หนี้ครัวเรือนปัญหาที่ต้องรีบแก้

เมื่อวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เผยแพร่ข้อมูลสถิติเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน หรือหนี้สินครัวเรือน ณ ไตรมาส 4/2564 พบว่า หนี้สินครัวเรือนไทยมีจำนวนทั้งสิ้น 14.58 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน  90.1% ต่อ GDP เทียบกับไตรมาส 4/2563 ที่หนี้สินครัวเรือนของไทยมีจำนวนทั้งสิ้น 14.04 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 89.7% ต่อ GDP

โดยจากข้อมูลพบว่า คนไทยมีหนี้สินที่กู้จากสถาบันรับฝากเงิน (ธนาคาร) มากที่สุด ราวๆ 12.5 ล้านล้านบาท ส่วนอีก 2 ล้านล้าน มาจากการกู้เงินผ่านสถาบันการเงินอื่นๆ ขณะที่โครงสร้างหนี้ครัวเรือนภาพรวม ณ สิ้นปี 64 หนี้ส่วนใหญ่ของครัวเรือน 3 อันดับแรกยังคงเป็น 1.เงินกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งมีสัดส่วน 34.5% ของหนี้ครัวเรือนรวม 2.เงินกู้เพื่อการประกอบธุรกิจ สัดส่วน 18.1% ของหนี้ครัวเรือนรวม และ 3.เงินกู้เพื่อซื้อหรือเช่าซื้อรถยนต์/รถจักรยานยนต์ สัดส่วน 12.4% ของหนี้ครัวเรือนรวม

อย่างไรก็ดี หนี้ครัวเรือนของไทยยังอยู่ในระดับที่สูงมาก และเป็นระดับที่น่ากังวล เพราะด้วยภาระหนี้ดังกล่าวนั้นจะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเกี่ยวกับด้านกำลังซื้อในอนาคต ซึ่งเรื่องนี้ในขณะนี้ทางฝ่ายนโยบาย ทั้งสภาพัฒน์, กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้จับตาอย่างใกล้ชิด และก็พยายามชูประเด็นให้ปี 2565 เป็นปีของการจัดการหนี้

แต่การแก้ปัญหาไม่ใช่เรื่องง่าย แม้หลักการภาพกว้างจะดูเหมือนง่าย ก็คือ การจัดการกับก้อนหนี้ในปัจจุบัน และการชะลอการก่อหนี้ใหม่ในอนาคต แต่เมื่อลงมือปฏิบัติมันเป็นงานที่หินมาก เพราะว่าเรื่องนี้มันเกินกว่ากำลังของ ธปท.ที่จะจัดการรับมือไหวเพียงหน่วยงานเดียว

ต้องรู้ก่อนว่า แหล่งที่มาของหนี้ครัวเรือนจริงๆ แล้วไม่ได้มาจากระบบสถาบันการเงินที่ ธปท.เป็นผู้ที่ดูแลเพียงแหล่งเดียวเท่านั้น ยังมีหนี้จากสหกรณ์ออมทรัพย์ที่อยู่ในการดูแลของกระทรวงเกษตรฯ ขณะที่หนี้สินจากบริษัทเช่าซื้อและลีสซิ่งจำนวนมากก็ยังไม่มีผู้กำกับดูแลชัดเจน รวมถึงหนี้นอกระบบอีกจำนวนมหาศาลที่ไม่มีตัวเลขซึ่งเก็บเป็นข้อมูลสถิติไว้

จากปัญหานี้ชัดเจนว่าในการแก้ไขก็จะยุ่งยาก เนื่องจากมีเจ้าภาพหลายกลุ่ม ลำพังจะให้ ธปท.หรือกระทรวงการคลังขับเคลื่อนเพียงหน่วยงานเดียวไม่มีทางสำเร็จ ดังนั้นการจัดการหนี้สินครัวเรือนจะต้องใช้พลังจากระดับนโยบายที่จะต้องขับเคลื่อนในภาพกว้าง ครอบคลุมในทุกมิติ ไม่ใช่แค่การจัดการเฉพาะหนี้ในระบบเท่านั้น แต่รวมถึงหนี้นอกระบบด้วย ยิ่งเงินกู้ทั้งสองแห่งมีอัตราดอกเบี้ยต่างกันราวกับฟ้ากับดิน ถึงแม้จะแก้ไขหนี้ในระบบได้ดีสักเพียงไหน แต่ไม่ได้ล้างหนี้นอกระบบไปด้วย สุดท้ายหนี้นอกระบบจะเพิ่มพูน และครัวเรือนก็จะจมกองหนี้อยู่ดี

