“หนี้ครัวเรือน”ปัญหาที่ต้องเร่งแก้

สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันที่ได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น สะท้อนจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ที่เพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะราคาพลังงาน และอาหาร กดดันความสามารถในการใช้จ่ายของประชาชนอย่างหนัก โดยส่วนใหญ่ยังคงบอบช้ำจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 หลายภาคส่วนได้รับผลกระทบจากการหยุดกิจการของภาคธุรกิจ ตลาดแรงงานยังคงเปราะบาง และส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ครัวเรือน ตลอดจนความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนอีกด้วย

ก่อนหน้านี้ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ระบุว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวเป็นบวกที่ระดับ 3% และปี 2566 ที่ระดับ 4.5% เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา

แต่ก็ยังมีอีกปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม นั่นคือ “สถานการณ์หนี้ครัวเรือน” โดย ณ สิ้นไตรมาส 4/2564 หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 14.58 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนที่ 90.1% ต่อจีดีพี ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลของจีดีพีที่หดตัวจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 แต่ก็เชื่อว่าเมื่อเศรษฐกิจไทยสามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระดับหนี้ครัวเรือนของไทยต่อจีดีพีน่าจะลดลงได้ในอนาคต

ทั้งนี้ หนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ 34.5%, เพื่อการประกอบอาชีพ 18.1% และเพื่อการซื้อทรัพย์สิน 12.4% ในขณะที่หนี้ครัวเรือนเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลมีสัดส่วนที่น้อยกว่าอยู่ที่ 27.8% ดังนั้นหนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่จึงเป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้และสร้างอาชีพให้กับประชาชนในอนาคตต่อไป

ด้าน “ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (Economic Intelligence Center : EIC SCB)” ได้ออกบทวิเคราะห์ โดยระบุว่า EIC คาดการณ์สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของไทยในปี 2565 ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า จากแรงกดดันด้านราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ตลาดแรงงานอาจฟื้นตัวไม่ทันภาวะเงินเฟ้อ ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน รวมถึงอาจทำให้มีการก่อหนี้ใหม่เพิ่มเติมเพื่อชดเชยสภาพคล่อง

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีมีแนวโน้มที่จะทรงตัวในปีนี้ แม้ว่าหนี้ครัวเรือนจะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งในด้านปริมาณ (Real GDP) และด้านของราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น จะทำให้ Nominal GDP (จีดีพีตามราคาปัจจุบัน) ยังขยายตัวสูงในระดับที่ใกล้เคียงกับการขยายตัวของหนี้ครัวเรือน

 “EIC มองว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนมีโอกาสทรงตัวอยู่ในช่วง 89%-90% ต่อจีดีพีในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 และจะทยอยปรับลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงครึ่งหลังของปี” จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเริ่มทยอยดีขึ้น ทั้งในด้านกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวในช่วงหลังของปี และภาวะเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปีเช่นเดียวกัน จากราคาพลังงานที่คาดว่าจะทยอยลดลง

แม้ว่าตัวเลขหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอาจไม่เพิ่มสูงขึ้น แต่ EIC มองว่าภาวะหนี้ครัวเรือนยังคงเปราะบางและน่ากังวล จากอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น ตลาดแรงงานที่ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ รวมถึงค่าแรงที่ครัวเรือนได้รับอาจเพิ่มขึ้นตามไม่ทันราคาสินค้าและบริการ นั่นจึงอาจเป็นเหตุผลให้ในระยะต่อไปการช่วยเหลือจากภาครัฐยังคงจำเป็น!! ในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน

เนื่องจากปัญหาดังกล่าวยังเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทย โดยยังจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข เนื่องจากภาระหนี้ที่ยังสูงจะทำให้การใช้จ่ายของครัวเรือนมีจำกัด และสร้างแรงกดดันสำคัญต่อการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจไทยในยามที่เศรษฐกิจกำลังจะฟื้นตัว ส่งผลต่อเนื่องให้เศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าในระยะข้างหน้า

อย่างไรก็ดี ภาครัฐควรมีมาตรการจัดการแบบยั่งยืน โดยมุ่งเน้นทั้งการจัดการหนี้ปัจจุบัน ลดการก่อหนี้ที่เกินตัวเพิ่มเติมในอนาคต รวมถึงการส่งเสริมในด้านรายได้และการจ้างงาน ซึ่งจะสนับสนุนความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนในปัจจุบันและในระยะข้างหน้า เช่น การส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงานในภาคธุรกิจผ่านการอุดหนุนการจ้างงาน เพื่อให้แรงงานมีรายได้ต่อเนื่อง การมีนโยบายเพิ่มรายได้ต่อหัวของประชากรในระยะยาว ผ่านการปรับหรือเพิ่มทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดเพื่อเพิ่มผลิตภาพ ที่จะส่งผลต่อโอกาสในการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น.

ครองขวัญ รอดหมวน

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เร่งเครื่องดึงนักท่องเที่ยว

จากสถานการณ์การท่องเที่ยวไทยในปัจจุบัน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ให้ข้อมูลพบว่า ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมในช่วงเกือบ 7 เดือนเต็ม ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-28 ก.ค.2567 ทั้งสิ้น 20,335,107 คน

ต้องเร่งแก้ปัญหาปากท้อง

หลังจากนายกรัฐมนตรีหญิง แพรทองธาร ชินวัตร รับตำแหน่งอย่างชัดเจน ทำให้ภาคเอกชนต่างก็ดีใจ เพราะไม่ทำให้ประเทศเป็นสุญญากาศในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสิ่งแรกที่ภาคเอกชนอย่าง

แนะเจาะใจผู้บริโภคด้วย‘ความยั่งยืน’

คงต้องยอมรับว่าประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนได้รับความสนใจมากขึ้นทั้งจากผู้บริโภค ภาคเอกชน และภาครัฐ ส่งผลให้ผู้ประกอบการในภาคธุรกิจจำเป็นต้องมีการปรับตัว

รัฐบาลงัดทุกทางพยุงตลาดหุ้น

หลังจากปล่อยให้ตลาดหุ้นซึมมาอย่างช้านาน จนปัจจุบันอยู่ต่ำกว่า 1,300 จุด เรียกได้ว่าสำหรับนักลงทุนถือเป็นความเจ็บปวด เพราะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาไม่ได้ไปไหน

ดันอุตฯไทยไปอวกาศ

แน่นอนว่าในยุคที่โลกต้องก้าวหน้าไปสู่อุตสาหกรรมที่ทันสมัยมากขึ้น และต่อไปไม่ได้มองแค่ในประเทศหรือในโลกแล้ว แต่มองไปถึงนอกโลกเลยด้วยซ้ำ เพราะจะเป็นหนึ่งในกลไกในการพัฒนาอุตสาหกรรมภาคพื้นที่มีความแข็งแกร่งส่งผ่านไปยังอุตสาหกรรมอวกาศได้

แบงก์มอง ASEAN ยังมาเหนือ

ยังคงมีอีกหลายประเด็นที่ต้องจับตามองกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งในสถานการณ์โลกและภายในประเทศ ที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจและการค้า โดยมุมมองของ อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ระบุว่า