ออกจากวัดพระเขี้ยวแก้วแล้วผมก็แวะกินมื้อค่ำที่ร้าน The Pub บนถนน Sri Dalada Veediya มีเครื่องดื่มเป็นเบียร์ 2 ไพนต์ ตามด้วยสุรากลั่นจากน้ำตาลจั่นมะพร้าวหรือที่เรียกว่า “อารัค” อีก 2 แก้ว ก่อนเรียกเก็บเงินเดินกลับที่พักเวลาประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง
เกสต์เฮาส์ของผมอยู่ห่างออกไปราว 1 กิโลเมตร บนถนนไร้ผู้คนและรถรา ระหว่างทางช่วงหนึ่งผ่านถนนที่ค่อนข้างกว้าง บาทวิถีฝั่งขวาที่ผมเดินมีหมานอนเล่นอยู่ 3 ตัวใกล้ๆ กัน แทนที่ผมจะหลบไปเดินฝั่งซ้ายผมกลับยืนยันสิทธิ์ตัวเองว่าจะเดินฝั่งไหนมันก็เรื่องของผม
คืนนี้ผมได้กราบสักการะพระเขี้ยวแก้ว แล้วไปนั่งกินนั่งดื่มที่ร้านใจกลางเมือง ผมได้สนทนากับคนเดินโต๊ะและลูกค้าท้องถิ่นในร้าน ผมอารมณ์ดี และคิดว่าหมาพวกนี้ถึงไม่อยู่ในระดับอารมณ์ดี ก็ไม่น่าจะถึงขั้นอยากจะกัดคน
พอผมเดินใกล้ถึงพวกมัน เกิดความคิดอยากจะหลบลงไปเดินบนพื้นถนนเพื่อให้เกียรติพวกมันที่จับจองพื้นที่อยู่ก่อน มีตัวหนึ่งลุกขึ้นและเดินฉากไปทางซ้าย อีก 2 ตัวลุกขึ้นและหลีกไปทางขวา สองตัวนี้หยอกล้อกันอยู่ใกล้ๆ ที่เดิม ทำให้ผมเดินต่อไปบนบาทวิถี ไม่ลงพื้นถนน
ผมเดินต่อไป ลืมหมาตัวที่หลบฉากไปทางซ้ายก่อนหน้านี้กระทั่งเห็นเงาของมันสะท้อนจากแสงไฟส่องถนนอยู่ข้างหลังผมไม่ไกล ผมจึงรู้แผนการของมัน ที่มันหลบออกไปก่อนหน้านี้ก็เพื่อตลบหลังเล่นงาน มันวิ่งเหยาะๆ ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา
ไม่รู้ว่าผมเอาอะไรมามั่นใจว่าผมจะหลบการงับน่องของมันได้พ้น มันเกิดขึ้นเร็วมาก ผมชักขาหลบ แต่มันก็งับทัน รู้สึกได้ถึงความแรง คิดในใจว่าแย่แล้ว หันไปดู งับเสร็จมันก็ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เพื่อนอีก 2 ตัวหยุดหยอกล้อกันหันมามองเหตุการณ์
ผมเปิดดูแผล ไม่มีเลือด อานิสงส์จากการเข้าวัดพระเขี้ยวแก้วที่บังคับสวมกางเกงขายาว ทำให้ผมโชคดีในข้อนี้ คิดว่าคงเป็นเพราะกางเกงผ้าชนิดค่อนข้างหนานี้ และ/หรืออาจมีบางสิ่งช่วยผมไว้
ตอนแวะซื้อน้ำและกล้วยครึ่งหวีที่เดิมเหมือนเมื่อคืนวาน ถลกขากางเกงดูแผลอีกที คราวนี้เห็นเลือดซึมๆ จึงใช้สเปรย์แอลกอฮอล์ที่พกติดตัวอยู่ตลอดฉีดไปที่แผลกันไว้ก่อน หนุ่มศรีลังกาคนหนึ่งท่าทางดื่มมาไม่น้อยเหมือนกันเดินเข้ามาซื้อของถามว่าโดนอะไรมา พอรู้ว่าโดนหมากัดเขาก็บอกให้ผมไปฉีดยาในวันรุ่งขึ้น
“สัญญานะ?” เขาพูด ผมพยักหน้า เขายื่นหมัดมาชนและเสริมว่าดึกๆ อย่างนี้ไม่ควรเดินคนเดียว
