ไทยในสายตาต่างชาติ (ตอนที่ 43: พระราชกฤษฎีกา 1 เมษายน 2476 คือ การทำรัฐประหารเงียบหรือ ?)

 

ในตอนที่แล้ว ผู้เขียนได้สรุปเหตุการณ์สำคัญต่างๆที่เป็นเงื่อนไขที่นำมาสู่การประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476  อันเป็นพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร ปรับคณะรัฐมนตรีและชะลอการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราชั่วคราว ซึ่งรายงานจากสถานทูตฝรั่งเศสเห็นว่าเป็นการทำรัฐประหาร ในขณะที่รายงานสถานทูตอังกฤษรายงานว่าเป็นการยุบสภาฯและเป็นพระราชกฤษฎีกาประกาศภาวะฉุกเฉิน โดยในตอนที่แล้ว ผู้เขียนได้ยกข้อความในรายงานสถานทูตที่เป็นภาษาอังกฤษต้นฉบับ ซึ่งจากรายงานดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่า ทางสถานทูตอังกฤษเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของพระราชกฤษฎีกาฉบับวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 ว่าเป็นพระราชกฤษฎีกาประกาศภาวะฉุกเฉินของฝ่ายบริหาร โดยในรายงานสถานทูตใช้คำว่า  emergency decrees   ซึ่งข้อความในตัวพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเองก็มีคำว่า “ฉุกเฉิน” อยู่ด้วย (ดูภาพประกอบ)  และจากรายงานสถานทูตอังกฤษ อัครราชทูตอังกฤษนายซีซิล ดอร์เมอร์ยังแสดงความเห็นด้วยต่อการประกาศภาวะฉุกเฉินโดยการยุบสภาผู้แทนราษฎร การปรับคณะรัฐมนตรี รวมทั้งการตราพระราชบัญญัติต่อต้านคอมมิวนิสต์

การประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 ปิดประชุมสภา ปรับคณะรัฐมนตรี และชะลอการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราเป็นการชั่วคราว และการตราพระราชบัญญัติต่อต้านคอมมิวนิสต์ จึงไม่ใช่การทำรัฐประหารในสายตาของอัครราชทูตอังกฤษ เพราะเป็นพระราชกฤษฎีกาประกาศภาวะฉุกเฉิน ผู้เขียนเห็นว่า ความเห็นของอัครราชทูตอังกฤษต่อพระราชกฤษฎีกาฯ เป็นสิ่งที่ควรนำมาพิจารณา เพราะอังกฤษ เป็นประเทศต้นแบบการปกครองแบบรัฐสภาที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

นักวิชาการต่างประเทศและของไทยมีความเห็นต่อกรณีการประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 ดังนี้

เริ่มจาก เดวิด เค. วัยอาจ จากงาน Thailand A Short History, 1st edition 1982,  2nd edition, (Bangkok: Silkworm: 2003)

วัยอาจได้อธิบายว่า “หลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕  ความขัดแย้งและการแข่งขันที่ซ่อนอยู่ภายในกลุ่มผู้ปกครองที่ผสมหลายฝ่ายก็ได้ปะทุออกมา  วัยอาจเปรียบกลุ่มต่างๆเสมือนกับจ๊อกกี้ที่ขี่มาแข่งเพื่อชิงอำนาจในระบอบการปกครองใหม่ และวัยอาจได้แบ่งกลุ่มอนุรักษ์นิยมเก่าออกเป็นสองกลุ่ม

กลุ่มแรก คือ กลุ่มพลเรือนอาวุโสที่นำโดยพระยามโนปกรณ์นิติธาดา

และกลุ่มที่สอง คือ พระบรมวงศานุวงศ์ที่ไม่ปรากฎตัวเด่นชัดและไม่มีผู้นำกลุ่ม

ส่วนกลุ่มต่อมา ซึ่งวัยอาจเรียกว่ากลุ่มผู้ก่อการ (the Promoters) [1] แบ่งออกเป็นสามกลุ่ม      

กลุ่มแรกคือฝักฝ่ายนายทหารอาวุโสภายใต้พระยาพหลพลพยุหเสนา ซึ่งพลังสำคัญที่อยู่เบื้องหลังคือ พระยาทรงสุรเดช

กลุ่มที่สองคือ กลุ่มนายทหารบกและทหารเรือรุ่นหนุ่มที่นำโดยหลวงพิบูลสงคราม

และกลุ่มที่สามคือ พลเรือนที่นำโดยปรีดี พนมยงค์

และจากการวางแผนต่อสู้ที่สลับซับซ้อนอย่างต่อเนื่องโดยมีการเชื่อมโยงของฝักฝ่ายต่างๆ ได้เกิดวิกฤตสำคัญขึ้นสามครั้งในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ที่ทำให้ผลของการต่อสู้แข่งขันตกอยู่กับฝ่ายทหารรุ่นหนุ่ม

