สงครามเข้าเดือนที่ 3 : รัสเซีย เผยแผนยึดตะวันออกและใต้ยูเครน

และยังเผยเป็นครั้งแรกว่าทหารรัสเซียจะขยายปฏิบัติการทางทหารรอบนี้ไปสู่ดินแดน Transnistria ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ Moldova ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของยูเครน

Transnistria ประกาศแยกตัวออกจาก Moldova แต่ไม่เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ

รัสเซียอ้างว่าประชาชนในดินแดนแห่งนี้มีเชื้อสายรัสเซียเป็นจำนวนมาก มอสโกจึงมีสิทธิที่จะปกป้องคนเหล่านั้น

แต่ความจริงก็น่าจะเป็นว่า ถ้าพิจารณาจากภูมิศาสตร์แล้ว หากรัสเซียยึด Transnistria (ชื่อทางการ Pridnestrovian Moldavian Republic หรือ PMR) มอสโกก็ต้องการจะยึดจุดนี้เพื่อสามารถล้อมยูเครนจากทางตะวันตกด้วย

ยุทธการ “ล้อมปราบ” ของรัสเซียต่อยูเครน คือการที่สามารถยึดดินแดนจากตะวันออกมาทางใต้ (ซึ่งต้องเผด็จศึกยึด Mariupol ให้ได้เสียก่อน) ตลอดชายฝั่งของทะเลดำไปถึง Transnistria

แต่รัฐบาล Moldova เมื่อได้ยินคำประกาศของรัสเซียว่าจะมายึด Transnistria ด้วย ก็เชิญทูตรัสเซียมาเพื่อ “แสดงความกังวลอย่างยิ่ง” ต่อการแถลงข่าวเช่นนั้น

นั่นคือการประท้วงทางการทูตต่อสิ่งที่ตีความได้ว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยของประเทศอื่น

ทำให้ประธานาธิบดีเซเลนสกีของยูเครนออกมาเตือนทันทีว่ารัสเซียไม่ได้จะหยุดการรุกรานเฉพาะที่ยูเครน

แต่มีแผนที่จะบุกเข้าประเทศอื่นด้วย

และยกตัวอย่างของ Transnistria เป็นสัญญาณเตือนภัยสำหรับประเทศอื่นๆ ที่เป็นเพื่อนบ้านยูเครนทางตะวันตก

ส่วนประเทศ Moldova นั้นเป็นประเทศเล็กๆ ประชากรประมาณ 2.5 ล้านคน

ในปี 1992 เกิดการสู้รบระหว่างรัฐบาล Moldova กับกลุ่มแยกดินแดน Transnistria รัสเซียเข้ามาแทรกแซง เข้าข้างฝ่ายแยกดินแดน

การสู้รบจบลงด้วยการหยุดยิงและประกาศ “โซนรักษาสันติภาพ” ที่มีทหารจากรัสเซีย, มอลโดวาและทรานส์นีสเตรีย

ประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือ Maia Sandu ซึ่งโอนเอียงไปทางยุโรปตะวันตก

แทนอดีตประธานาธิบดี Igor Dodon ซึ่งมีนโยบายสนับสนุนรัสเซีย

พอรัสเซียบุกยูเครน ประธานาธิบดี Sandu ออกมาประณามมอสโก

นายกรัฐมนตรี Natalia Gavrilita ประกาศว่ามอลโดวาควรจะรีบสมัครเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป และได้ยื่นใบสมัครไปแล้วเมื่อวันที่ 3 มีนาคมปีนี้

ข่าวที่สร้างความกังวลกับรัฐบาลโมลโดวาคือคำประกาศของรัสตัม มินเนคาเยฟ (Rustam Minnekayev) รองผู้บังคับบัญชากองกำลังทหารส่วนกลางของรัสเซียที่บอกว่า

รัสเซียมีแผนที่จะยึดแคว้นดอนบาสทางตะวันออกของยูเครนทั้งหมดซึ่งเชื่อมต่อไปถึงคาบสมุทรไครเมีย และยึดพื้นที่ภาคใต้ของยูเครน ที่จะเปิดทางให้รัสเซียเข้าถึงแคว้น Transnistria นี่เอง

ทันใดนั้นก็มีคำเตือนจากตะวันตกว่าแผนการล่าสุดนั้นตอกย้ำว่ารัสเซียจะไม่หยุดแค่ที่ยูเครน

ปูตินเคยกล่าวว่ารัสเซียไม่มีความต้องการใดๆ ที่จะยึดครองเมืองต่างๆ ของยูเครนอย่างถาวร