กลับถึงห้องพักผมล้างแผลด้วยสบู่และตรวจดูแผลอย่างละเอียด กางเกงป้องกันเขี้ยวหมาไว้ได้ คิดว่าน้ำลายไม่ถึงผิวหนัง แต่ความแรงของพลังกัดขณะขาผมเคลื่อนไหวทำให้มีแรงเสียดสีระหว่างกางเกงกับผิวหนัง เลือดจึงซึมออกมา แต่ก็แค่นิดเดียว ผมหยิบโทรศัพท์มาจองที่พักแห่งใหม่ทันที ชื่อ Kandy City Hotel ในเขตใจกลางเมือง คืนพรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องเจอเหตุการณ์ซ้ำรอย
ผมไม่ได้ไปหาหมอในวันรุ่งขึ้น แต่เดินไปหาหมากลุ่มเดิม พวกมันยังอยู่ที่เดิม เล่นซนกันอย่างสนุกสนาน ผมสรุปเอาเองว่ามันไม่บ้า ถึงจะบ้า (แต่ไม่แสดงอาการ) น้ำลายของมันก็ไม่โดนผิวหนัง คิดได้ดังนี้ผมก็ไม่ไปหาหมอ อีกเหตุผลที่ไม่ไปหาหมอคือ ถ้าต้องฉีดยา 5 เข็ม ก็จะไม่ทันเวลาที่ผมมีเหลือในศรีลังกาอยู่ดี
ผ่านไปจนบัดนี้ 4 เดือนครึ่้งเข้าไปแล้ว ผมยังไม่บ้า ผมชนะพนันในครั้งนั้น แต่มีเรื่องน่าพิศวง ตอนโดนกัดแทบไม่มีแผล ทว่าตอนนี้แผลเป็นที่น่องดูน่าเกลียดน่ากลัวเหมือนว่าโดนกัดจนเป็นแผลฉกรรจ์
ผมจะโชคดีไปได้อีกกี่น้ำ ไม่สามารถตอบได้ แต่เมื่อเกือบ 2 เดือนก่อน ก็ได้ไปฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้ามาเรียบร้อยแล้วที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ พร้อมด้วยวัคซีนไข้เหลืองและวัคซีนอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการเดินทางครั้งใหม่ที่จะมาถึงเร็วๆ นี้
เวลาในแคนดียังมีอยู่อีกวันครึ่ง เช้าหลังโดนหมากัดผมเดินขึ้นไปชมวิวเมืองแคนดีจากจุดชมวิวชื่อ Arthur’s Seat บนเนินเขาทางทิศใต้ของทะเลสาบแคนดี เห็นทะเลสาบ เห็นเมือง เห็นเจดีย์วัดอัศคีรีมหาวิหาร และพระพุทธรูปสีขาวองค์โตบนเนินเขาทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กของแคนดีที่สามารถมองเห็นได้จากแทบทุกจุดของเมือง
ผมย้ายที่พักเข้าไปเช็กอินที่ Kandy City Hotel กินมื้อเที่ยง งีบ 15 นาทีแล้วเดินประมาณ 1 กิโลเมตรไปทางฝั่งตะวันตก ขึ้นเนินไปยังวัดที่มีพระพุทธรูปองค์โต ชื่อจริงของวัดคือ “วัดศรีมหาโพธิ์มหาวิหาร” ฝากรองเท้าในจุดรับฝาก แล้วซื้อตั๋วเข้าวัด ราคา 200 รูปี
วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2515 ส่วนหลวงพ่อโตสร้างเสร็จทำพิธีพุทธาภิเษกเมื่อ พ.ศ.2536 วัดศรีมหาโพธิ์มหาวิหารเป็นวัดสังกัดนิกาย “อมรปุระ” (ตั้งตามชื่ออดีตเมืองหลวงของพม่า) ตอนเริ่มสร้างมีเสียงคัดค้านจากสยามนิกาย หรือนิกายสยามวงศ์ อันเป็นสังกัดของ 2 วัดใหญ่สุดในเมืองแคนดี ได้แก่ วัดมัลวัตตะและวัดอัศคีรี ด้วยเกรงกว่าความโดดเด่นของที่ตั้งวัดหลวงพ่อโตจะกลบรัศมีวัดพระเขี้ยวแก้ว แต่สุดท้ายก็ผ่านการอนุมัติจาก “รานาสิงเห เปรมาดาสา” ประธานาธิบดีในขณะนั้น
