ชักจะเริ่มหนักข้อยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...สำหรับ ภาวะเงินเฟ้อ ช่วงนี้!!! คือเอาเข้าจริงๆ แล้วมันเฟ้อกันไปแทบจะทั่วทั้งโลกนั่นแหละทั่น เริ่มตั้งแต่โควิด-19 ลากยาวมา 2 ปีกว่าๆ ก็ยังไม่เหี่ยวปลาย ไม่คิดจะหัวตก แถมมาเจอกับวิกฤตยูเครนเข้าไปอีกดอก น้ำมันแพง แก๊สแพง อาหารแพง ปุ๋ยแพง ฯลฯอะไรต่อมิอะไรก็เลยหนีไม่พ้นต้องมีแต่แพง...กับ...แพงยิ่งเข้าไปทุกที...
-------------------------------------------
แต่สำหรับบ้านเราน่าจะยังไม่ถึงกับเฟ้อมากมายซักเท่าไหร่นัก...เห็นว่าประมาณ 5-6 เปอร์เซ็นต์อะไรประมาณนั้น หรือถ้าเทียบกับยุโรป อเมริกา ที่ปาเข้าไปประมาณ 7 เปอร์เซ็นต์ 8 เปอร์เซ็นต์ หรือ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์เอาเลยก็ยังมี หรือแม้ว่าราคาอาหารจะเพิ่มพรวดๆ พราดๆ ราวๆ 20.7 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น แต่ยังไงๆ
คงไม่ถึงกับอดตาย เพราะขึ้นชื่อว่าประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ซะอย่าง ในน้ำมีปลา-ในนามีข้าว แม้ว่าจะแพง...แสน...แพง เพียงใดก็ตาม แต่คงไม่ถึงกับ ขาดแคลน เหมือนอีกหลายๆ ประเทศ ที่ถึงขั้นอดอยากปากแห้งกันไปเป็นรายๆ...
-------------------------------------------
ด้วยเหตุเพราะมันเป็นเรื่อง ของโลก และ ของโรค นั่นแหละทั่น...บรรดาความหนักหนา-สาหัสเหล่านี้ มันเลยไม่ถึงกับโหมกระหน่ำ สาดซัด ไปยังรัฐบาล หรือไปยัง บิ๊กตู่ แบบจะจะ จังๆ ทั้งรัฐบาลและทั้งท่านนายกฯ บิ๊กตู่ เลยยังพอมีเวลาหันไปมั่วกับเรื่อง บิ๊กป้อม, บิ๊กแป้ง หรือ ผู้กองธรรมนัส อะไรทำนองนั้น อันเป็นอะไรที่อีนุงตุงนังเสียเหลือเกิน เรื่องของน้ำมันแพง อาหารแพง เลยกลายเป็นเรื่องไม่ถึงกับฮอตฮิตติดชาร์ต เทียบไม่ได้กับเรื่องคุณน้อง แตงโม หรือ พระบิดา ฯลฯ ที่ยังคงพูดจากันไม่แล้วเสร็จตราบเท่าทุกวันนี้ ก็เลยสบายไปอย่าง หรือออกจะเบาๆ อยู่บ้าง สำหรับรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ถึงกับต้องใส่บ่าแบกหามในเรื่องราวเหล่านี้มากมายจนเกินไป...
