ประเพณีการปกครองในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในอังกฤษเพิ่งเริ่มมีความชัดเจนในศตวรรษที่ยี่สิบ เริ่มต้นจากปี ค.ศ. ๑๙๑๑ ก่อนที่สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ห้าจะทรงเสด็จเยือนอินเดีย พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินด้วยเหตุผลที่ว่าพระองค์จะมิทรงประทับอยู่ในราชอาณาจักร และจากกรณีการแต่งตั้งสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในปี ค.ศ. ๑๙๑๑ นี้เองจึงเป็นที่มาของแบบแผนปฏิบัติในเวลาต่อมา นั่นคือ ในปี ค.ศ. ๑๙๒๕ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ห้าทรงมีความจำเป็นด้านสุขภาพที่จะต้องเสด็จล่องเรือไปในทะเลเมดิเตอเรเนียนตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้พระองค์ทรงมีพระพลานามัยดีขึ้น และในการที่มิได้ทรงประทับอยู่ในราชอาณาจักรนี้ พระองค์ก็ทรงแต่งตั้งสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินให้ปฏิบัติพระราชภารกิจแทนพระองค์ และต่อมาในกรณีที่ทรงพระประชวรในปี ค.ศ. ๑๙๒๘ และ ๑๙๓๖ อังกฤษก็เริ่มมีความชัดเจนในแบบแผนประเพณีการแต่งตั้งสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินให้ปฏิบัติพระราชภารกิจแทนองค์พระมหากษัตริย์
ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่จะมิทรงประทับอยู่ในราชอาณาจักรหรือทรงพระประชวร พระมหากษัตริย์อังกฤษจะทรงมีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินให้ปฏิบัติพระราชภารกิจแทนพระองค์ได้ ดังจะเห็นได้จากกรณีทั้งสี่ที่กล่าวไปนี้ นั่นคือ ค.ศ. ๑๙๑๑ (มิได้ทรงประทับอยู่ในราชอาณาจักร) ค.ศ. ๑๙๒๕ (มิได้ทรงประทับอยู่ในราชอาณาจักร) ค.ศ. ๑๙๒๘ (ทรงพระประชวร) และ ค.ศ. ๑๙๓๖ (ทรงพระประชวร)
แต่นอกจากกรณีที่องค์พระมหากษัตริย์มิได้ทรงประทับอยู่ในราชอาณาจักรหรือทรงพระประชวรแล้ว ยังมีประเด็นเกี่ยวกับทรงพระเยาว์อีกด้วย ซึ่งในประเพณีการปกครองเกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่เกิดขึ้นใหม่ของอังกฤษที่เพิ่งกล่าวไป ยังมิได้ครอบคลุมรวมถึงกรณีที่องค์พระมหากษัตริย์ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ในขณะที่ยังทรงพระเยาว์อยู่ ทำไม่ถึงมีพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระเยาว์ ?
เพราะยามเมื่อพระมหากษัตริย์เสด็จสวรรคตหรือสละราชสมบัติ จะต้องมีการสืบราชสันตติวงศ์ทันที หรือมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ขึ้นทันที ทั้งนี้เป็นไปตามหลักการที่ว่า “the King never dies” เพราะสถานะขององค์พระมหากษัตริย์คือองค์อธิปัตย์ (sovereign ผู้นำสูงสุดที่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นเอกภาพของรัฐ ) และประมุขของรัฐย่อมจะต้องดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง
การดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องดังกล่าวของพระมหากษัตริย์ในฐานะองค์อธิปัตย์สืบทอดมาจากความคิดทางการเมืองในยุคกลางของตะวันตก ซึ่งมีความโดดเด่นในแนวคิดเรื่อง Body Politic นั่นคือการมองสังคมการเมืองประดุจร่างกายที่มีชีวิต และแนวคิด Body Politic นี้ได้ตกทอดลงมาถึงกลุ่มนักคิดสัญญาประชาคมในศตวรรษที่สิบเจ็ดและสิบแปดด้วย โดยเปลี่ยนผ่านจากการให้น้ำหนักที่เอกบุคคลไปสู่มหาชน หรือดำรงอยู่ในลักษณะที่สัมพันธ์กัน
แนวคิด Body Politic นี้มีความสำคัญในปัจจุบันในฐานะที่เป็นฐานคิดสำคัญในการทำความเข้าใจรัฐ เพราะแนวคิดเรื่องรัฐล้มเหลว (failed state or state failure) หรือรัฐผุเสื่อม (state decay) หรือรัฐอ่อนแอ (weak state) หรือรัฐล่มสลาย (collapsed state) จะดำรงอยู่ไม่ได้ หรือยากที่จะเข้าใจ หากไม่อิงอยู่กับแนวคิด Body Politic