หลวงพี่หน้าตายิ้มแย้มนามว่า “อุตมธรรมะ” เพิ่งบวชได้ 2 เดือนให้ข้อมูลว่า ต้นโพธิ์ของวัดตอนกิ่งมาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่อนุราธปุระ ส่วนหลวงพ่อโตปางสมาธิมีความสูงถึง 88 ฟุต หรือ 26.8 เมตรเลยทีเดียว
ผมเข้าไปกราบหลวงพ่อโตบริเวณด้านหน้าฐานพระ มีพระพุทธรูปขนาดเล็กตั้งอยู่หลายองค์ ฐานของหลวงพ่อโตก็คืออาคารหลังหนึ่ง ผมลืมดูว่ามีกี่ห้อง แต่ห้องทางฝั่งซ้ายมือจัดแสดงประติมากรรมแบบนูนต่ำภาพพุทธประวัติ เป็นผลงานพุทธศิลป์ที่งดงามน่าชื่นชมมาก
จากนั้นผมเดินไปกราบพระพุทธรูป 2 องค์ใต้ต้นโพธิ์ ออกจากใต้ต้นโพธิ์ลุงคนหนึ่งซึ่งคงอยู่ที่วัดหรืออาจจะมาช่วยงานวัดเรียกให้ผมเข้าไปดูเจดีย์ขนาดใหญ่ของวัดที่กำลังสร้างซึ่งจากภายนอกระยะไกลดูเหมือนสร้างเสร็จแล้ว มีบันไดขึ้นไปจากด้านในของเจดีย์ บริเวณชั้นบนตรงกลางองค์พระเจดีย์มีพระพุทธรูปยืนปางห้ามญาติ ลุงแกชี้ให้ดูและแนะให้ถ่ายภาพพระพุทธรูป
พอผมจะเดินลงแกก็เรียกผมไปที่มุมลับตาคน พูดขึ้นว่า “ทิป” เบาๆ ผมบอกว่าไม่มี แกก็ย้ำ “ทิปๆๆ ไม่ทิปหน่อยเหรอ” คงเป็นสูตรหากินของแก เรียกนักท่องเที่ยวขึ้นไปแล้วขอทิป แต่วัดห้ามไม่ให้ทำ ผมจึงแกล้งพูดเสียงดังว่า “ไม่ค่อยมีเงิน” ก็เลยได้ยินเสียงหนุ่มคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาตำหนิ ประมาณว่าเอาอีกแล้วนะลุง ขอทิปนักท่องเที่ยวอีกแล้ว ผมเลยได้จังหวะหนีลุงเดินลงจากเจดีย์
สำหรับหลวงพ่อโตที่ประดิษฐานอยู่ไม่ห่างจากพระเจดีย์ก็มีบันไดขึ้นไปสำหรับชมวิว เป็นบันไดวนขึ้นไปจากด้านข้างทั้งสองฝั่งขององค์พระ ผมขึ้นทางด้านขวาขององค์พระ ขึ้นไปจนสุดทาง ถือว่าสูงทีเดียว แต่ช่วงสุดท้ายประตูถูกปิดไว้ สูงสุดที่ขึ้นไปได้คือช่วงเข่าขององค์พระ จากมุมมองของผม วิวเมืองแคนดีจากตรงนี้สวยกว่ามองจาก Arthur’s Seat แถมมองได้เกือบ 360 องศา
ผมลงไปสนทนากับหลวงพี่อุตมธรรมะต่อในร้านขายของที่ระลึก ท่านมีหน้าที่ประจำอยู่ในนี้ซึ่งท่านเรียกว่า Museum ผมถามท่านว่าจะบวชนานเท่าไหร่ ท่านตอบว่า “ตลอดชีวิต”
ก่อนกลับลงจากวัดผมซื้อโปสต์การ์ดมาจำนวนหนึ่ง ท่านมอบให้เป็นที่ระลึกอีก 3 แผ่น เป็นโปสต์การ์ดแบบพับ มีภาพหลวงพ่อโตบนปก ด้านในเขียนภาษาสิงหลล้วนๆ
เดินลงถึงซุ้มฝากรองเท้า ค่าฝากไม่มีแต่ให้หย่อนลงกล่องทำบุญตามกำลังศรัทธา ผมขอแลกเงิน 500 รูปีกับลุงประจำซุ้ม แกเปิดกล่องทำบุญแล้วถามว่าจะให้ทอนเท่าไหร่ ผมตอบว่า 450 รูปี แกก็หยิบเงินให้ผมตามจำนวน
