รัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 อันเป็นผลจากการทำรัฐประหารที่เริ่มขึ้นในคืนวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490
การรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 เป็นการรัฐประหารครั้งที่สองนับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 (นับเป็นครั้งที่สอง หากไม่นับการเปลี่ยนแปลงการปกครองวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ว่าเป็นการรัฐประหาร) การรัฐประหารครั้งแรกคือ การรัฐประหาร 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476
ระยะเวลาระหว่างรัฐประหาร 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 ซึ่งเป็นรัฐประหารครั้งแรกกับรัฐประหาร 8 พ.ศ. 2490 ซึ่งเป็นรัฐประหารครั้งที่สองคือ 14 ปี แม้ว่าจะทิ้งช่วงเป็นเวลา 14 ปี แต่ระหว่างรัฐประหารทั้งสองครั้งนี้ ได้เกิดการพยายามทำรัฐประหารขึ้น 3 ครั้ง
ครั้งแรกคือ กบฏบวรเดช (11 ตุลาคม พ.ศ. 2476) โดย คณะกู้บ้านกู้เมือง มีพลเอกพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช เป็นหัวหน้า
ครั้งที่สองคือ กบฏนายสิบ (3 สิงหาคม พ.ศ. 2478) โดย สิบเอกสวัสดิ์ มะหะมัด เป็นหัวหน้า
และครั้งที่สามคือ กบฏพระยาทรงสุรเดช หรือ กบฏ 18 ศพ หรือ กบฏ พ.ศ. 2481 (29 มกราคม พ.ศ. 2482) มี พันเอกพระยาทรงสุรเดช เป็นหัวหน้า
การพยายามทำรัฐประหารที่ล้มเหลว 3 ครั้งในช่วง 14 ปีมีความเกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหารที่สำเร็จในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 หรือไม่ ?
การตอบคำถามข้อนี้ เราต้องไปพิจารณาถึงสาเหตุการพยายามทำรัฐประหารทั้งสามครั้งก่อนหน้ารัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490
มูลเหตุสำคัญของการกบฏบวรเดช มี 6 ประการคือ หนึ่ง เกิดจากความหวาดระแวงภัยคอมมิวนิสต์ สอง มีการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างหนัก สาม ภาวะตีบตันทางการเมืองในระบบรัฐสภา สี่ ต้องการให้มีการจัดระบอบการปกครองประเทศให้เป็นประชาธิปไตยโดยแท้จริงตามอุดมการณ์ โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ห้า ความขัดแย้งระหว่างคณะทหารหัวเมืองกับคณะราษฎร หก การกระทบกระทั่งในมูลเหตุส่วนตัวของพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดช กฤดารและพันเอกพระยาศรีสิทธิสงคราม กับ บรรดาผู้นำในคณะราษฎร
ต่อจากกบฏบวรเดชเป็นเวลาเกือบสองปี ได้เกิด “กบฏนายสิบ” ขึ้นเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2478เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งว่า ไม่มีข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับกบฏนายสิบนี้ นอกเหนือไปจากข้อมูลของฝ่ายรัฐบาลที่เริ่มต้นจากการที่พันเอกหลวงพิบูลสงคราม รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมได้รับแจ้งเบาะแสมาจากผู้ใต้บังคับบัญชาที่สืบรู้มาว่ามีผู้สมคบคิดกันวางแผนจะยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองกลับสู่สมบูรณาญาสิทธิราชย์และวางแผนกำจัดบุคคลสำคัญบางคนในคณะรัฐบาล
และเช่นกัน กบฏพระยาทรงสุรเดช ก็ไม่ต่างจากกรณีกบฏนายสิบ นั่นคือ “ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีความผิดจริงหรือไม่ หากแต่หลวงพิบูลสงครามเชื่อว่ากลุ่มคนเหล่านั้นมีแนวคิดต่อต้านตน” (ฐานข้อมูลสถาบันพระปกเกล้าhttp://wiki.kpi.ac.th/index.php?title =พันเอก_พระยาทรงสุรเดช_(เทพ_พันธุมเสน) )
กล่าวได้ว่า กบฏที่เกิดขึ้น 3 ครั้งก่อนการรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ที่นำไปสู่การเกิด รัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 เป็นกบฏจริงอยู่เพียงครั้งเดียว นั่นคือ กบฏบวรเดช ส่วนอีกสองครั้งนั้น เป็นกบฏในจินตนาการของพันเอก หลวงพิบูลสงคราม
