EPR แก้ปัญหาขยะ

ขณะนี้ทั่วโลกได้ตระหนักถึงภัยร้ายจากขยะที่เกิดขึ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะขยะพลาสติกที่กำจัดได้ยาก ทำให้หลายประเทศเริ่มกำหนดนโยบายเพื่อลดขยะดังกล่าว โดยเฉพาะกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป หรืออียู

ซึ่งล่าสุดได้มีข้อกำหนดและออกเป็นกฎระเบียบบังคับให้บริษัทผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ที่เป็นพลาสติกและวางขายในท้องตลาด ต้องมีแผนการกำจัดบรรจุภัณฑ์ให้ชัดเจน รวมถึงกำหนดเรื่องของกระบวนการผลิตที่จะต้องถูกตรวจสอบ มีแหล่งที่มา และนำกลับไปรีไซเคิลกลับมาใช้ได้ใหม่อย่างปลอดภัย

และภายในปี พ.ศ.2567 ประเทศสมาชิกจะต้องเข้าร่วมโครงการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต หรือ Extended Producer Responsibility (EPR) เพื่อให้ผู้ผลิตรับผิดชอบต่อบรรจุภัณฑ์ตลอดช่วงชีวิตของบรรจุภัณฑ์ พร้อมทั้งยังได้กำหนดเป้าหมายภายในปี ค.ศ.2030 หรือปี 2573 บรรจุภัณฑ์ทั้งหมดในตลาดอียูต้องสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำหรือรีไซเคิลได้

สำหรับประเทศไทยนั้น ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างก็ตื่นตัวในเรื่องปัญหาโลกร้อนเช่นกัน โดยรัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายมุ่งสู่ความเป็นกลาง หรือการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ.2065 หรือปี พ.ศ.2608 ส่วนภาคเอกชนก็ได้ร่วมกับภาครัฐจัดเวทีให้ความรู้และผลักดันให้แก่ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปได้เข้าใจถึงความสำคัญในการนำกลไก EPR มาบริหารจัดการในการนำบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้วกลับมาใช้ประโยชน์ ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy : CE) และเป็นการแก้ปัญหาขยะอย่างยั่งยืนที่สอดรับกับยุทธศาสตร์ BCG โมเดลของไทย

โดยมุ่งหวังที่จะขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (Brand owner) เพื่อนำบรรจุภัณฑ์หลังบริโภคกลับมาหมุนเวียนใช้ใหม่ ที่ไม่ใช่จำกัดเฉพาะแต่เพียงผู้ผลิต แต่รวมถึงผู้จำหน่าย ผู้บริโภค ผู้จัดเก็บรวบรวม หน่วยงานรัฐ องค์กรอิสระ ที่จะต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นมา รวมทั้งขยะที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย

และช่วงปลายเดือน ธ.ค.2564 สถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) หรือ TIPMSE ร่วมมือกับ 50 องค์กรภาครัฐและเอกชน ทั้งผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ผู้รวบรวม โรงงานรีไซเคิล เทศบาลเมืองแสนสุข เทศบาลเมืองบ้านบึง และเทศบาลตำบลเกาะสีชัง ได้นำรูปแบบของ EPR มาปรับใช้เพื่อจัดการกับบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้วในพื้นที่นำร่อง จ.ชลบุรี ภายใต้ “โครงการ PackBack…เก็บกลับบรรจุภัณฑ์เพื่อวันที่ยั่งยืน” เพื่อให้บรรจุภัณฑ์หมุนเวียนกลับมาใช้เป็นวัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรม สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ส่งผลดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

ต้องยอมรับว่า ขยะเป็นปัญหาเรื้อรังของสังคมไทย โดยปี 2564 ไทยมีปริมาณขยะมูลฝอยเกิดขึ้นประมาณ 24.98 ล้านตัน มีเพียง 9.28 ล้านตัน หรือประมาณ 37% เท่านั้นที่ได้รับการกำจัดอย่างถูกต้อง และนำกลับมาใช้ประโยชน์ 7.89 ล้านตัน หรือ 32%

ซึ่งที่ผ่านมานั้นไทยได้กำหนดนโยบายต่างๆ ในการกำจัดขยะอย่างต่อเนื่อง เน้นหลักการการส่งเสริมให้ผู้ผลิตรับผิดชอบผลิตภัณฑ์ของตนเองหลังการบริโภคหรือ EPR มาใช้ โดยมีเป้าหมายการนำบรรจุภัณฑ์ 4 กลุ่ม ขยะพลาสติก, แก้ว, กระดาษและอะลูมิเนียม

ซึ่ง นภดล ศิวะบุตร รองประธาน TIPMSE ได้ชี้ให้เห็นว่า ระบบการจัดการขยะของไทย ที่ไม่มีกฎหมายบังคับให้ภาคประชาชนคัดแยกขยะในครัวเรือน รวมถึงยังไม่มีมาตรการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้ามามีส่วนร่วม การสร้างองค์ความรู้และความเข้าใจในการคัดแยก ส่วนภาคอุตสาหกรรมรีไซเคิลเองก็ยังไม่มีเทคโนโลยีรองรับ แถมหน่วยงานรับผิดชอบมีหลายหน่วยงาน กรอบกฎหมายสำหรับ EPR หรือ Regulatory Framework และความมั่นคงของนโยบายภาครัฐที่หากเปลี่ยนรัฐบาลนโยบายจะเปลี่ยนตามหรือไม่ เงื่อนไขเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการแก้ไข