กลับถึงย่านใจกลางเมือง ผมเดินเล่นอยู่อีกพักใหญ่ แล้วจึงเข้าวัดพระเขี้ยวแก้วเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน (แต่วันแรกยังไม่ทันซื้อตั๋วก็กลับออกมาเพราะทนหิวไม่ไหว) เพื่อสักการะพระเขี้ยวแก้วในรอบ 18.30 น. ผมเดินเข้าไปยังสำนักงานของวัด สอบถามถึงความเป็นไปได้ในการขออนุญาตถ่ายภาพภายในพิพิธภัณฑ์
ลุงเจ้าหน้าที่บอกให้ทำหนังสือขออนุญาตมายื่นในวันรุ่งขึ้น แกจดลงกระดาษแผ่นเล็กๆ ยื่นให้ผม ระบุหัวหนังสือเรียน Honorary Diyawadana Nilame, Sri Dalada Maligawa, Kandy ซึ่งก็คือท่านไวยาวัจกร ผู้มีตำแหน่งสูงสุดประจำวัดพระเขี้ยวแก้ว ผมรับกระดาษมาและรู้ดีว่าทำหนังสือไม่ทัน ถึงทันก็อนุมัติไม่ทัน แม้อนุมัติทันก็คงจวนเจียนหมิ่นเหม่กับเวลาที่ผมต้องเดินทางออกจากแคนดีในตอนบ่ายของวันพรุ่งนี้
ค่ำนี้หลังพิธีบูชาสักการะพระเขี้ยวแก้วและถวายเงินทำบุญในนามของกัลยาณมิตรจำนวนหนึ่งแล้วก็ลองเดินไปทางประตูวัดทิศตะวันออก แผนที่กูเกิลขึ้นเครื่องหมายและชื่อร้าน Slightly Chilled Lounge Bar & Restaurant ก่อนหน้านี้ก็โผล่มาหลายครั้งเหมือนยั่ว ผมเลยเดินมุ่งหน้าทิศตะวันออก ขึ้นเนินฝ่าความมืดไปหา จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว
เดินไปสัก 500 เมตรถึงทางเข้าร้านแล้วต้องเดินขึ้นเนินไปอีกหน่อย หากไม่ใช่ตอนมืดค่ำร้านนี้มีวิวงามให้มองไม่รู้เบื่อ โดยเฉพาะทะเลสาบ เนินเขาฝั่งทิศใต้ของทะเลสาบ และหลวงพ่อโตทางทิศตะวันตก
ผมสั่งเบียร์ Lion ชนิดขวดใหญ่เพราะไม่มีเบียร์สดและเบียร์ขวดเล็ก ขณะเดินผ่านโต๊ะๆ หนึ่งไปนั่งริมระเบียง หนุ่มฝรั่งในดงชาวศรีลังกาทักว่า “คุณเป็นเจแปนีส หรือไชนีส?” ผมตอบว่า “ไม่ใช่ทั้งคู่ ผมเป็นคนไทย”
ผมดูเมนูบนโต๊ะแล้วมองหาพนักงานของร้านเพื่อสั่งอาหาร ไม่มีใครสนใจ ฝรั่งคนนั้นเห็นเข้าก็มองหาพนักงานบ้าง ผมมั่้นใจเขาต้องเป็นเจ้าของร้าน ครู่ต่อมาเขาก็ลุกมานั่งกับผม แนะนำตัวว่าชื่อไมเคิล เป็นเจ้าของร้าน ฟังสำเนียงก็รู้ทันทีว่าเป็นคนอังกฤษ แต่ฟังง่ายกว่าสำเนียงอังกฤษทั่วไป เพราะเขาไม่อยู่อังกฤษนานแล้วนั่นเอง
ไมเคิลเกิดในกรุงลอนดอน ออกจากสหราชอาณาจักรมาใช้ชีวิตต่างแดนตั้งแต่อายุยี่สิบต้นๆ เวลานี้คงเกือบๆ 50 เคยไปอยู่ไต้หวันหลายปีแต่มีเมียเป็นคนจีนแผ่นดินใหญ่ ตอนนี้เมียกลับไปเมืองจีนและคงอยู่ที่นั่นไปอีกนานด้วยสภาวการณ์ของโควิด-19 ร้านอาหารและบาร์แห่งนี้ไมเคิลเปิดมา 12 ปีแล้ว สาเหตุที่ปักหลักในแคนดีเพราะอากาศดี วิวดี และคนดี