ในวิกีพีเดียกล่าวถึง “กบฏพระยาทรงสุรเดช” ไว้ว่า “เมื่อพันเอกหลวงพิบูลสงครามได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อจากพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 พันเอกพระยาทรงสุรเดชขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการโรงเรียนรบ จังหวัดเชียงใหม่ ได้นำนักศึกษาไปฝึกภาคสนามที่จังหวัดราชบุรี ได้ถูกคำสั่งให้พ้นจากราชการโดยไม่มีเบี้ยหวัดบำนาญ และบังคับให้เดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งก็คือเขมรโดยทันที พร้อมด้วยร้อยเอกสำรวจ กาญจนสิทธิ์ ท.ส. ประจำตัว ได้มีการกวาดล้างโดย หลวงอดุลเดชจรัส อธิบดีกรมตำรวจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จับตายนายทหารคนสนิทของพระยาทรงสุรเดช 3 คน จับกุมผู้ที่ต้องสงสัย จำนวน 51 คน เมื่อเวลาเช้ามืดของวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2481” และในการจับกุมผู้ต้องสงสัย 51 คนนั้น กรมขุนชัยนาทนเรนทรก็เป็นหนึ่งในนั้น
‘กรมขุนชัยนาทนเรนทร’ ทรงตกเป็นเหยื่อการเมืองของหลวงพิบูลสงคราม”
ความเป็นมาของการตกเป็นเหยื่อการเมือง (ต่อจากตอนที่แล้ว)
คราวที่แล้วได้กล่าวถึงหนังสือ Siam becomes Thailand ของจูดิธ สโตว์ (Judith A. Stowe/ ตีพิมพ์ปี พ.ศ. 2534) และจากคำบรรยายของสโตว์ คือ กรมขุนชัยนาทฯไม่เคยทรงเกี่ยวข้องกับการเมืองเลย และหากเป็นเช่นนั้นจริงตามที่สโตว์กล่าว กรมขุนชัยนาทฯตกเป็นเหยื่อทางการเมืองของหลวงพิบูลฯ
ส่วนงานของกอบเกื้อ สุวรรณทัต-เพียน (Kobkua Suwannathat-Pian) ที่เขียนถึงการที่รัฐบาลหลวงพิบูลสงครามสั่งจับกุมกรมขุนชัยนาทฯ มีสองเล่ม คือ Thailand’s Durable Premier: Phibun through Three Decades 1932-1957 (นายกรัฐมนตรีที่ยาวนานของประเทศไทย: พิบูลในสามทศวรรษ 2475-2500) (พิมพ์ปี พ.ศ. 2538) และ Kings, Country and Constitutions: Thailand’s Political Development 1932-2000 (พระมหากษัตริย์ ประเทศและรัฐธรรมนูญ: พัฒนาการทางการเมืองของประเทศไทย 2475-2543) (พิมพ์ปี พ.ศ. 2546)
ใน Thailand’s Durable Premier: Phibun through Three Decades 1932-1957 กอบเกื้อกล่าวสรุปถึงบริบททางการเมืองก่อนการจับกุมกรมขุนชัยนาทฯ ไว้ว่า “It is difficult to gauge the truth behind the sweeping arrest, particularly in light of the lengthy and emotional arguments that have followed in its wake. Practically everyone arrested denied the charges.” (แปล: “เป็นการยากที่จะประเมินความจริงเบื้องหลังการจับกุมครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงข้อโต้แย้งที่ยืดเยื้อและสะเทือนอารมณ์ที่ตามมาภายหลัง เกือบทุกคนที่ถูกจับกุมปฏิเสธข้อกล่าวหา”)
หลังข้อความนี้ กอบเกื้อได้ใส่เชิงอรรถที่ 39 ไว้ โดยมีข้อความกล่าวถึงกรมขุนชัยนาทฯว่า “…Prince Aditya was reported to have said to the British Ambassador that Prince Rangsit, the beloved uncle of the young King, was seriously involved in the conspiracy. Prince Chula-chakrapong had likewise implied that ex-King Prajadhipok might have been privy to the attempts to assassinate Phibun since Prajadhipok was ‘desperate’ and ‘it was his nature to shut his eyes to unpleasant things which were likely to fall out to his advantage’ (FO 371/23586, Sir Josiah Crosby to FO, 7 February 1938(9)) (แปล: “…มีรายงานว่า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาได้ทรงมีตรัสกับเอกอัครราชทูตอังกฤษว่า