-------------------------------------------------
แต่ก็นั่นแหละทั่น...เรื่องราวของเงินเฟ้อในช่วงนี้ ท่าทางมันน่าจะลากยาวว์ว์ว์กันในระดับไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มีเอาเลยก็ว่าได้ คือไม่ใช่เฟ้อกันแค่ชั่วครั้ง-ชั่วคราว แต่อาจเฟ้อกันไปถึงขั้นนำไปสู่ภาวะ เศรษฐกิจถดถอย กันไปทั่วทั้งโลกก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หรือทำให้เรื่องราวของเศรษฐกิจคงต้องกลายเป็นเรื่องที่ฮอตฮิตติดชาร์ตไปจนได้ หรือยังไงๆ คงหนักกว่าเรื่องคุณน้อง แตงโม หรือ พระบิดา อยู่แล้วแน่ๆ เพียงแต่ว่าโดยจังหวะและโอกาส มันจะทวีเข้มข้นขึ้นมาในช่วงไหนต่อช่วงไหน ก็ยังมิอาจสรุปได้ชัดเจน และสิ่งที่คงต้องเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมรับมือเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ก็คือการลุกลาม บานปลาย จากเรื่องหนึ่งไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง หรือจากเรื่องราวทางเศรษฐกิจที่อาจแปรสภาพกลายไปเป็น เงื่อนไข ทางการเมือง ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้...
----------------------------------------------
อย่าลืมว่า...ในช่วง เศรษฐกิจถดถอย ระดับที่เรียกๆ กันว่า The Great Depression หรือการถดถอยครั้งใหญ่เมื่อช่วงราวๆ ปี ค.ศ.1930 นั้น ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาที่หนีไม่พ้นต้องพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ต้องเกิดการ ดุลข้าราชการ หรือต้องปลดระวางข้าราชการไม่รู้กี่ตำแหน่ง กี่กรม กี่กระทรวง และจะด้วยความเดือดเนื้อ ร้อนใจ ความไม่เข้าใจ ความไม่ถูกใจ หรืออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ อีกแค่ประมาณ 2 ปีเท่านั้นเอง หรือปี ค.ศ.1932 อันตรงกับ พ.ศ.2475 มันก็เลยเกิด การเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กลายเป็นระบอบประชาธิปไตยที่วนไป-วนมาไม่คิดจะไปไหนซักกะที จนตราบเท่าทุกวันนี้...
-------------------------------------------------
คือฉากเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์มันจะมีความเกี่ยวข้อง เกี่ยวโยง เกี่ยวพัน กันหรือไม่? เพียงใด? มากหรือน้อยขนาดไหน อันนี้...คงต้องปล่อยให้นักประวัติศาสตร์เขาไปวิเคราะห์ สังเคราะห์กันเอาเอง แต่สำหรับใครก็ตาม...ที่ไม่คิดจะตั้งอยู่ในความประมาท คงหนีไม่พ้นต้องหันไปพลิกประวัติศาสตร์ หยิบอะไรต่อมิอะไรมาใคร่ครวญ ทบทวนให้ถ้วนถี่ เอาไว้ก่อนล่วงหน้า จะไป ล้อเหล้นน์น์น์ หรือจะไปกันแบบเรื่อยๆ เฉื่อยๆ...ไม่น่าจะได้ หรือไม่น่าจะเข้าท่ากันซักเท่าไหร่นัก ยังไงๆ คงต้องนำเอาอดีต-ปัจจุบัน-และอนาคต มาเทียบเคียงเพื่อให้เห็นความเหมือน หรือความแตกต่าง ในแต่ละเรื่อง แต่ละกรณี กันให้ชัดๆ จะจะ อย่างน้อย...ก็เพื่อให้เกิดการปรับตัว ปรับสภาพ หรือการตระเตรียมรับมือให้ทันท่วงที...
---------------------------------------------------
เพราะบรรดาสิ่งเหล่านี้...ย่อมต้องมีความสลับซับซ้อน มากซะยิ่งกว่าเรื่อง บิ๊กป้อม-บิ๊กแป้ง ไม่รู้จะกี่เท่าต่อกี่เท่า ถ้าหากไม่เตรียมตัว เตรียมรับสภาพ เอาไว้ให้ถ้วนถี่ ให้ละเอียดและประณีตกันจริงๆ แล้วอะไรต่อมิอะไรมันก็อาจเป็นไปอย่างที่นักปราชญ์ นักคิด ชาวเยอรมัน นาย Georg Wilhelm Friedrich Hegel แกเคยเอ่ยเอาไว้เป็นวาทะเก๋ๆ เมื่อหลายร้อยปีที่แล้วนั่นแหละว่า...We learn from history that we do not learn from history หรือ เราเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ ว่าเอาเข้าจริงๆ แล้วเรามิได้เรียนรู้อะไรเลยจากประวัติศาสตร์ อะไรประมาณนั้น...