โต๊ะติดกันได้ยินคำว่าไทยแลนด์ก็หันมาทัก แกเป็นคนฝรั่งเศสมากับหนุ่มศรีลังกาซึ่งน่าจะเป็นไกด์ และไม่น่าจะเป็นเกย์ ส่วนตัวแกก็คงไม่ใช่ เพราะแกบอกว่ามีเพื่อนสาวที่เมืองไทย เวลานี้กำลังผ่าตัดมะเร็ง แกไปเยี่ยมไม่ได้เพราะติดปัญหาการเดินทางในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ปกติแล้วแกไปเมืองไทยเฉลี่ยปีละ 2 ครั้งตลอดเวลา 20 ปีที่ผ่านมา จนพูดภาษาไทยได้หลายคำ
ลุงฝรั่งเศสสั่งไวน์ขาวแต่บริกรนำไวน์แดงมาเสิร์ฟ บริกรขอโทษแกและขอโทษไมเคิล ฝ่ายไมเคิลก็ไม่ว่าอะไรเพราะลุงฝรั่งเศสไม่ถือสา แกว่าไวน์แดงก็ชอบเหมือนกัน ผมถามว่าไวน์ฝรั่งเศสจากภูมิภาคไหนดีที่สุด แกยกให้เบอร์กันดี แต่ไวน์จากเบอร์กันดีมีน้อยเพราะพื้นที่ปลูกองุ่นมีจำกัด ส่วนบอร์กโดซ์เป็นภูมิภาคขนาดใหญ่ ไวน์ดีมีมากก็จริง แต่คนเลือกไม่เป็น อาจได้ไวน์รสชาติธรรมดาๆ เพราะมีหลายชาโตว์เกินไป
ไมเคิลยังนั่งอยู่กับผม เขาหันไปทักป้าฝรั่งจากโต๊ะติดกันอีกฝั่ง แกชื่อ “แคลร์” เป็นคนสวิส อยู่ศรีลังกามาแล้ว 49 ปี เป็นเวลาพอๆ กับที่ศรีลังกาปลดแอกจากอังกฤษกลายเป็นสาธารณรัฐในปี ค.ศ.1972 ลุงที่นั่งโต๊ะเดียวกับป้าแคลร์เป็นคนศรีลังกาแต่แกย้ายไปอยู่อังกฤษที่เมืองโคเวนทรี ไมเคิลบอกว่าในอดีตมีคำพูดติดปากว่า “คนที่ไม่เป็นที่ต้องการจะถูกส่งไปยังโคเวนทรี เพราะเมืองมีสภาพหดหู่มาก” ลุงศรีลังกาหัวเราะและพูดว่า “เดี๋ยวนี้ไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว”
เจ้าของร้านนั่งคุยกับผมอยู่นาน คุยกันหลายเรื่อง โดยเฉพาะฟุตบอลอังกฤษ หมดเบียร์ Lion ขวดที่ 2 เขาแนะนำ Three Coins เขาว่าร้านอื่นไม่มีขาย ผมเลยสั่งมาลอง 1 ขวด ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีพอๆ กับ Lion ผมดื่ม Three Coins ได้แก้วหนึ่งไมเคิลลุกไปนั่งกับกลุ่มนักดนตรี แล้วก็หันมากวักมือให้ผมไปร่วมโต๊ะ
นักดนตรีคนหนึ่งชื่อ “มะหิ” เคยเล่นอยู่เกาะมัลดีฟส์ 5 ปี เพิ่งกลับมาศรีลังกา ผิวของเขาดำเมี่ยม ผมนึกว่าเพราะตากแดดอาบทะเลมัลดีฟส์จนดำ แต่เขาบอกว่า “ไอเป็นคนดำ” ซึ่งผมไม่ได้ถามต่อว่ามีหมายความว่าอย่างไร เขาอยากให้ผมมาดูเขาเล่นที่ร้านของไมเคิลในอีก 2 วันข้างหน้า ผมไม่สามารถมาได้และอธิบายเหตุผลให้เขาฟัง
หมดเบียร์ขวดที่ 3 ผมปรึกษาเรื่องอารัคกับไมเคิล เขาแนะนำให้สั่ง Vat 9-Special Reserve หมดแก้วนี้ผมสั่ง Old Arrack ถือว่าคะแนนดีเยี่ยมทั้งคู่ แล้วก็ได้เวลากลับที่พัก
