ต้องปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลง

การเติบโตของดิจิทัลทำให้การใช้บริการแพลตฟอร์มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายสินค้า ด้านความบันเทิง ซึ่ง สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. รายงานว่า ในปี 2564 ผู้ให้บริกา OTT หรือ Over-the-Top หรือบริการที่ให้เราสามารถรับชมภาพยนตร์, ซีรีส์, Content ต่างๆ ผ่านทางแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตมีทั้งรูปแบบที่จ่ายค่าบริการรายเดือน รายปี ทุกประเภทในไทยมีรายได้เพิ่มขึ้น 8 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงแรกของการเข้ามาทำตลาดไทยปี 2557

โดยเฉพาะในกลุ่มบริการประเภท Subscription Video on Demand (SVoD) ที่เก็บค่าสมาชิก อย่างเช่น Netflix, Disney Plus, Amazon Prime Video มีสมาชิกมากถึง 13.29 ล้านบัญชี

สอดคล้องกับ Statista Advertising and Media Outlook ประเมินว่า มูลค่าตลาด OTT ของประเทศไทยจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่องและจะเพิ่มถึงประมาณ 877 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2568 ขณะที่จำนวนผู้ใช้บริการ OTT ในไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.1 ล้านรายในปี 2566

นอกจากนี้ ผลสำรวจทิศทางอุตสาหกรรมสื่อและบันเทิงทั่วโลกระหว่างปี 2562-2566 หรือ Global Entertainment and Media Outlook 2019-2023 ของ บริษัท ไพรซ์วอเทอร์เฮาส์คูเปอส์ หรือ พีดับบลิวซี หรือ PwC ยังพบว่า มูลค่าการใช้จ่ายผ่านสื่อและบันเทิงในประเทศไทยจะเติบโตเฉลี่ยต่อปีในอีก 5 ปีข้างหน้าอยู่ที่ 5.05% โดยเฉพาะความต้องการเสพสื่อและบันเทิงแบบส่วนบุคคลจะยิ่งมากขึ้น ทั้งการเข้ามาของ 5G จะยิ่งทำให้ผู้บริโภคหันไปสู่แพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้น Pwc คาดว่าบริการวิดีโอผ่านอินเทอร์เน็ตจะเติบโตเร็วที่สุด โดยจะโตกว่า 2 เท่าในปี 2566 เป็น 6.08 พันล้านบาท คิดเป็นการเติบโตต่อปีที่ 16.64% จากปี 2561 อยู่ที่ 2.81 พันล้านบาท

ดังนั้น ผู้ประกอบการโทรคมนาคมในปัจจุบันต้องประสบภาวะที่ยากต่อการแข่งขันกับผู้เล่นดิจิทัล ซึ่งมีด้วยกัน 9 ข้อ ที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนต้องนำไปคิดทบทวนและหาทางออกประกอบ ด้วย 1.ค่าใบอนุญาตค่าคลื่นที่ผู้ให้บริการเดิมต้องจ่าย แต่ผู้ให้บริการในรูปแบบดิจิทัลจากต่างประเทศไม่ต้องจ่าย เช่น ไลน์ เฟซบุ๊ก Skype เป็นต้น 2.ผู้เล่นโทรคมนาคมในปัจจุบันต้องเสียภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย ในขณะที่ผู้ให้บริการดิจิทัลส่วนใหญ่มีสำนักงานอยู่ต่างประเทศ นอกจากไม่ต้องจ่ายภาษีแล้ว ยังไม่ต้องเคร่งครัดในการปฏิบัติตามกฎระเบียบของประเทศไทย

3.การใช้งานดาต้าที่เพิ่มมากขึ้น ลูกค้าจ่ายค่าโทรศัพท์ ค่าดาต้าเท่าเดิม และมี กสทช.ควบคุมราคา ในขณะที่บริษัทดิจิทัลไม่มีหน่วยงานรัฐควบคุม และไม่ต้องจ่ายค่าการใช้ดาต้าให้กับผู้ให้บริการโทรคมนาคมเดิม 4.อุปกรณ์มือถือรุ่นใหม่รวมถึงแอปพลิเคชันไลน์ เฟซบุ๊ก มีการปิดกั้นข้อมูลผู้ใช้งาน ทำให้บริษัทโทรคมนาคมเดิมรู้จักลูกค้าน้อยลง

5.ผู้เล่นดิจิทัลจากต่างประเทศเตรียมเปิดให้บริการโทรศัพท์ไร้ซิมในอีกไม่เกิน 3 ปีข้างหน้า ทำให้การโทร.ออกทั้งหมดผ่านดาต้า และทำให้เกิดการสูญเสียรายได้ ทำให้ทั้งเอไอเอส ทรู และดีแทคต้องหันมาให้บริการโทร.ผ่านดาต้าแข่งกับไลน์ มิเช่นนั้นรายได้ค่าโทร.จะลดลงอย่างมาก

6.การเข้ามาของโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมซึ่งไม่ได้ใช้เครือข่ายสัญญานมือถือเดิม ล่าสุด SpaceX ได้ทดลองให้บริการสื่อสารที่ฟิลิปปินส์ โดยฟิลิปปินส์มีอัตราผู้เข้าถึงอินเทอร์เน็ต 74 ล้านคน และมีอัตราผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นอันดับ 6 ของโลก โดยจะมีการยิงดาวเทียมจากทั่วโลก ทำให้ผู้เล่นเดิมมีโอกาสหลุดออกจากธุรกิจจากการ Disruption ดังนั้นต้องสนับสนุนให้บริษัทโทรคมนาคมไทยปรับตัว ไม่ใช่ควบคุมให้ทำธุรกิจแบบเดิม