ในเบื้องต้นสิ่งที่อาจจะพอช่วยแก้ปัญหาได้นั้นก็คือ การให้ ธปท.ขยายขอบเขตการกำกับผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อยเพื่อให้ครอบคลุมไปถึงผู้ประกอบการกลุ่มอื่นๆ ที่เป็นแหล่งกู้เงินของภาคครัวเรือน เพราะจากตัวเลขเห็นได้ชัดเจนว่าสัดส่วนหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มมากขึ้นจาก 6.0% ในปี 59 มาที่ 8.0% นับเป็นการสะท้อนถึงสินเชื่อเพื่อการบริโภค ซึ่งบางแห่งไม่ได้อยู่ในกำกับของ ธปท. ดังนั้นเพื่อให้ประชาชนรายย่อยได้รับความคุ้มครองควบคู่กับการดูแลเสถียรภาพระดับมหภาค ขณะที่ผู้ให้บริการสินเชื่อก็จะดำเนินการตามแนวทางปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ โดยให้มั่นใจว่าลูกหนี้จะมีรายได้เหลือเพียงพอต่อการดำรงชีพ และไม่มีพฤติกรรมการก่อหนี้ที่ไม่พึงประสงค์ เช่น การกู้วนเพื่อรีไฟแนนซ์หนี้เดิม

ขณะที่หนี้สินในระบบสถาบันการเงิน ธปท.ก็มีแนวทางในการกำกับดูแล ทั้งมีการพักหนี้ ปรับโครงสร้าง เบรกชำระ เพื่อให้ระบบเดินหน้าต่อไปได้ 

ส่วนหนี้นอกระบบนั้น คงจะต้องมีการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่สายปราบปราม เพื่อจัดการเจ้าพ่อเจ้าแม่เงินกู้ และเพิ่มช่องทางให้ผู้กู้เข้าถึงแหล่งเงินในระบบมากที่สุด

และที่สำคัญมากที่สุดคือ การปลูกฝังทัศนคติการออม และการลงทุน รวมถึงการวางแผนการเงินที่ถูกต้อง ซึ่งควรบรรจุเป็นหลักการเรียน การสอน เป็นวิชาบังคับตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา เพื่อให้มีความรู้และเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการเงินให้มากขึ้น.

ลลิตเทพ ทรัพย์เมือง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เร่งเครื่องดึงนักท่องเที่ยว

จากสถานการณ์การท่องเที่ยวไทยในปัจจุบัน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ให้ข้อมูลพบว่า ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมในช่วงเกือบ 7 เดือนเต็ม ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-28 ก.ค.2567 ทั้งสิ้น 20,335,107 คน

ต้องเร่งแก้ปัญหาปากท้อง

หลังจากนายกรัฐมนตรีหญิง แพรทองธาร ชินวัตร รับตำแหน่งอย่างชัดเจน ทำให้ภาคเอกชนต่างก็ดีใจ เพราะไม่ทำให้ประเทศเป็นสุญญากาศในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสิ่งแรกที่ภาคเอกชนอย่าง

แนะเจาะใจผู้บริโภคด้วย‘ความยั่งยืน’

คงต้องยอมรับว่าประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนได้รับความสนใจมากขึ้นทั้งจากผู้บริโภค ภาคเอกชน และภาครัฐ ส่งผลให้ผู้ประกอบการในภาคธุรกิจจำเป็นต้องมีการปรับตัว

รัฐบาลงัดทุกทางพยุงตลาดหุ้น

หลังจากปล่อยให้ตลาดหุ้นซึมมาอย่างช้านาน จนปัจจุบันอยู่ต่ำกว่า 1,300 จุด เรียกได้ว่าสำหรับนักลงทุนถือเป็นความเจ็บปวด เพราะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาไม่ได้ไปไหน

ดันอุตฯไทยไปอวกาศ

แน่นอนว่าในยุคที่โลกต้องก้าวหน้าไปสู่อุตสาหกรรมที่ทันสมัยมากขึ้น และต่อไปไม่ได้มองแค่ในประเทศหรือในโลกแล้ว แต่มองไปถึงนอกโลกเลยด้วยซ้ำ เพราะจะเป็นหนึ่งในกลไกในการพัฒนาอุตสาหกรรมภาคพื้นที่มีความแข็งแกร่งส่งผ่านไปยังอุตสาหกรรมอวกาศได้

แบงก์มอง ASEAN ยังมาเหนือ

ยังคงมีอีกหลายประเด็นที่ต้องจับตามองกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งในสถานการณ์โลกและภายในประเทศ ที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจและการค้า โดยมุมมองของ อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ระบุว่า