มีตุ๊กๆ จอดรอลูกค้าอยู่หน้าร้านคันหนึ่ง ผมบอกกับคนขับก่อนหน้านี้ว่าจะใช้บริการตอน 5 ทุ่ม เขาหายไปผมก็ใจแป้ว เด็กในร้านเชียร์ให้เดิน เขาว่า 15 นาทีก็ถึงโรงแรม แต่ผมไม่กล้าเสี่ยงอีกแล้ว ไฟถนนไม่ได้สว่างตลอดทาง และยังกังวลเรื่องหมาเจ้าถิ่นอยู่ไม่หาย
ไม่นานตุ๊กๆ คันเดิมกลับมา ราคาที่เขาเรียก 300 รูปี ถือว่าเป็นมิตรมากในยามดึกดื่นเช่นนี้ และเมื่อส่งถึงโรงแรม ผมให้เขา 500 รูปี บอกเขาว่า “ไอทิปอยู่ 200 เพราะยูใส่เสื้อแมนฯ ยูไนเต็ด ดีใจจังได้เจอแฟนยูไนเต็ด” เขาพูดกลับมาว่า “ผมไม่ได้เชียร์แมนฯ ยูไนเต็ดหรอก ผมซื้อมาใส่เพราะมันลดราคาน่ะ”
ถึงกระนั้น ผมก็ให้ทิปเขาอยู่ดี.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ข้าอยากได้อะไร...ข้าต้องได้
เราคนไทยมักจะอ้างว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐ มีการบริหารกิจการต่างๆ ภายในประเทศตามหลักการของนิติธรรม แต่สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเวลานี้ หลายคนเริ่มตั้งข้อสงสัยว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐจริงหรือ
เมื่อ 'ธรรมชาติ' กำลังแก้แค้น-เอาคืน!!!
เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กรมอุตุนิยมวิทยาของบ้านเรา...ท่านเคยคาดๆ ไว้ว่า ฤดูหนาว ปีนี้น่าจะมาถึงประมาณปลายสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนตุลาคม
จ่ายเงินซื้อเก้าอี้!
ไม่รู้ว่าหมายถึง "กรมปทุมวัน" ยุคใด สมัยใคร จ่ายเงินซื้อเก้าอี้ ซื้อตำแหน่ง ในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ ตามที่ "ทักษิณ ชินวัตร" สทร.แห่งพรรคเพื่อไทย ประกาศเสียงดังฟังชัดในระหว่างขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงช่วยผู้สมัครนายก
ช่วงเค้าลางคดีสำคัญของนายกรัฐมนตรีก่อตัวในดวงเมือง
ขอพักการทำนายเค้าโครงชีวิตคนปี 2568 ไว้ชั่วคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคิวที่รออยู่คือท่านที่ลัคนาสถิตราศีตุล
ไม่สนใจใครจะต่อว่า เสียงนกเสียงกา...ข้าไม่สนใจ
ถ้าหากเราจะบอกว่านายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 ของประเทศไทย เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีเสียงตำหนิ มีการนำเอาการพูดและการกระทำที่ไม่ถูกไม่ต้อง ไม่เหมาะไม่ควร
จาก 'น้ำตา' ถึง 'รอยยิ้ม' พระราชินี
ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา...ได้อ่านข่าวพระราชาและพระราชินีสเปน เสด็จฯ ทรงเยี่ยมเยียนผู้คนที่ประสบภัยน้ำท่วมในเมืองปอร์ตา แคว้นบาเลนเซีย