7.โทรคมนาคมไทยมีเพียงเอไอเอสที่ทำกำไรต่อปีสูงพอที่จะลงทุนเพิ่มเพื่อแข่งขันกับผู้เล่นดิจิทัล ในขณะที่ผู้เล่นที่เหลือในอุตสาหกรรมมีกำไรไม่เพียงพอที่จะลงทุนเพิ่ม ดังนั้นการควบรวมและปรับโครงสร้างจะเป็นการลดต้นทุนที่ซ้ำซ้อน เพิ่มจำนวนเครือข่ายให้ลูกค้าได้รับบริการที่ดีขึ้น และมีความสามารถทัดเทียมในการแข่งขัน ซึ่งจะเกิดผลดีกับลูกค้ามากกว่าการมีผู้นำเดี่ยวเพียง 1 ราย

8.ผู้เล่นดิจิทัลมีลักษณะการดำเนินธุรกิจแบบ Start Up ปรับตัวง่ายและเร็วกว่า สามารถเพิ่มทุน ลงทุน ควบรวมได้โดยไม่มีการถูกบังคับ ในขณะที่ผู้เล่นในโทรคมนาคมเดิม กฎระเบียบภาครัฐที่ขาดความชัดเจน ในขณะที่กฎหมายเดียวกัน CAT และ TOT ควบรวมกิจการเกิดเป็นบริษัท NT ทำให้ในอนาคตจะยิ่งเหลือผู้เล่นน้อยราย โดยเฉพาะหากทรูและดีแทคไม่สามารถควบรวมสำเร็จ

9.รูปแบบการให้บริการสมัยใหม่ที่จ่ายค่าโทรศัพท์มือถือเป็นรายเดือน ทำให้แบรนด์โทรศัพท์มือถือจะเก็บเงินลูกค้าแบบ subscription และมีบทบาทในการดูแลลูกค้าแทนผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือแบบเดิม ทั้งยังมีรูปแบบธุรกิจที่หลากหลายกว่าโดยไม่ถูกควบคุม

ทั้งหมดนี้คือ 9 เหตุผลที่หากธุรกิจในอุตสาหกรรมเดิมไม่ปรับตัวก็ยากที่จะแข่งขันกับผู้เล่นดิจิทัลจากบริษัทชั้นนำระดับโลก ประเทศไทยจะเป็นเมืองขึ้นทางเทคโนโลยี ซึ่งหน่วงยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต้องเข้ามาสนับสนุนอย่างจริงจัง หาใช่การกำกับเพื่อให้รายใดรายหนึ่งเป็นผู้นำเดี่ยวในตลาด.

บุญช่วย ค้ายาดี

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ความสำเร็จของแบรนด์กับการใช้Meta

ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีประชากร 700 ล้านคน และมี GDP รวมประมาณ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เป็นตลาดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก

หวยเกษียณแก้ปัญหาแก่ก่อนรวย

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบโครงการสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ หรือหวยเกษียณ ของกองทุนการออมแห่งชาติ ซึ่งนี่ถือเป็นโครงการที่รัฐบาลพยายามส่งเสริมการออมของประชาชนในประเทศ

เจ็บแล้วจบ

หลังการบริหารงานของรัฐบาลเศรษฐาได้เข้ามาเดินหน้ามาตรการประชานิยมลด แลก แจก แถม จัดเต็ม ตามที่สัญญากันไว้ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง โดยเฉพาะนโยบายด้านพลังงาน ลดค่าไฟฟ้า

3แผนกรีนดันอุตฯไทยรักษ์โลก

เทรนด์รักษ์โลกยังมีมาอย่างต่อเนื่อง และตลอดปี 2567 ที่ผ่านมานี้หลายหน่วยงาน หลายบริษัทก็ยังไม่ทิ้งอุดมการณ์อันแรงกล้านี้ และยังแห่ประกาศแผนดำเนินงานเพื่อดูแลสิ่งแวดล้อมกันอย่างคึกคัก

เร่ง“ปรับ”ก่อน(ถูก)“เปลี่ยน”

ยอดขายรถยนต์ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2567 ที่ผ่านมา หลายคนคงตกใจ เพราะหดตัวลงถึง 23.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีแนวโน้มว่าทั้งปีจะหดตัวลงอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 15 ปี

เปิดไม้เด็ดธุรกิจขนาดเล็กสู้ในตลาด

หากย้อนเวลาไปเมื่อหลายปีก่อน ธุรกิจที่มีทุนหนาและมีส่วนแบ่งการตลาดมาก มักจะถูกมองว่าเป็น “ปลาใหญ่” ที่ได้เปรียบเหนือคู่แข่งที่ทุนน้อยกว่าซึ่งเปรียบเหมือน “ปลาเล็ก” จนเป็นที่มาของคำว่า “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” หนึ่งในข้อได้เปรียบที่เห็นชัดที่สุดคือ การมี Economy of Scale หรือ การประหยัดต่อขนาด ซึ่งหมายถึง การผลิตสินค้าหรือบริการในจำนวนที่มากพอที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่ำลง พูดง่ายๆ ก็คือ “ยิ่งผลิตมากขึ้น ต้นทุนการผลิตยิ่งลดลง และยิ่งคุ้มค่ามากขึ้น” โดยต้นทุนในการผลิตสินค้าหรือบริการจะแบ่งออกเป็น ต้นทุนคงที่ (fixed cost) และต้นทุนผันแปร (variable cost) ต้นทุนคงที่ คือ ต้นทุนที่ธุรกิจต้องจ่ายเป็นจำนวนคงที่ ไม่ว่าจะผลิตสินค้าหรือบริการในปริมาณเท่าใดก็ตาม เช่น ค่าเช่าพื้นที่ ค่าเครื่องจักรอุปกรณ์ ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ ส่วนต้นทุนผันแปร