กรมขุนชัยนาทฯ พระปิตุลาที่รักของรัชกาลที่แปด มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างจริงจังในการสมรู้ร่วมคิดนี้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ทรงตรัสเป็นนัยเช่นกันว่า อดีตพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอาจทรงรู้เห็นในความพยายามที่จะลอบสังหารหลวงพิบูลฯ เนื่องจากพระปกเกล้าทรง 'หมดหวัง' และ 'เป็นนิสัยของพระองค์ที่จะหลับตาต่อสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งมีแนวโน้มจะเป็นประโยชน์ต่อพระองค์ '..” (FO 371/23586, Sir Josiah Crosby to FO, 7 February 1938(9))
ใน Kings, Country and Constitutions: Thailand’s Political Development 1932-2000 หน้า 124 กอบเกื้อเขียนไว้ว่า “…None the less, the response among members of the ruling elite seemed genuinely concerned for their own safety and the safety of the cause that they had espoused. Prince Aditya, for instance, informed a high-ranking British official that Prince Rangsit was seriously involved in the plot. Prince Chula Chakrabongse appeared willing to believe that Prajadhipok might have been privy to the attempts to assassinate Phibun since the ex-King ‘was desperate’ and ‘it was his nature to shut his eyes to unpleasant things which were likely to fall out to his advantage. ..” (แปล: กระนั้นก็ตาม ปฏิกิริยาในหมู่สมาชิกของชนชั้นปกครองดูเหมือนจะมีความกังวลจริงๆต่อความปลอดภัยของตนเองและความปลอดภัยต่อสิ่งที่พวกเขาสนับสนุน พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เป็นต้น ได้ให้ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของอังกฤษว่า กรมขุนชัยนาทฯ ทรงมีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการนี้อย่างจริงจัง พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ดูเต็มใจที่จะเชื่อว่า พระปกเกล้าฯ อาจทรงรู้เห็นในความพยายามที่จะลอบสังหารหลวงพิบูลฯ เนื่องจากอดีตพระมหากษัตริย์ทรง 'หมดหวัง' และ 'เป็นนิสัยของพระองค์ที่จะปิดตาของเขาต่อสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งมีแนวโน้มจะเป็นประโยชน์ต่อพระองค์’ ” และกอบเกื้อได้ใส่เชิงอรรถ 42 ต่อท้ายข้อความ และเมื่อไปดูเชิงอรรถที่ 42 ในหน้า 244 จะพบข้อความดังนี้ “42 FO 371/23586, Sir Josiah Crosby to FO, 7 February 1939” ซึ่งเป็นเอกสารอ้างอิงอันเดียวกันกับที่กอบเกื้อกล่าวถึงในเชิงอรรถที่ 39 ในหนังสือ Thailand’s Durable Premier: Phibun through Three Decades 1932-1957
ความแตกต่างของหนังสือสองเล่มนี้ คือ ใน Thailand’s Durable Premier: Phibun through Three Decades 1932-1957 กอบเกื้อนำข้อความที่กล่าวว่า กรมขุนชัยนาทฯ มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างจริงจังในการสมรู้ร่วมคิดนี้ ใส่ไว้ในเชิงอรรถที่ 39 แต่ใน Kings, Country and Constitutions: Thailand’s Political Development 1932-2000 ข้อความดังกล่าวปรากฏอยู่ในเนื้อหาหลัก และใส่เชิงอรรถที่ 42 โดยอ้างอิง FO 371/23586, Sir Josiah Crosby to FO, 7 February 1939
ความแตกต่างอีกประการหนึ่งคือ ในเล่มแรก ในเชิงอรรถที่ 39 กอบเกื้อกล่าวว่า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาได้ทรงมีตรัสกับเอกอัครราชทูตอังกฤษ แต่ใน Kings, Country and Constitutions: Thailand’s Political Development 1932-2000 เธอกล่าวว่า
พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เป็นต้น ได้ให้ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของอังกฤษ แม้ว่าจะใช้คำต่างกัน แต่อ้างอิงเอกสารเดียวกัน นั่นคือ FO 371/23586, Sir Josiah Crosby to FO, 7 February 1939 ซึ่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอังกฤษกับเอกอัครราชทูตอังกฤษคือบุคคลคนเดียวกัน นั่นคือ เซอร์โจไซอา ครอสบี้ (Sir Josiah Crosby) ผู้ดำรงตำแหน่งทูตอังกฤษประจำสยามขณะนั้น
แม้ว่าหนังสือ Kings, Country and Constitutions: Thailand’s Political Development 1932-2000จะตีพิมพ์ห่างจาก Thailand’s Durable Premier: Phibun through Three Decades 1932-1957 เป็นเวลา 8 ปี แต่ผู้เขียน (กอบเกื้อ) ยังยืนยันในเนื้อหาเดิม นั่นคือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาได้ทรงมีตรัสกับเอกอัครราชทูตอังกฤษว่า กรมขุนชัยนาทฯ มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างจริงจังในการสมรู้ร่วมคิดนี้ ในตอนหน้า ผู้เขียนจะนำข้อความทั้งหมดจาก FO 371/23586, Sir Josiah Crosby to FO, 7 February 1939 มาให้ผู้อ่านได้เห็น และเราจะได้ตรวจดูว่ามีข้อความที่ว่า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาได้ทรงมีตรัสกับเอกอัครราชทูตอังกฤษว่า กรมขุนชัยนาทฯ มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างจริงจังในการสมรู้ร่วมคิดนี้ หรือไม่ ? รวมทั้งข้อความที่ว่า “พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ดูเต็มใจที่จะเชื่อว่า พระปกเกล้าฯ อาจทรงรู้เห็นในความพยายามที่จะลอบสังหารหลวงพิบูลฯ เนื่องจากอดีตพระมหากษัตริย์ทรง 'หมดหวัง' และ 'เป็นนิสัยของพระองค์ที่จะปิดตาของเขาต่อสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งมีแนวโน้มจะเป็นประโยชน์ต่อพระองค์’”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เทวดาแม้วของขึ้น! เปิดศึกขาประจำกว่า 10 คน รวม ‘แก้วสรร-แฝดน้อง‘
นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พ่อน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงฉายา “ทวีไอพี” ของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการ
ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 (ตอนที่ 41): ‘กรมขุนชัยนาทนเรนทร’ ทรงตกเป็นเหยื่อการเมืองของหลวงพิบูลสงคราม ? ”
รัฐธรรมนูญไทยฉบับที่ 4 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศใช้เมื่อ วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 รัฐธรรมนูญฉบับนี้เกิดจากคณะทหาร นำโดย พลโท ผิน ชุณหะวัณ และพันเอก กาจ กาจสงคราม และมีนายทหารคนอื่น
รทสช.ขยับทันควัน! หลังสื่อทำเนียบตั้งฉายา ‘พีระพัง‘
จากกรณี ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ได้ตั้งฉายารัฐบาล และรัฐมนตรีประจำปี ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมา เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่
‘อดีต สว.สมชาย’ ซัดเปิดบ่อนคาสิโน นโยบายสิ้นคิด แบ่งใบอนุญาตโควตาการเมือง
สมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์เฟซบุ๊ก เปิดบ่อนคาสิโน แบ่งใบอนุญาตโควตาการเมือง ขายมัดจำ
เกิดขึ้นจริงๆ ‘วรงค์’ โชว์ป้ายเมื่อสามปีที่แล้ว ‘โจรปล้นชาติจะกลับมา’
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ที่ปรึกษาพรรคไทยภักดี โพสต์รูปภาพและข้อความในเฟซบุ๊กว่า #ป้ายที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้ว
’พุทธะอิสระ‘ วางแล้ว! ไม่ร่วมขบวนทักท้วง ‘ทักษิณ-แพทองธาร’
นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ "พุทธะอิสระ" ผู้ก่อตั้งวัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก โดยมีรายละเอียดดังนี้