ตามแนวคิดดังกล่าว องค์พระมหากษัตริย์ทรง “มีร่างอยู่ ๒ ร่าง นั่นคือ ร่างที่ตายได้ และที่ไม่มีวันตาย” (เพราะอยู่ในรูปของการสืบครองรัฐและครองราชย์) แต่ถ้าเกิดมีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทำให้รูปแบบการปกครองนั้นไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ ร่างกายขององค์พระมหากษัตริย์ในฐานะส่วนหัวขององคาพยพของรัฐก็สูญสิ้นได้ แต่กระนั้น ก็จะมีประมุขของรัฐหรือองค์อธิปัตย์ในรูปแบบอื่นมาทดแทนอยู่ดี
อย่างเช่น ในกรณีของอังกฤษ หลังสงครามกลางเมืองในศตวรรษที่สิบเจ็ด ที่ลงเอยด้วยการที่ฝ่ายพระมหากษัตริย์พ่ายแพ้ต่อฝ่ายรัฐสภา และมีการตัดสินลงโทษบั่นพระเศียรพระเจ้าชาร์ลสที่หนึ่ง และยกเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์ และได้มีการสถาปนาสภาแห่งรัฐให้เป็นองค์อธิปัตย์แทนพระมหากษัตริย์ แต่ต่อมาสภาแห่งรัฐได้ถูกยึดอำนาจ (รัฐประหาร) โดยผู้นำทหารที่ชื่อ โอลิเวอร์ ครอมเวล และเขาได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นผู้พิทักษ์ปกป้องอาณาจักร (Lord Protectorate of the Commonwealth) ส่งผลให้เขาในฐานะเอกบุคคลเป็นองค์อธิปัตย์แทนคณะบุคคลในสภาแห่งรัฐ แต่ต่อมาอังกฤษได้ฟื้นฟูสถาบันพระมหากษัตริย์กลับคืนมา และพระเจ้าชาร์ลสที่สอง พระราชโอรสของพระเจ้าชาร์ลสที่หนึ่ง พระมหากษัตริย์ก็กลับมาเป็นองค์อธิปัตย์ของอังกฤษเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
ส่วนในกรณีของประเทศที่ยกเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์ไปแลยนั้น ประธานาธิบดีก็จะเป็นองค์อธิปัตย์ แต่ถ้าไม่มีองค์อธิปัตย์เลย ก็หมายถึงสภาวะสงครามกลางเมืองหรือการล่มสลายของรัฐ
ในกรณีที่องค์พระมหากษัตริย์เสด็จสวรรคต ผู้ที่อยู่ในลำดับแรกของสิทธิ์ในการสืบราชสันตติวงศ์ จะเสด็จขึ้นครองราชย์และทรงมีพระราชอำนาจทุกอย่างตามประเพณีการปกครองและรัฐธรรมนูญ ซึ่งแม้ว่าในปี ค.ศ. ๑๙๓๖ อังกฤษจะเกิดประเพณีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการ แต่ก็อยู่ภายใต้สองเงื่อนไข นั่นคือ ไม่ทรงประทับอยู่ในราชอาณาจักรหรือทรงพระประชวร ยังไม่ได้รวมในกรณีทรงพระเยาว์ และตามหลักกฎหมายของอังกฤษขณะนั้น ยังมิได้กำหนดว่า การทรงพระเยาว์จะอยู่ในเงื่อนไขที่ทำให้องค์พระมหากษัตริย์ไม่ทรงบริหารพระราชภารกิจได้ (royal incapacity) และถ้าพิจารณาหลักการ “the King can do no wrong” อย่างยืดหยุ่น หลักการนี้ก็จะสามารถครอบคลุมสถานะของ “พระมหากษัตริย์” ไม่ว่าจะทรงพระเยาว์ก็ตาม
แต่นักวิชาการด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญของอังกฤษได้แสดงความคิดเห็นว่า ถ้าจะว่ากันตามสามัญสำนึก (common sense) เราไม่สามารถคาดหวังว่า พระมหากษัตริย์ที่ยังทรงพระเยาว์อยู่จะทรงสามารถบริหารพระราชภารกิจในฐานะองค์พระมหากษัตริย์ได้
อย่างไรก็ตาม ในประวัติศาสตร์การเมืองของอังกฤษ ก็เคยเกิดกรณีที่องค์พระมหากษัตริย์ทรงครองราชย์ในขณะที่ยังทรงพระเยาว์อยู่ นั่นคือ ในสมัยของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่หก (Edward VI: ครองราชย์ ค.ศ. ๑๕๔๗-๑๕๕๓)
พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่หกทรงเป็นพระราชโอรสในพระเจ้าเฮนรี่ที่แปดและพระนางเจน ซีมอร์ ในวันที่ ๒๘ มกราคม ค.ศ. ๑๕๔๗ พระเจ้าเฮนรีที่แปดทรงเสด็จสวรรคต ผู้ที่อยู่ในวงในใกล้ชิดราชบัลลังก์ในขณะนั้นคือ เอ็ดเวิรด์ ซีมอร์ (Edward Seymour: พระเชษฐาองค์โตของพระนางเจน ซีมอร์) และวิลเลียม แพเจต (William Paget: ดำรงตำแหน่งในสภาที่ปรึกษาในพระองค์หรือ Privy Council) ได้เห็นพ้องต้องกันที่ชะลอการประกาศการสวรรคตของพระเจ้าเฮนรีที่แปดออกไปจนกว่าทุกอย่างจะพร้อมเพื่อให้การสืบราชสันตติวงศ์เป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อทุกอย่างพร้อม จึงได้ประกาศการสวรรคตของพระเจ้าเฮนรีที่แปดในวันที่ ๓๑ มกราคม นั่นคือ สามวันหลังจากที่พระองค์ได้สวรรคตแล้ว และมีการประกาศว่าเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดจะเป็นผู้สืบราชสันตติวงศ์ ซึ่งขณะนั้นพระองค์มีชนมายุเพียง ๑๐ พรรษาเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม พระเจ้าเฮนรีที่แปดได้ทรงทำพินัยกรรมไว้ด้วย โดยระบุชื่อคณะบุคคลไว้ ๑๖ คนที่จะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดจนกว่าพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดจะทรงมีพระชนมายุ ๑๘ พรรษา และคณะบุคคลทั้ง ๑๖ คนนี้จะมีผู้ทำหน้าที่สนับสนุนอีก ๑๒ คน