วิกฤตครั้งแรก เกิดขึ้นต้นปี พ.ศ. ๒๔๗๖  ผู้นำรัฐบาลได้สนับสนุนให้ปรีดีร่างแผนเศรษฐกิจชาติฉบับใหม่ โดยปรีดีได้ร่างเค้าโครงเศรษฐกิจขึ้นโดยอิงกับคำบรรยายที่เขาได้ร่ำเรียนมาที่ปารีส ซึ่งในความเห็นของวัยอาจ เห็นว่าเป็นเค้าโครงเศรษฐกิจที่คลุมเครือไม่ชัดเจนและเป็นอุดมคติ โดยวัยอาจใช้คำว่า utopia ซึ่งมีความหมายหมายถึงสังคมในฝันหรือในอุดมคติที่ไม่มีอยู่จริง และเป็นแบบแผนอย่างสังคมนิยม (socialistic scheme) โดยปรีดีต้องการให้รัฐบาลนำที่ดินและแรงงานมาเป็นของรัฐ และทำให้ราษฎรทุกคนรวมทั้งชาวไร่ชาวนาในประเทศเข้าสู่ระบบราชการเป็นข้าราชการ และมีโครงการที่จะทำนาในระบบอุตสาหกรรม

กลุ่มอนุรักษ์นิยม โดยเฉพาะส่วนใหญ่ของนายทหาร รีบโจมตีเค้าโครงเศรษฐกิจนั้นโดยทันทีว่าเป็นแผนเศรษฐกิจที่เป็นคอมมิวนิสต์  และถึงขนาดดึงความช่วยเหลือจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯในการโจมตีเค้าโครงเศรษฐกิจของปรีดี

เมื่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร (National Assembly ที่วัยอาจใช้คำนี้ ก็เพราะยังไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่มาจากการแต่งตั้งให้เป็นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) ที่ฝักฝ่ายพลเรือนของปรีดีที่เป็นพลเรือนรุ่นหนุ่มและหัวรุนแรงมีเสียงครอบงำในสภาไม่อยู่ในความสงบ ทำให้ไม่สามารถควบคุมการประชุมได้ จึงได้มีการปิดสภา (it was prologued) และมีการตราพระราชบัญญัติคอมมิวนิสต์ (เน้นโดยผู้เขียน)

ภายใต้สถานการณ์ที่ร้อนแรงมากขึ้น ปรีดีได้ถูกขอร้องให้เดินทางออกไปลี้ภัยสักระยะเวลาหนึ่งและเขาได้เดินทางไปฝรั่งเศส  ก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้ประกาศไม่รับรองกลุ่มการเมืองต่างๆ  เพื่อขัดขวางความพยายามที่จะสร้างพรรคการเมืองต่างๆโดยมีฐานมวลชนที่อาจจะท้าทายรัฐบาล”           

จากข้างต้น จะเห็นได้ว่า วัยอาจไม่ได้มองว่า การประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 เป็นการทำรัฐประหาร โดยเขาให้เหตุผลว่า “ประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่ฝักฝ่ายพลเรือนของปรีดีที่เป็นพลเรือนรุ่นหนุ่มและหัวรุนแรงมีเสียงครอบงำในสภาไม่อยู่ในความสงบ ทำให้ไม่สามารถควบคุมการประชุมได้ จึงได้มีการปิดสภา (it was prologued) และมีการตราพระราชบัญญัติคอมมิวนิสต์

แต่การที่วัยอาจใช้คำว่า prorogued ซึ่งหมายความถึง การปิดประชุมสภา จะแตกต่างจากรายงานของสถานทูตอังกฤษที่ใช้คำว่า dissolving ซึ่งหมายถึงการยุบสภา  ซึ่งผู้เขียนจะอธิบายความแตกต่างระหว่าง prorogation และ dissolution ในภายหลัง

----------

ต่อมาคือความเห็นของ กอบเกื้อ สุวรรณทัต-เพียน (Kobkua Suwannathat-Pian) ในงานที่ชื่อว่า Thailand’s Durable Premier: Phibun through Three Decades 1932-1957, (Oxford: Oxford University Press: 1995)

