สหรัฐหวังติดตั้งขีปนาวุธพิสัยกลางในออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ และไทย เป้าหมายหลักคือต่อต้านจีน อเมริกาครองความเป็นเจ้าในอินโด-แปซิฟิก
สิงหาคม 2019 รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ กับรัสเซียต่างถอนตัวจากสนธิสัญญาอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง (INF) ทันทีที่ถอนตัว มาร์ก เอสเปอร์ (Mark Esper) รัฐมนตรีกลาโหมกล่าวว่า สหรัฐอาจเริ่มทดสอบอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางที่ติดตั้งภาคพื้นดินอีกครั้ง หวังจะติดตั้งที่ใดที่หนึ่งในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
เป็นเรื่องน่าคิดว่า INF เป็นสนธิสัญญาที่จะไม่ติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางในยุโรป แต่เมื่อสหรัฐยกเลิกข้อตกลงกลับเอ่ยถึงการติดตั้งขีปนาวุธนี้ที่เอเชียทันที อ้างเหตุผลจีนมีขีปนาวุธดังกล่าว (เช่น DF-26) และไม่ได้ลงนามใน INF
รายงาน Ground-Based Intermediate-Range Missiles in the Indo-Pacific ของ RAND เป็นรายงานล่าสุด (2022) ที่เผยแพร่ต่อสาธารณะ ช่วยให้เข้าใจความคืบหน้าและวิเคราะห์โอกาสความเป็นไปได้ มีสาระสำคัญพร้อมการวิเคราะห์ดังนี้
สหรัฐหวังติดขีปนาวุธใน 5 ประเทศ:
แผนคือติดตั้งขีปนาวุธพิสัยกลางใน 5 ประเทศที่เป็นพันธมิตรด้านความมั่นคง ได้แก่ ไทย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น
1) กรณีไทย งานวิจัยของ RAND ชี้ว่ายากจะร่วมมือกับรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร แม้ในเวลาต่อมากลายเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง สหรัฐคาดหวังความร่วมมือจากรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งในอนาคตมากกว่า
2) กรณีฟิลิปปินส์ เคยเป็นพันธมิตรสำคัญในยุคสงครามเย็น แต่เนื่องจากหลังสงครามเย็นคนฟิลิปปินส์บางส่วนไม่เห็นด้วยกับกองทัพอเมริกันที่ประจำการที่นั่น สหรัฐต้องถอนตัวออกจากฐานทัพเรืออ่าวซูบิก (Subic Bay) นับจากนั้นบทบาทกองทัพอเมริกันในประเทศนี้จึงลดลงมาก
รัฐบาลโรดริโก ดูเตร์เต (Rodrigo Duterte) เป็นอุปสรรคสำคัญ สัมพันธ์กับจีนและรัสเซียมากขึ้น ร่วมมือกับจีนสำรวจทรัพยากรน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติในทะเลจีนใต้ ความเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอ่อนแอลง
วิเคราะห์: ฟิลิปปินส์พิพาทกับจีนเรื่องสิทธิ์เหนือทะเลจีนใต้ การรุกคืบแสดงความเป็นเจ้าของจากจีนจะเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งรอบใหม่ การได้รัฐบาลชุดใหม่เป็นอีกปัจจัยที่จะชี้ว่าฟิลิปปินส์จะสัมพันธ์กับมหาอำนาจอย่างไร ในสมัยเบนิกโน อากีโน ที่ 3 (Benigno Aquino III) มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐอย่างชัดเจน แต่จะยอมให้ติดตั้งขีปนาวุธพิสัยกลางหรือไม่ต้องรอดูรัฐบาลชุดหน้า
