![](https://storage-wp.thaipost.net/2021/11/image_big_60b8ed43870cb.jpg)
ในกรณีของอังกฤษและรวมถึงประเทศอื่นๆที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ เงื่อนไขสำคัญประการหนึ่งในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์คือ การแต่งตั้งผู้ที่อยู่ในอันดับแรกที่จะสืบราชสันตติวงศ์ (ไม่ว่าจะเป็นองค์รัชทายาทที่มีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการแล้วหรือไม่เป็นทางการก็ตาม)
และหากมีการแต่งตั้งผู้ที่อยู่ในอันดับแรกที่จะสืบราชสันตติวงศ์เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และผู้ที่อยู่ในอันดับแรกที่จะสืบราชสันตติวงศ์นั้นจะต้องอายุ ๒๑ ปีขึ้นไป
กรณีของอังกฤษในปี ค.ศ. ๑๙๕๒ อันเป็นปีที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สองเสด็จขึ้นครองราชย์ หากพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจไม่ได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม ก็เข้าข่ายที่จะต้องแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ก็จะต้องแต่งตั้งเจ้าฟ้าชายชาร์ลสในฐานะที่เป็นผู้ที่อยู่ในอันดับแรกที่จะสืบราชสันตติวงศ์
แต่ขณะนั้น เจ้าฟ้าชายชาร์ลสทรงมีพระชนมายุเพียง ๔พรรษา ตามกฎหมายถือว่า พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจไม่ได้ เพราะยังทรงพระเยาว์ พระองค์จะทรงปฏิบัติพระราชภารกิจได้ก็ต่อเมื่อทรงพระชนมายุครบ 18 พรรษา (ในกรณีของอังกฤษ เกณฑ์อายุขึ้นที่ครองราชย์ได้และสามารถบริหารพระราชภารกิจได้คือ ๑๘ ปี แต่ในกรณีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จะต้องมีอายุ ๒๑ ปี) ซึ่งพระองค์จะทรงพระชนมายุ ๑๘ พรรษาในปี ค.ศ. ๑๙๖๖
ดังนั้นตาม พ.ร.บ. ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในขณะนั้น จะต้องแต่งตั้งเจ้าหญิงมากาเรตในฐานะที่เป็นพระบรมวงศานุวงศ์อันดับถัดไปเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และเป็นผู้ปกครองเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ตามกฎหมายด้วย ส่วนดยุคแห่งเอดินเบอระ (Duke of Edinburgh) ผู้เป็นพระสวามีสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สองและพระราชบิดาเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ไม่อยู่ในสถานะที่จะสืบราชสันตติวงศ์ จึงสามารถได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ และไม่สามารถได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ตามกฎหมายอีกด้วย
สถานการณ์ดังกล่าวนี้เป็นสถานการณ์ที่สร้างความยุ่งยากให้กับทั้งสามพระองค์ นั่นคือ ทั้งสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง ดยุคแห่งเอดินเบอระและเจ้าหญิงมากาเรต จึงทำให้ต้องมีการแก้ไข พ.ร.บ. ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ค.ศ. ๑๙๓๗ เป็นครั้งที่สามในปี ค.ศ.๑๙๕๓ หลังจากที่มีการแก้ไขครั้งแรกไปแล้วในปี ค.ศ. ๑๙๔๓ ดังที่ได้กล่าวไปในตอนที่แล้ว
ดังนั้น หากศึกษาและพิจารณาปัญหาที่เกิดขึ้นในกรณีดังกล่าวของอังกฤษ น่าจะช่วยให้เราเกิดความเข้าใจในสถานการณ์ความยุ่งยากที่คล้ายคลึงกันที่อาจเกิดขึ้นได้ในประเทศอื่นๆ รวมทั้งการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในสถานการณ์ต่างๆด้วย โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนรัชกาล อย่างที่เกิดขึ้นในคราวที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สองเสด็จขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ. ๑๙๕๒ ซึ่งนอกจากอาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (เจ้าฟ้าชายชาร์ลสยังทรงพระเยาว์) ดังที่กล่าวไปแล้ว ยังมีปัญหาความยุ่งยากอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับลำดับชั้นของบุคคลที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินด้วย นั่นคือ จากการสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่หก ทำให้พระราชินีของพระองค์ไม่อยู่ในรายพระนามในตำแหน่งของผู้ที่อยู่ในสถานะที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอีกต่อไป
ดังนั้น ในประเทศที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงควรทำความเข้าใจลำดับชั้นของพระบรมวงศานุวงศ์และผู้ที่อยู่ในลำดับชั้นที่จะสืบราชสันตติวงศ์เมื่อมีการเปลี่ยนรัชกาล อีกทั้งรัฐบาลก็ควรจะเอื้ออำนวยให้ประชาชนได้เข้าใจกฎเกณฑ์ประเพณีดังกล่าว รวมทั้งกฎมณเฑียรบาลด้วย
ซึ่งในกรณีของไทยนั้นกฎมณเฑียรบาลก็เป็นเอกสารที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ผ่านกูเกิล (http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=การสืบราชสันตติวงศ์)
อย่างในกรณีของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สถานะของพระองค์ภายใต้รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงอยู่ในสถานะ “ราชกุมารี” หรือ “princess royal” เช่นเดียวกันกับเจ้าฟ้าหญิงแอนในขณะนี้ภายใต้รัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง แต่ไม่ใช่ “crown princess” หรือ “มกุฎราชกุมารี” ที่อยู่ในสถานะของผู้สืบราชสมบัติต่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติถือเป็นพระรัชทายาทโดยสันนิษฐาน ที่ในภาษาอังกฤษเรียกว่า presumptive heir