กอบเกื้ออธิบายว่า “หลังกลับจากฝรั่งเศส 5 ปี หลวงพิบูลฯใช้เวลาไปกับการทำงานด้านวิชาการ บรรยาย เป็นบรรณาธิการวารสารกองพันทหารปืนใหญ่ เขียนตำราว่าด้วยปืนใหญ่และการฝึกอบรม และแสดงเทคนิคสมัยใหม่ในการฝึกภาคสนามของหน่วยรบปืนใหญ่  จากการสิ่งต่างๆที่เขาทำ หลวงพิบูลฯดูจะมุ่งมั่นที่จะสถาปนาตัวเขาในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านปืนใหญ่ของกองทัพ  มีครั้งหนึ่ง แม้กระทั่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯยังทรงเสด็จมารับฟังคำบรรยายของเขาในหัวข้อดังกล่าว ดังนั้น การปฏิวัติและการเมืองดูจะเป็นสิ่งที่สุดท้ายในใจของนายทหารหนุ่มผู้นี้ เป็นความจริงที่เขายังคงติดต่อกับมิตรสหายในช่วงที่เขาอยู่ที่ฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม ไม่กี่เดือนก่อนวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕  ภริยาและครอบครัวของเขาพบว่า หลวงพิบูลฯและหลวงอดุลย์ฯกำลังจะ ‘ทำอะไรบางอย่าง’   มันยากที่ภริยาของเขา ซึ่งเป็นคนสนิทที่เขาไว้วางใจ จะไม่สังเกตเห็นบทบาทของเขาในการตระเตรียมที่จะล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จนกระทั่งในช่วงเวลาสุดท้าย ถ้าหากหลวงพิบูลฯจะเข้าไปมีบทบาทสำคัญตั้งแต่เขากลับจากฝรั่งเศส  จากแหล่งข้อมูลอื่นได้ยืนยันบทบาทรองของหลวงพิบูลฯในการระดมคนและในการปฏิบัติการอย่างแข็งขันในการทำการปฏิวัติ  ตัวอย่างเช่น ควงก็ยืนยันเรื่องนี้ เมื่อเขากล่าวว่า หลวงพิบูลฯได้เข้าร่วมประชุมเพียงสองครั้งก่อนจะถึงวันก่อการ และในวันก่อการ แผนการปฏิวัติก็จะต้องเกิดขึ้นไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม 

ในช่วงปฏิวัติ หลวงพิบูลฯไม่ได้มีกองกำลังภายใต้การบังคับบัญชาของเขา เป็นนายทหารที่ขึ้นอยู่กับแผนกที่ปรึกษาของกระทรวงกลาโหม  ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน เขาและนายทหารอีกสองนาย ได้รับมอบหมายในนำตัวกรมพระนครสวรรค์ ผู้เข้มแข็งของระบอบเก่า เพื่อมาคุมตัวไว้เพื่อความปลอดภัย  หลวงพิบูลฯเองก็ไม่ได้อ้างว่าตัวเขามีบทบาทสำคัญอะไร ในการปฏิบัติการตามแผนยึดอำนาจ เพราะเขาเองรู้ตัวว่าเขายังเป็นมือใหม่ในเกมการเมือง  ในจดหมายที่เขาเขียนไปถึง ปรีดี ในปี พ.ศ. ๒๔๗๙ เขาสารภาพว่า ‘ผมยังอ่อนหัดทางการเมือง.....ผมไม่รู้อะไรในช่วงปฏิวัติ ๒๔๗๕ เพราะผมยังไม่รู้เรื่องการเมือง’

การทุ่มเทอย่างแท้จริงต่อสาเหตุการปฏิวัติของเขา อธิบายถึงกิจกรรมทางการเมืองบางอย่างของเขาไม่กี่เดือนก่อนปฏิวัติ  ทั้งควงและประยูรเห็นตรงกันว่า หลวงพิบูลฯพยายามหานายทหารรุ่นหนุ่มๆในกองทัพมาสนับสนุนคณะราษฎรอย่างสม่ำเสมอ ควรจะตระหนักด้วยว่า เส้นทางอนาคตทางการทหารของเขาดูสดใสมาก มันไม่มีเหตุผลที่จะสงสัยว่า เขาจะไม่ได้เติบโตดี ถ้าเขาเลือกที่จะอยู่กับระบอบเก่า