3) กรณีเกาหลีใต้ เป็นพันธมิตรสหรัฐตั้งแต่สมัยสงครามเกาหลี ปัจจุบันมีทหารอเมริกันในเกาหลีใต้กว่า 26,000 นาย แต่การคงอยู่มีปัญหาบางประการ ที่เอ่ยถึงมากคือ การแบ่งเบาภาระงบประมาณจากเกาหลีใต้ ประเด็นสำคัญกว่านั้นคือจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของเกาหลีใต้ จึงต้องระมัดระวังหากจะทำเรื่องที่จีนกังวลใจ สมัยประธานาธิบดีมุน แจ-อิน (Moon Jae-in) รัฐบาลเกาหลีใต้แสดงท่าทีว่ายังไม่ต้องการ จึงต้องรอดูท่าทีของรัฐบาลชุดปัจจุบันและอนาคต
วิเคราะห์: ที่ผ่านมาการคงอยู่ของฐานทัพอเมริกันมุ่งชี้ว่าเพื่อป้องกันเกาหลีเหนือ แต่การติดตั้งขีปนาวุธพิสัยกลางยากจะอ้างว่ามีไว้เพื่อยิงเกาหลีเหนือ ประเด็นต้องช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายเป็นอีกส่วนที่ต้องคิดหนักว่าคุ้มค่าที่จะจ่ายหรือไม่ ต้องไม่ลืมว่าในอดีตสหรัฐเคยประจำการอาวุธนิวเคลียร์ที่นี่ทั้งแบบเปิดเผยกับปิดลับ
ประเด็นสุดท้ายที่เกาหลีใต้ต้องใคร่ครวญคือหวังล่มหัวจมท้ายกับสหรัฐหรือจะเป็นประเทศที่มีอิสระด้านการป้องกันประเทศ เพราะจะสัมพันธ์กับด้านอื่นๆ ทั้งหมด หากวันหนึ่งสหรัฐประกาศคว่ำบาตรห้ามติดต่อค้าขายกับจีน รัฐบาลเกาหลีใต้พร้อมทำตามหรือไม่
4) กรณีออสเตรเลีย เป็นอีกพันธมิตรเก่าแก่ ปัจจุบันมีทหารอเมริกันประจำการราว 1,000 นาย ไม่รวมนาวิกโยธินอีก 2,500 นาย พร้อมอาวุธหนักที่ประจำการในออสเตรเลียปีละ 6 เดือน นอกจากนี้ออสเตรเลียเป็นส่วนหนึ่งของระบบสอดแนมที่สำคัญสุดของสหรัฐ (Five Eyes)
คำถามคือ ออสเตรเลียพร้อมแตกหักกับจีนหรือไม่ พร้อมสละความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีนหรือไม่
วิเคราะห์: พันธมิตรทางทหารอินโด-แปซิฟิก สหรัฐ-อังกฤษ-ออสเตรเลีย (AUKUS) ที่เพิ่งประกาศเมื่อกันยายน 2021 กับการช่วยให้ออสเตรเลียมีเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์เป็นหลักฐานว่ารัฐบาลออสเตรเลียตัดสินใจใกล้ชิดอเมริกามากขึ้น
ที่น่าคิดคือออสเตรเลียอยู่ห่างจีนมาก ไม่เหมาะเป็นจุดติดตั้งขีปนาวุธพิสัยกลาง ที่น่าจะเป็นไปได้มากกว่าคือ เรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ที่กำลังสร้างอาจสามารถจะติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์ ด้วยเหตุนี้ AUKUS จะเป็นพันธมิตรที่ล้วนมีเรือดำน้ำติดขีปนาวุธนิวเคลียร์แล่นไปแล่นมาในอินโด-แปซิฟิก ทั้งนี้ขึ้นกับการตัดสินใจของรัฐบาลออสเตรเลียชุดถัดๆ ไป คนออสเตรเลียเห็นดีเห็นงามด้วย
5) กรณีญี่ปุ่น ปัจจุบันมีทหารอเมริกันอยู่ราว 54,000 นาย ทั้งจากกองทัพเรือ นาวิกโยธินและกองทัพอากาศ ญี่ปุ่นมองจีนเป็นภัยคุกคามเรื่อยมาและกังวลมากขึ้น มีประเด็นพิพาทหมู่เกาะเซนกากุที่พร้อมจะปะทุขึ้นอีก อย่างไรก็ตามที่ผ่านมารัฐบาลญี่ปุ่นไม่เห็นด้วยที่สหรัฐถอนตัวจาก INF