------------------------------------------------
ยิ่งโดยเฉพาะ ปัจจุบัน ในโลกยุคนี้ มันชักถูกตัดขาดไปจาก อดีต ยิ่งเข้าไปทุกที อันส่งผลให้ อนาคต แทบคาดเดาไม่ออก คาดเดาแทบไม่ได้ บรรดาเด็กๆ เยาวชนคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยชักเริ่มมีหน้าตาคล้ายๆ พวก กาเหว่าที่บางเพลง หรือพวกมนุษย์ต่างดาวอะไรทำนองนั้น ยิ่งถ้าได้รับการเชิดชู บูชา ยกย่องสรรเสริญอย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการโดยบรรดาพวกฝรั่งมังค่าทั้งหลาย ก็ยิ่งน่าหนักใจยิ่งขึ้นไปเท่านั้น ดังนั้น...ในระหว่างที่ บิ๊กตู่ ยังคงต้องมั่วไป-มั่วมาอยู่กับ บิ๊กป้อม-บิ๊กแป้ง หรือบวกคุณพี่ โทนี่-โทนาฟ ไปด้วยก็แล้วแต่ บรรดาผู้ที่รักและห่วงใยบ้านเมืองทั้งหลาย คงต้องหมั่นคิด หมั่นปรับตัว ปรับสภาพ ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของวัน-เวลาให้จงได้...
------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้...จาก Thoughts on War... “The practical value of history is to throw the film of the past through the material projector of the present onto the screen of the future.- คุณค่าของประวัติศาสตร์คือการส่งฟิล์มภาพยนตร์แห่งอดีต ผ่านเครื่องฉายในปัจจุบันไปยังจอภาพแห่งอนาคต...”
--------------------------------------------------
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อย่าถึงกับต้องไปถือสาหาความ
ถือซะว่า...ท่านอาจ หาเสียง มาซะจนเคย!!! คือการประกาศจะสมัครเป็นผู้ว่าฯ กทม.มาก่อนล่วงหน้า 2 ปีเนี่ย ย่อมมิใช่น้อยๆ
ต้องเริ่มต้นด้วยการทำลาย 'ความเกลียด'
นับตั้งแต่คุณน้า ชัชชาติ บุรุษผู้กล้ามใหญ่ที่สุดในปฐพี ท่านแลนด์สไลด์ แอฝะล้านช์ หิมะถล่ม ดินทลาย ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.เที่ยวนี้
ว่ากันไปเรื่อยๆ!!!
เห็นว่า...ตั้งแต่สัปดาห์หน้า วันที่ 1 มิ.ย. บรรดา ขาเฮ และ ขาหื่น ทั้งหลาย
ว่าด้วย...ชัยชนะการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.
อืมม์ม์ม์...ต้องเรียกว่าทั้ง แลนด์ ทั้ง สไลด์ เอาเลยทีเดียวเจียว สำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.เที่ยวนี้
จาก กทม.ถึงความเป็นชาติ เป็นสังคมไทย
ขณะกำลังปั่นต้นฉบับชิ้นนี้...ก็ยังไม่มีโอกาสรับรู้ได้เลยว่า ตกลงใครเป็นหมู่ เป็นจ่า เป็นสารวัตรกันแน่!!!
ว่าด้วย...อนาคตของ “บิ๊กตู่”
หมู่นี้รู้สึกว่า...เสียงด่า เสียงทอ ท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ของหมู่เฮา น่าจะซาๆ ไปพอสมควร จะด้วยเหตุเพราะใครต่อใครหันไปสนใจเรื่องอื่น