หลังจากล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หลวงพิบูลฯได้เริ่มเห็นความจริงในพัฒนาการทางการเมืองของประเทศ โดยเฉพาะในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๗๖  ในช่วงนั้น ปีกเสรีนิยม (liberal wing / ในขณะที่ Wyatt ใช้คำว่า radical ) ของคณะราษฎร ซึ่งสนับสนุนเค้าโครงเศรษฐกิจที่เสนอโดยปรีดีต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (กอบเกื้อ ไม่พูดถึงความขัดแย้งในคณะรัฐมนตรี) ถูกเลี่ยงรัฐบาลพระยามโนฯจากการสนับสนุนของผู้นำอาวุโสของคณะราษฎรเอง --- พระยาทรงสุรเดช, พระยาฤทธิ์อาคเนย์ และ พระประศาสน์พิทยายุทธ ทั้งสามไม่เห็นด้วยกับเค้าโครงเศรษฐกิจ นำไปสู่การแตกกันระหว่างสมาชิกรุ่นหนุ่มของคณะราษฎร กับรัฐบาลที่พวกเขาเคยสนับสนุนมาก่อน รัฐบาลได้ตัดสินใจที่จะ ‘ใช้กำลังทั้งหมดเข้าปราบปรามการก่อความไม่สงบ ถ้าจำเป็นด้วยความช่วยเหลือจากทหารในต่างจังหวัด’  เห็นได้ชัด หลังจากที่รัฐบาลประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวให้ผู้เข้มแข็งของคณะราษฎร พระยาทรงสุรเดช สนับสนุนแผนการระงับพวก ‘หัวรุนแรง” (radicals) และ “ทฤษฎีกึ่งคอมมิวนิสต์’  (half-communistic theories) ของพวกเขา

ในการป้องกันไม่ให้ สภานิติบัญญัติรับรองเค้าโครงเศรษฐกิจ ซึ่งเสียงข้างมากในสภาฯเป็นผู้สนับสนุนคณะราษฎร  พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี (กอบเกื้อใส่ตำแหน่งด้วย) ได้ยุบสภาฯ (กอบเกื้อใช้คำว่า dissolved) โดยพระราชกฤษฎีกาวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๖ และระงับการใช้บางมาตราของรัฐธรรมนูญและปรับคณะรัฐมนตรี

กอบเกื้อกล่าวในอ้างอิงที่ ๒๖ ความว่า ตรงกันข้ามกับความเชื่อทั่วไป พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯไม่ทรงเห็นด้วยกับวิธีการของพระยามโนฯ ในการเผชิญหน้ากับ ‘พวกหัวรุนแรง” ของคณะราษฎร  จริงๆแล้ว พระองค์ไม่เห็นด้วยกับการยุบสภาฯ แต่ที่ปรึกษาคือ นายสตีเวนส์  (Raymond Bartlett Stevens) นักกฎหมายและนักการเมืองชาวสหรัฐ ที่ปรึกษาราชการต่างประเทศในสยามช่วงรัชกาลที่ 7) ได้ “ขอให้พระยามโนฯยุบสภา (dissolve)”   พระองค์เห็นว่า การตัดสินใจที่จะกำจัดพวกหัวรุนแรงทีเดียวให้หมดไป เป็นการทำความผิดพลาดมากขึ้น พลาดที่จะหามาตรการที่จำเป็นที่จะปกป้องสถานะของเขาเองหลังการยุบสภา (dissolve) FO 422/90, Note on Mr. Baxter’s Audience with HM the King of Siam, 26 December 1933)        รัฐบาลพระยามโนฯได้ออกพระราชบัญญัติใหม่ว่าด้วยคอมมิวนิสต์ ประกาศให้กิจกรรมคอมมิวนิสต์และผู้สนับสนุนผิดกฎหมาย ปรีดีถูกบังคับให้ออกนอกประเทศ บรรดาพวกหัวรุนแรงและหัวเสรีนิยมถูกทิ้งให้ไม่มีผู้นำ”

จากข้างต้น จะเห็นได้ว่า กอบเกื้อก็ไม่ได้เห็นว่า การประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 เป็นการทำรัฐประหาร

(โปรดติดตามตอนต่อไป)  


[1] กลุ่มผู้ก่อการ (Promoters) นี้ วัยอาจหมายถึง กลุ่มผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ที่ประกอบไปด้วยนายทหารบกและทหารเรือ 49 นาย พลเรือน 65 คนที่นำโดยปรีดี พนมยงค์และหลวงพิบูลสงคราม ดู David K. Wyatt, Thailand A Short History, 2nd edition, (Bangkok: Silkworm: 2003), p. 230.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 (ตอนที่ 33): ‘กรมขุนชัยนาทนเรนทร’ ทรงตกเป็นเหยื่อการเมืองของหลวงพิบูลสงคราม”

รัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490

'ดร.ณัฏฐ์' นักกฎหมายมหาชน ชำแหละทุกแง่มุม ผลกระทบคดีตากใบขาดอายุความ

ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม หรือ “ดร.ณัฏฐ์” นักกฎหมายมหาชน กล่าวถึงคดีตากใบที่ไม่สามารถนำตัวจำเลยมาศาลได้ ภายในอายุความ 20 ปี ทำ

'ชัยธวัช-ปชน.' ผิดหวังสภาคว่ำข้อสังเกตกมธ.นิรโทษฯ สะท้อนรัฐบาลขาดเอกภาพ

ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม นำโดย นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการฯ นายชัย