สงครามยูเครนเป็นเหตุการณ์ที่จะปรับเปลี่ยน “ระเบียบโลก” ที่มีความสำคัญยิ่ง
วันนี้มันกลายเป็น “Hybrid War” หรือ “สงครามไฮบริด” ที่มีครบทุกมิติที่ไม่เคยมีมาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นสงครามในสมรภูมิแบบดั้งเดิม หรือสงครามเศรษฐกิจ ผสมกับสงครามไซเบอร์ บวกกับสงครามข่าวสารและจิตวิทยาและสงครามภูมิรัฐศาสตร์
ไม่มีใครสามารถทำนายได้ว่าสงครามนี้จะดำเนินต่อไปอย่างไร หรือจะจบลงอย่างไร
และหากกลายเป็นสงครามยืดเยื้อจะมีความหมายต่อดุลแห่งอำนาจโลกอย่างไร
“ผมอาจจะบอกได้ว่าตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ไม่มีช่วงไหนที่จะอันตรายเท่ากับช่วงนี้ไปถึงปลายปีนี้...ผมคิดว่าประเทศไทยจะต้องเตรียมตัวรับกับสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงเช่นนี้อย่างมาก...”
ประโยคนี้มาจากผู้ที่มีประสบการณ์และเป็นนักสังเกตการณ์สถานการณ์โลกอย่างรอบด้านและต่อเนื่อง
นั่นคือ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี, อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ และปัจจุบันเป็นประธานคณะมนตรีเพื่อสันติภาพและการปรองดองแห่งเอเชีย (Asian Peace and Reconciliation Council – APRC)
ในความเห็นของ ดร.สุรเกียรติ์นั้น ความจริงระเบียบโลกไม่ได้เพิ่งเปลี่ยน...มันเริ่มเปลี่ยนมานานพอสมควรแล้ว
เริ่มตั้งแต่จีนผงาด มีเศรษฐกิจที่ใหญ่อันดับ 2 ของโลก
ตามมาด้วยฝ่ายขวาจัดในยุโรปที่ทวีกำลังสูงขึ้น
นำไปสู่การไม่ยอมรับ “Globalization” หรือ “โลกาภิวัตน์” ที่เรียกว่า “De-globalisation”
นั่นคือช่วงเวลาที่โลกเปลี่ยนไปค่อนข้างจะมาก
มีการศึกษาของธนาคารโลกว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมานั้น ชนชั้นกลางในอเมริกาและยุโรปจนลง
และบังเอิญชนชั้นกลางในสหรัฐฯ และยุโรปนั้น ชนชั้นกลางเป็นฐานของพรรคการเมืองที่สำคัญ
ส่วนหนึ่งก็โยงกับ Brexit เมื่อสหราชอาณาจักรถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป
ตามมาด้วยนโยบาย America First ของโดนัลด์ ทรัมป์ ในอเมริกา
ขณะเดียวกันประเทศที่โยงกับโลกาภิวัตน์ เช่น จีน, อินเดีย, อาเซียน 10 ประเทศ ก็ยังยืนยันว่าโลกจะต้องเดินหน้าเรื่องโลกาภิวัตน์ต่อไป
มิฉะนั้นเศรษฐกิจจะถดถอย จะอยู่กันไม่ได้
และเมื่อมีสงครามการค้าและสงครามการเงิน กับสงครามทางด้านเทคโนโลยี
พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในระบบ Bretten Woods (หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ทำให้เกิดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF และธนาคารโลก หรือ World Bank) เพราะมีระบบใหม่ที่จีนสามารถผลักดันให้ใช้เงินหยวนเป็นส่วนหนึ่งของเงินกองทุนสำรองระหว่างประเทศได้
ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในภูมิสถาปัตย์ทางการเงินของโลก
อเมริกาสมัยทรัมป์ และต่อมาถึงสมัยไบเดนก็เกิด decoupling (การแบ่งขั้ว) ทางด้านการค้าและเทคโนโลยีระหว่างอเมริกากับจีน
“ระเบียบโลกทางด้านการเงินและการค้า” ก็เริ่มปรับตัวอย่างเห็นได้ชัดมาประมาณ 10 ปีแล้ว
