นี้
หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการลงมติให้ยูเครนเข้าสู่การเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการ
สอดคล้องกับที่เซเลนสกีกับผู้นำของเยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี ที่เดินทางไปพบ ก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพในทางการเมืองร่วมกัน
พยายามจะปิดร่องรอยของความขัดแย้งในเรื่องนี้ที่เคยมีมาก่อน
ปกติแล้วการรับประเทศไหนเข้าเป็นสมาชิก EU นั้นต้องใช้เวลาโดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 5 ปี เพราะมีขั้นตอนมากมายหลายชั้น
ที่สำคัญคือ ประเทศไหนจะขอเข้ามาเป็นสมาชิกต้องมีการปฏิรูปและแก้กฎหมายหลายฉบับเพื่อให้เข้ามาตรฐานของสหภาพยุโรป
กรณียูเครนมีการใช้ “ทางลัด” เพราะวิกฤตที่เกิดจากสงครามในยูเครน
และการเรียกร้องอย่างต่อเนื่องของผู้นำยูเครนเอง
เซเลนสกีย้ำเสมอว่า ถ้ายุโรปจริงใจที่จะช่วยยูเครนสู้รัสเซียก็อย่าได้รอช้า ต้องรีบรับเข้าไปเป็นสมาชิก เพราะยูเครนกำลังต่อสู้เพื่อยุโรปทั้งมวล มิได้เสียสละเลือดเนื้อและชีวิตกับทรัพย์สินเพื่อตัวเองเท่านั้น
จำนวนสมาชิกของ EU นั้น เพิ่มขึ้นเป็นขั้นตอน เริ่มจาก 6 ประเทศ (เบลเยียม ฝรั่งเศส เยอรมันตะวันตก อิตาลี ลักเซมเบิร์ก และเนเธอร์แลนด์) มาเป็น 27 ประเทศทุกวันนี้
แม้ว่าอังกฤษจะลาออกไปแล้วภายใต้นโยบาย Brexit อันโด่งดัง แต่ก็ยังมีการเชื่อมโยงกันทางด้านต่างๆ อย่างปฏิเสธไม่ได้
EU ต่างกับ NATO (North Atlantic Treaty Organization) ตรงที่ไม่ใช่องค์กรทางทหาร
หากแต่เน้นความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในนโยบายการต่างประเทศและความมั่นคงร่วมกัน
หรือที่ใช้ในภาษาทางการของเขาว่า Common Foreign & Security Policy - CFSP
เมื่อปูตินก็ยังแยกระหว่าง EU กับ NATO ก็น่าสนใจในแนวทางการแก้วิกฤตในอนาคตสำหรับยุโรปกับรัสเซียอาจจะมาในรูปของความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
และลดดีกรีความตึงเครียดทางทหารผ่าน NATO
เพราะปัจจัยเรื่องอำนาจและผลประโยชน์ก็ยังคงสำคัญที่สุดสำหรับทุกฝ่ายที่ขัดแย้งกันอยู่ในปัจจุบัน
แต่วันนี้สถานการณ์ยังชุลมุนและวุ่นวายเกินกว่าที่ตัวละครสำคัญๆ ในสงครามจะมานั่งถกถึงทางออกที่จะตอบสนอง “ความกังวล” ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
แต่ในท้ายที่สุด สงครามย่อมจะยืดเยื้อต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่มีที่สิ้นสุดไม่ได้
แต่การเจรจาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายในข้อพิพาทนี้ยอมรับว่าตนไม่ได้อยู่ในฐานะเหนือกว่าฝ่ายตรงกันข้ามมากขึ้น ถึงขั้นที่จะ “เผด็จศึก” ได้
แต่กว่าถึงจุดนั้น ยูเครนจะเหลืออะไรให้เจรจา?
นั่นคือคำถามที่ยังไร้คำตอบ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