พระรัชทายาทโดยสันนิษฐาน (presumptive heir) หมายถึงผู้เป็นทายาทอยู่ในสายที่มีสิทธิ แต่อาจจะมีผู้ใดมาแทนเมื่อใดก็ได้ โดยตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช
๒๔๖๗ ในฐานะ “สมเด็จหน่อพุทธเจ้า” และเมื่อทรงพระชนมายุครบ ๒๐ พรรษา และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาขึ้นเป็นตําแหน่งสมเด็จพระยุพราช พระองค์ก็จะทรงเป็นพระรัชทายาทโดยแท้หรือที่เรียกว่า apparent heir อันหมายถึง องค์รัชทายาท ผู้ที่ไม่สามารถมีผู้ใดมาแทนได้ในการรับตำแหน่งหรือมรดก นอกจากมีเหตุการณ์อันคาดไม่ถึงเกิดขึ้น
เฉกเช่นในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ขึ้นเป็นสยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สิริกิตยสมบูรณสวางควัฒน์ วรขัตติยราชสันตติวงศ์ มหิตลพงศอดุลยเดช จักรีนเรศยุพราชวิสุทธิ สยามมกุฎราชกุมาร” นับเป็นสยามมกุฎราชกุมารพระองค์ที่สามของไทย
ขณะนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติทรงมีพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา และจะทรงพระชนมายุครบ ๒๐ พรรษาในปี พ.ศ. ๒๕๖๘ นั่นคืออีกสามปีนับจากนี้
![](https://storage-wp.thaipost.net/2022/04/1650282278630.jpg)
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ
ขณะเดียวกัน ก็ควรพึงตระหนักถึงความจำเป็นของสถานการณ์ที่อาจต้องมีแก้ไขบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไว้ด้วยเช่นกัน ดังที่ปรากฏในกรณีการแก้ไข พ.ร.บ. ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของอังกฤษในปี ค.ศ. ๑๙๔๓ และ ค.ศ. ๑๙๕๓ และนักวิชาการกฎหมายรัฐธรรมนูญของอังกฤษเองก็คาดการณ์ไว้ว่าอาจจะต้องมีปรับปรุงให้ทันสมัยอีกในไม่ช้า เพราะอย่างในกรณีของอังกฤษที่ผู้เขียนได้เคยกล่าวถึงไปแล้ว ได้เกิดสภาวะที่มีปัญหายุ่งยากขึ้นอในปี ค.ศ. ๑๗๘๘ ที่อาการพระประชวรของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่สามทำให้พระองค์ไม่
ทรงสามารถแสดงพระราชประสงค์ (the royal will) ผ่านพระราชหัตถเลขาในช่วงเวลาหนึ่ง แม้ว่าพระองค์จะทรงมีพระสติปัญญาสมบูรณ์ปรกติ และกฎหมายได้กำหนดไว้ว่า พระราชประสงค์ขององค์พระประมุขจะต้องกระทำเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น
ซึ่งในกรณีนี้ก็ทำให้นึกถึงกรณีของญี่ปุ่น เมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะทรงเสด็จเยือนประเทศไทยเป็นการส่วนพระองค์ เพื่อทรงวางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวังในช่วงวันที่ ๕-๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ และในการเสด็จเยือนประเทศไทย สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะไม่ทรงประทับอยู่ในราชอาณาจักรและทรงบริหารพระราชภารกิจไม่ได้ พระองค์ทรงแต่งตั้งเจ้าชายนะรุฮิโตะ มกุฎราชกุมารเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ผู้เขียนได้สอบถามถึงพิธีการดังกล่าวจากเจ้าหน้าที่สำนักข่าวญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในประเทศไทย ทราบความว่า ในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของญี่ปุ่น
องค์สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะทรงพระราชทานพระราชสาส์นแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นลายลักษณ์อักษรแก่เจ้าชายนะรุฮิโตะ มกุฎราชกุมาร
และปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตคือ หากมีกรณีที่องค์พระจักรพรรดิไม่ทรงสามารถแสดงพระราชประสงค์ (the royal will) ผ่านพระราชหัตถเลขาในช่วงเวลาหนึ่ง แม้ว่าพระองค์จะทรงมีพระสติปัญญาสมบูรณ์ปรกติก็ตาม !
![](https://storage-wp.thaipost.net/2022/04/1650282407647.jpg)
สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ (พ.ศ. ๒๕๕๙)
![](https://storage-wp.thaipost.net/2022/04/1650282470905.jpg)
เจ้าชายนะรุฮิโตะ มกุฎราชกุมาร (ปัจจุบัน สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 (ตอนที่ 20)
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490
ไทยในสายตาต่างชาติ: สมัยรัชกาลที่เจ็ด (ตอนที่ 31: การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475)
ผู้เขียนขอหยิบยกรายงานจากสถานทูตอื่นๆที่มีต่อเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองต่อจากตอนที่แล้ว โดยผู้เขียนได้คัดลอกมาจากหนังสือ
ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 (ตอนที่ 19)
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490
ไทยในสายตาต่างชาติ: สมัยรัชกาลที่เจ็ด (ตอนที่ 31: การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475)
ผู้เขียนขอหยิบยกรายงานจากสถานทูตอื่นๆที่มีต่อเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองต่อจากตอนที่แล้ว โดยผู้เขียนได้คัดลอกมาจากหนังสือ
ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 (ตอนที่ 18)
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490
ไทยในสายตาต่างชาติ: สมัยรัชกาลที่เจ็ด (ตอนที่ 30: การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475)
ผู้เขียนขอหยิบยกรายงานจากสถานทูตอื่นๆที่มีต่อเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองต่อจากตอนที่แล้ว โดยผู้เขียนได้คัดลอกมาจากหนังสือ