องค์การการค้าโลก หรือ WTO ซึ่งเคยโด่งดั่ง มีสมาชิกร้อยกว่าประเทศเพื่อเปิดเสรีทางการค้าก็ติดขัด เดินหน้าไม่ได้
โลกก็หันไปสู่ระบบพหุภาคี
อาเซียนก็มาดูเรื่องเปิดเขตการค้าเสรี และขยายไปบวกจีน, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, อินเดีย, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ที่เรียกว่า RCEP ซึ่งมีทั้งหมด 15 ประเทศ รออินเดียเข้ามาร่วมทีหลัง
จึงจะเห็นความเปลี่ยนแปลงจาก WTO เป็นการเปิดเสรีระดับภูมิภาค
ตามมาด้วยแนวคิด TPP ซึ่งพอถึงสมัยทรัมป์ก็ไม่เล่นด้วย จน 11 ประเทศที่เหลือมาปรับเป็น CPTPP
จึงเห็นแนวโน้มว่าระเบียบโลกจากระดับโลกถูกปรับมาเป็นระดับภูมิภาค
ให้ความสำคัญกับการทำอะไรในภูมิภาคเป็นหลัก แล้วจึงยื่นมือไปหาภูมิภาคอื่นต่อไป
ดังนั้นระบบพหุภาคีภายใต้กรอบของสหประชาชาติถูก bypass (มองข้ามไป)
ส่วนระบบสหประชาชาตินั้น แม้จะทำอะไรได้ แต่ก็ไม่มีผลบังคับ
มติของคณะมนตรีความมั่นคงมีผลบังคับ แต่ทำอะไรไม่ค่อยได้
2 องค์กรใหญ่ก็ถือว่าอ่อนแอไปมาก
ตั้งแต่ก่อตั้งสหประชาชาติหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา อำนาจวีโตของ 5 ประเทศมหาอำนาจในคณะมนตรีความมั่นคง (สหรัฐฯ, จีน, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, รัสเซีย) รัสเซียวีโตไป 120 กว่าครั้ง สหรัฐฯ วีโตไป 80 กว่าครั้ง จีน, อังกฤษ, ฝรั่งเศสใช้สิทธิ์วีโตประเทศละ 20-30 ครั้ง
“กลายเป็นกลไกที่พิกลพิการ หรืออัมพาต...”
แต่ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถแก้กฎบัตรสหประชาชาติได้ และไม่สามารถเอาเรื่องวีโตออกไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีการใช้วิธี bypass หรือมองข้ามระบบสหประชาชาติไป
กลายเป็นว่าประเทศพี่เบิ้มและมหาอำนาจทั้งหลายก็แข่งกันใน “ความคิดริเริ่ม” ใหม่ๆ เอง
ซึ่งมาในรูปกึ่งเศรษฐกิจกึ่งความมั่นคง เช่น กรณี On Belt One Road หรือ Belt-Road Initiative (BRI) ของจีน ซึ่งเชื่อมจีนไปถึงยุโรป 60-70 ประเทศ โดยไม่ผ่านสหประชาชาติแต่อย่างใดเลย
นอกนั้นก็ยังมี Gulf Cooperation ที่เอาไหหลำ, กวางตุ้งเป็นแกนและเชื่อมกับอาเซียน
“ตอนนี้สิงคโปร์กระโดดไปร่วมแล้ว...เชื่อมไหหลำกับสิงคโปร์ตรง เพราะเขาเห็นว่าเส้นทางที่จะเชื่อมจากจีนตอนใต้, ผ่านลาวมาไทยนั้นก็ยังเชื่อมไม่ครบในฝั่งไทย...”
สิงคโปร์ทำ 2 อย่าง คือไม่เพียงแต่ physical connectivity หรือเชื่อมโยงทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงทางดิจิตอลด้วย
คือการเชื่อมสิงคโปร์กับเทียนซินโดยข้ามไทยเราไป
เมื่อจีนไม่แน่ใจว่าไทยจะเอาอย่างไรเรื่องเชื่อมต่อทางรถไฟกับลาวผ่านไทยไปลงมาเลเซียและสิงคโปร์
เขาจึงใช้วิธีต่อลาวเข้ากัมพูชาแล้วออกเมืองท่าที่สีหนุวิลล์ ซึ่งจีนจะมาลงทุนอีก 5-6 หมื่นล้านบาท
นั่นแปลว่า “ระเบียงทางบก” ก็จะเปลี่ยนไป
ระบบเศรษฐกิจทางทะเลก็เชื่อมจากจีนมาที่สิงคโปร์.
(พรุ่งนี้ : โลกจะเปลี่ยนต่อไปอย่างไร?)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