ขณะที่ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ อรรถพล เจริญชันษา ย้ำว่า ได้จัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการจัดการบรรจุภัณฑ์ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนด้วยหลักการ EPR เพื่อขยายผลความร่วมมือแก้ไขขยะพลาสติก และยังเป็นภาคสมัครใจ แต่ระยะต่อไปกรมฯ กำลังพิจารณาที่จะยกร่างเป็นกฎระเบียบหรือกฎหมายให้เกิดการบังคับใช้ในอนาคต เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม เทรนด์ของโลกในการลดภาวะโลกร้อนเริ่มมีความเข้มข้นมากขึ้น และมีความชัดเจนว่าจะนำไปสู่มาตรการกีดกันทางการค้า ดังนั้นภาคการส่งออกของไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัวรับมือ และต้องเดินหน้าสู่ EPR ภาคบังคับ โดยเฉพาะกลุ่มยุโรปแม้ว่าขณะนี้ยังไม่มีผลกับประเทศคู่ค้า แต่ในอนาคตไม่ช้านี้เชื่อว่ากฎหมายนี้ต้องนำมาใช้กับประเทศคู่ค้าแน่นอน ดังนั้นผู้ประกอบการในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ของไทยต้องเร่งปรับตัวรองรับไว้ เพื่อไม่ให้ถูกกีดกันทางการค้าในอนาคต และหากสามารถปรับตัวได้เร็วจะทำให้เป็นโอกาสทางการค้าของผู้ประกอบการเอง.

บุญช่วย ค้ายาดี

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ความสำเร็จของแบรนด์กับการใช้Meta

ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีประชากร 700 ล้านคน และมี GDP รวมประมาณ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เป็นตลาดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก

หวยเกษียณแก้ปัญหาแก่ก่อนรวย

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบโครงการสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ หรือหวยเกษียณ ของกองทุนการออมแห่งชาติ ซึ่งนี่ถือเป็นโครงการที่รัฐบาลพยายามส่งเสริมการออมของประชาชนในประเทศ

เจ็บแล้วจบ

หลังการบริหารงานของรัฐบาลเศรษฐาได้เข้ามาเดินหน้ามาตรการประชานิยมลด แลก แจก แถม จัดเต็ม ตามที่สัญญากันไว้ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง โดยเฉพาะนโยบายด้านพลังงาน ลดค่าไฟฟ้า

3แผนกรีนดันอุตฯไทยรักษ์โลก

เทรนด์รักษ์โลกยังมีมาอย่างต่อเนื่อง และตลอดปี 2567 ที่ผ่านมานี้หลายหน่วยงาน หลายบริษัทก็ยังไม่ทิ้งอุดมการณ์อันแรงกล้านี้ และยังแห่ประกาศแผนดำเนินงานเพื่อดูแลสิ่งแวดล้อมกันอย่างคึกคัก

เร่ง“ปรับ”ก่อน(ถูก)“เปลี่ยน”

ยอดขายรถยนต์ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2567 ที่ผ่านมา หลายคนคงตกใจ เพราะหดตัวลงถึง 23.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีแนวโน้มว่าทั้งปีจะหดตัวลงอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 15 ปี

เปิดไม้เด็ดธุรกิจขนาดเล็กสู้ในตลาด

หากย้อนเวลาไปเมื่อหลายปีก่อน ธุรกิจที่มีทุนหนาและมีส่วนแบ่งการตลาดมาก มักจะถูกมองว่าเป็น “ปลาใหญ่” ที่ได้เปรียบเหนือคู่แข่งที่ทุนน้อยกว่าซึ่งเปรียบเหมือน “ปลาเล็ก” จนเป็นที่มาของคำว่า “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” หนึ่งในข้อได้เปรียบที่เห็นชัดที่สุดคือ การมี Economy of Scale หรือ การประหยัดต่อขนาด ซึ่งหมายถึง การผลิตสินค้าหรือบริการในจำนวนที่มากพอที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่ำลง พูดง่ายๆ ก็คือ “ยิ่งผลิตมากขึ้น ต้นทุนการผลิตยิ่งลดลง และยิ่งคุ้มค่ามากขึ้น” โดยต้นทุนในการผลิตสินค้าหรือบริการจะแบ่งออกเป็น ต้นทุนคงที่ (fixed cost) และต้นทุนผันแปร (variable cost) ต้นทุนคงที่ คือ ต้นทุนที่ธุรกิจต้องจ่ายเป็นจำนวนคงที่ ไม่ว่าจะผลิตสินค้าหรือบริการในปริมาณเท่าใดก็ตาม เช่น ค่าเช่าพื้นที่ ค่าเครื่องจักรอุปกรณ์ ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ ส่วนต้นทุนผันแปร