แต่ในปี 2014 การผนวกไครเมียเข้ากับรัสเซียทำให้ถ้อยคำของปูตินไม่ได้รับความเชื่อถือจากทางตะวันตกเท่าใดนัก

ที่กรุงเจนีวา สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติแถลงว่ามีหลักฐานเพิ่มมากขึ้นว่ารัสเซียได้ก่ออาชญากรรมสงครามในยูเครนแล้ว

มิเชลล์ บาเชเลต์ (Michelle Bachelet) ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนอ้างว่าทหารรัสเซียได้ยิงใส่และทิ้งระเบิดในพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่ ทำให้พลเรือนที่ไม่เกี่ยวกับการสู้รบต้องบาดเจ็บและเสียชีวิต

อีกทั้งยังมีการสร้างความเสียหายให้โรงพยาบาล โรงเรียน และสิ่งก่อสร้างของพลเรือนทั่วไป เข้าข่ายการก่ออาชญกากรรมสงคราม

ปูตินประกาศว่ามาริอูโปล ซึ่งเป็นเมืองท่าทางใต้ที่กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของยูเครน ได้รับการ “ปลดปล่อย” แล้ว หลังการสู้รบมาเกือบสองเดือน

เหลือด่านสุดท้ายของทหารยูเครนที่ทหารรัสเซียจะไม่สามารถเจาะเข้าไปถึงคือโรงงานผลิตเหล็กกล้าอาซอฟสตาล (Azovstal)

ปูตินสั่งให้ทหารรัสเซียอย่าบุกเข้าไปในโรงงานเหล็กแห่งนี้ ให้ปิดล้อมไว้อย่างเหนียวแน่น

“แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าให้เล็ดรอดออกมาได้”

ตีความได้ว่ารัสเซียอาจจะต้องการรักษาชีวิตทหารรัสเซียเอาไว้ หรือให้ทหารและพลเรือนชาวยูเครนที่ติดอยู่ในโรงงานแห่งนี้อดอาหารจนต้องยกธงขาว

แต่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน บอกว่า “ไม่มีหลักฐานว่าเมืองมาริอูโปลพ่ายแพ้แล้ว”

แต่ยอมรับว่ามาริอูโปลได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการโจมตีด้วยระเบิดของรัสเซียอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายสัปดาห์

รายงานข่าวหลายด้านยืนยันตรงกันว่ายังมีชาวบ้านกว่า 100,000 คนที่ยังตกค้างอยู่ในเมืองมาริอูโปล

เมืองนี้เคยมีประชากรกว่า 400,000 คนก่อนที่กองทัพรัสเซียจะบุกยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์

เซเลนสกียืนยันว่าทหารยูเครนยังปักหลักสู้ที่มาริอูโปล

และเจ้าหน้าที่ของยูเครนอ้างว่ามีภาพถ่ายและหลักฐานแสดงให้เห็นถึงหลุมฝังศพขนาดใหญ่นอกเมืองมาริอูโปล อย่างน้อย 200 แห่ง

อีกด้านหนึ่งผู้นำยูเครนยังได้บอกธนาคารโลกว่า ยูเครนต้องการเงินทุนมากถึงเดือนละ 7 พันล้านดอลลาร์เพื่อชดเชยความสูญเสียทางเศรษฐกิจ

และยังต้องการเงินอีกหลายแสนล้านดอลลาร์เพื่อฟื้นฟูประเทศ

อเมริกาโหมความช่วยเหลือทางทหารมาไม่ได้ขาด

ล่าสุด รัฐบาลสหรัฐฯ อนุมัติความช่วยเหลือทางทหารให้กับยูเครนเพิ่มอีก 800 ล้านดอลลาร์

ความช่วยเหลือทางทหารชุดใหม่รวมถึงปืนใหญ่พลังโจมตีสูง ปืนใหญ่ ‘เฮาวิตเซอร์’' พร้อมกระสุนจำนวน 144,000 นัด

ไบเดนอ้างว่าปูติน “จะไม่มีวันยึดครองพื้นที่ทั้งหมดของยูเครนได้สำเร็จ ปูตินไม่สามารถทำตามความต้องการอันยิ่งใหญ่ของเขาได้ เพราะเคียฟยังคงยืนหยัดอยู่อย่างชัดเจน”

ไบเดนบอกว่าจะส่งความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจให้กับยูเครนเป็นมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์

พร้อมปรับปรุงระเบียบเพื่อให้ผู้ลี้ภัยชาวยูเครนสามารถอพยพมายังสหรัฐฯ ให้รวดเร็วขึ้น

พร้อมกับประกาศมาตรการใหม่ห้ามไม่ให้เรือสัญชาติรัสเซียเข้าเทียบท่าของสหรัฐฯ โดยสิ้นเชิง.