วิเคราะห์: รัฐบาลญี่ปุ่นดำเนินนโยบายต้านจีนสอดคล้องกับรัฐบาลสหรัฐ แม้จีนเป็นคู่ค้าสำคัญของญี่ปุ่น ประเด็นสำคัญอยู่ที่ญี่ปุ่นต้องการมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครองหรือไม่ ที่ผ่านมามีการเอ่ยถึงเรื่องนี้เป็นระยะแต่ติดขัดที่ชาวญี่ปุ่นบางส่วนต่อต้านอย่างรุนแรง หากเข้าร่วมโครงการขีปนาวุธพิสัยกลางจะเป็นอีกก้าวช่วยให้บรรลุเป้าหมาย ถ้าคิดว่าที่สุดแล้วกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นจะล่มหัวจมท้ายกับกองทัพอเมริกัน การสู้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ย่อมอยู่ในพิสัยที่ควรเตรียมพร้อม
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นอยู่ในตำแหน่งที่ดี สามารถโจมตีได้ทั้งจีน เกาหลีเหนือ และเป้าหมายทางตะวันออกไกลของรัสเซีย ครอบคลุมพื้นที่ทางทะเลกว้างใหญ่ ท้ายที่สุดจึงขึ้นกับยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศของญี่ปุ่นและโลกจะได้คำตอบในที่สุด
วิเคราะห์องค์รวมและสรุป:
ประการแรก มุ่งต่อต้านจีนทุกด้าน
โครงการนี้จะสัมพันธ์ทุกด้านไม่เฉพาะเรื่องการทหาร ดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจติดตั้งระบบอาวุธนี้ต้องคิดให้รอบคอบว่าจะถือจีนเป็นศัตรูหรือมิตร กรณีอียูกับรัสเซียอันเนื่องจากสงครามยูเครนเป็นตัวอย่างที่ดี
ในอีกมุมจะหมายถึงการล่มหัวจมท้ายกับสหรัฐจะมีทหารอเมริกันประจำการถาวรอยู่ในประเทศนั้น มีฐานทัพอเมริกันที่นั่น ความเข้าใจนี้ปรากฏชัดในงานวิจัยของ RAND ฝ่ายสหรัฐคาดหวังว่าจะมีรัฐบาลชุดใดชุดหนึ่งที่รับข้อเสนอและดำเนินนโยบายต้านจีนตลอดไป
ประการที่ 2 นิวเคลียร์หรือไม่นิวเคลียร์
ประเด็นที่ควรตั้งคำถามคือเป้าหมายสุดท้ายจะเป็นแค่หัวรบธรรมดาหรือหัวรบนิวเคลียร์ ที่เปิดเผยต่อสาธารณะสับสนเพราะสหรัฐถอนตัวออกจาก INF ซึ่งเป็นอาวุธนิวเคลียร์ แต่พอพูดถึงการติดตั้งขีปนาวุธประเภทนี้ในอินโด-แปซิฟิกบางครั้งใช้คำว่าเป็นหัวรบธรรมดา
ที่น่าจะเป็นไปได้คือ ระบบปล่อยขีปนาวุธที่ว่าสามารถติดหัวรบได้หลายแบบหรือสามารถเปลี่ยนเป็นขีปนาวุธหลายประเภท กรณีนี้จะคล้ายกับข้อกล่าวหาระบบปล่อยขีปนาวุธที่สหรัฐติดตั้งในโรมาเนียกับโปแลนด์ แม้ในเบื้องต้นจะเป็นชนิดพื้นสู่อากาศแต่สามารถเปลี่ยนเป็นขีปนาวุธพื้นสู่พื้น เช่นเปลี่ยนเป็นจรวดร่อนโทมาฮอว์กที่สามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ เรื่องนี้กลายเป็นข้อพิพาททำให้ทั้งสหรัฐกับรัสเซียถอนตัวจาก INF และมีส่วนพัฒนาความขัดแย้งจนเกิดสงครามยูเครน เมื่อยูเครนมีแผนเข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโตซึ่งอาจนำสู่การติดตั้งระบบขีปนาวุธแบบโรมาเนีย เป็นเส้นต้องห้าม (red line) ที่รัสเซียยอมไม่ได้ จึงส่งกองทัพบุกยูเครน
ดังนั้น ลำพังการติดตั้งระบบปล่อยอาวุธก็เป็นปัญหาแล้ว ไม่ต้องสรุปว่าเป็นนิวเคลียร์หรือไม่
ประการที่ 3 อาจเป็นขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก
ที่ชัดเจนข้อหนึ่งคือเป็นแผนระยะยาวที่กินเวลานับสิบปี ไม่ว่าจะเป็นการรอให้รัฐบาล 5 ประเทศยินยอม เวลาที่ใช้ในการออกแบบสร้างฐานปล่อย ควรเข้าใจว่าจะไม่ใช่แค่ฐานปล่อยขีปนาวุธ แต่เป็นระบบใหญ่กว่านั้น เช่น มีระบบป้องกันภัยทางอากาศ มีฐานทัพอากาศ ศูนย์บัญชาการ ฯลฯ รวมความแล้วเป็นฐานทัพถาวรขนาดใหญ่นั่นเอง (อาจเทียบกับฐานทัพสหรัฐในเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น) และจะเป็นความสัมพันธ์ที่ยาวนานดังที่กองทัพสหรัฐยังอยู่ที่เกาหลีใต้กับญี่ปุ่นแม้สิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ใกล้จะ 8 ทศวรรษแล้วก็ตาม
ตัวขีปนาวุธที่ว่าเป็นรุ่นใหม่ซึ่งต้องใช้เวลาพัฒนาอีกหลายปี เป็นไปได้ว่าอาจเป็นขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกที่กำลังพัฒนา
รวมความแล้วเป็นอีกครั้งที่รัฐบาลสหรัฐกำลังเสริมสร้างอิทธิพลของตนในระดับโลกด้วยการเล่นงานปรปักษ์สำคัญ คือการจัดระเบียบโลกที่รัฐบาลสหรัฐทำเรื่อยมา สร้างกระแสสงครามเย็นใหม่.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
2024สงครามกลางเมืองซีเรียระอุอีกครั้ง
สงครามกลางเมืองที่ดำเนินมาเกือบ 14 ปียังไม่จบ สาเหตุหนึ่งเพราะมีรัฐบาลต่างชาติสนับสนุนฝ่ายต่อต้านกับกลุ่มก่อการร้าย HTS เป็นปรากฏการณ์ล่าสุด
ฮิซบุลเลาะห์-อิสราเอลจากเริ่มรบสู่หยุดยิง
ถ้าคิดแบบฝ่ายขวา อิสราเอลที่หวังกวาดล้างฮิซบุลเลาะห์ การสงบศึกตอนนี้ไม่บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ และฮิซบุลเลาะห์กำลังเปลี่ยนจุดยืนหรือ
เส้นทางสายไหมตะวันออกแห่งศตวรรษที่21
BRI จะเป็นแค่การพัฒนาร่วมหรือเป็นยุทธศาสตร์ครองโลกของจีนเป็นที่ถกแถลงเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรนานาชาติเฝ้าติดตาม จริงหรือเท็จกาลเวลาจะให้คำตอบ
ท่าทีความมั่นคงของเนทันยาฮู2024 (2)
เนทันยาฮูย้ำว่า อิสราเอลหวังอยู่ร่วมกับนานาชาติโดยสันติ แต่กระแสโลกต่อต้านอิสราเอลส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมของอิสราเอล นโยบายกับความจริงจึงย้อนแย้ง
ท่าทีความมั่นคงของเนทันยาฮู 2024 (1)
บัดนี้สถานการณ์ชี้ชัดแล้วว่าอิสราเอลกำลังจัดการฮิซบุลเลาะห์ต่อจากฮามาส ทำลายอิหร่านกับสมุนให้เสียหายหนัก
เลือกตั้งสหรัฐ2024เลือกสังคมนิยมหรือฟาสซิสต์
ทรัมป์ชี้ว่าแฮร์ริสเป็นพวกสังคมนิยม ส่วนแฮร์ริสชี้ว่าทรัมป์เป็นเผด็จการ สหรัฐกำลังเข้าสู่การเลือกระหว่าง “สังคมนิยม” กับ “ฟาสซิสต์”