แม้จะมีพินัยกรรมระบุพระราชประสงค์ไว้ชัดเจนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาอันอาจจะเกิดขึ้นตามมาจากการบริหารพระราชภารกิจขององค์พระมหากษัตริย์ที่ยังทรงพระเยาว์ แต่ในปี ค.ศ. ๒๐๐๒ เดวิด สตาร์คีย์ (David Starkey: ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่) นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญอังกฤษที่สอนที่ LSE จนถึงปี ค.ศ. ๑๙๙๘ ได้สืบค้นข้อมูลและมีข้อสังเกตว่า น่าจะมีบุคคลใกล้ชิดพระเจ้าเฮนรี่ที่แปดที่ทำการแก้ไขพินัยกรรมหรือไม่ก็หว่านล้อมพระองค์ให้ทำพินัยกรรมระบุรายชื่อดังกล่าวเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง !!
คำถามที่เกิดขึ้นคือ จะมีการวางมาตรการทางกฎหมายไว้ล่วงหน้าที่จะป้องกันไม่ให้เกิดกรณีข้อสงสัยเช่นว่านี้ได้หรือไม่ ?
พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่หก
เอ็ดเวิร์ด ซีมอร์ พระมาตุลา
วิลเลียม แพเจต
เดวิด สตาร์คีย์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 (ตอนที่ 41): ‘กรมขุนชัยนาทนเรนทร’ ทรงตกเป็นเหยื่อการเมืองของหลวงพิบูลสงคราม ? ”
รัฐธรรมนูญไทยฉบับที่ 4 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศใช้เมื่อ วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 รัฐธรรมนูญฉบับนี้เกิดจากคณะทหาร นำโดย พลโท ผิน ชุณหะวัณ และพันเอก กาจ กาจสงคราม และมีนายทหารคนอื่น
ไทยในสายตาต่างชาติ (ตอนที่ 51: พระราชกฤษฎีกา 1 เมษายน 2476 คือ การทำรัฐประหารเงียบหรือ ?)
ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้สรุปเหตุการณ์สำคัญต่างๆที่เป็นเงื่อนไขที่นำมาสู่การประกาศพระราชกฤษฎีกา วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 อันเป็นพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 (ตอนที่ 40): ‘กรมขุนชัยนาทนเรนทร’ ทรงตกเป็นเหยื่อการเมืองของหลวงพิบูลสงคราม ? ”
รัฐธรรมนูญไทยฉบับที่ 4 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศใช้เมื่อ วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 รัฐธรรมนูญฉบับนี้เกิดจากคณะทหาร
ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 (ตอนที่ 39): ‘กรมขุนชัยนาทนเรนทร’ ทรงตกเป็นเหยื่อการเมืองของหลวงพิบูลสงคราม ? ”
รัฐธรรมนูญไทยฉบับที่ 4 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศใช้เมื่อ วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 รัฐธรรมนูญฉบับนี้เกิดจากคณะทหาร
ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 (ตอนที่ 38): ‘กรมขุนชัยนาทนเรนทร’ ทรงตกเป็นเหยื่อการเมืองของหลวงพิบูลสงคราม ? ”
รัฐธรรมนูญไทยฉบับที่ 4 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศใช้เมื่อ วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 รัฐธรรมนูญฉบับนี้เกิดจากคณะทหาร นำโดย พลโท ผิน ชุณหะวัณ และพันเอก กาจ กาจสงคราม และมีนายทหารคนอื่น เช่น
ไทยในสายตาต่างชาติ (ตอนที่ 48: พระราชกฤษฎีกา 1 เมษายน 2476 คือ การทำรัฐประหารเงียบหรือ ?)
ในตอนที่แล้ว ผู้เขียนได้สรุปเหตุการณ์สำคัญต่างๆที่เป็นเงื่อนไขที่นำมาสู่การประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 อันเป็นพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร