ไทยในสายตาต่างชาติ: สมัยรัชกาลที่เจ็ด (ตอนที่ 25: การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475)

 

ผู้เขียนขอหยิบยกรายงานจากสถานทูตอื่นๆที่มีต่อเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองต่อจากตอนที่แล้ว โดยผู้เขียนได้คัดลอกมาจากหนังสือ ฝรั่งมองไทยในสมัยรัชกาลที่ 7: ตะวันออกที่ศิวิไลซ์ ของ ธีระ นุชเปี่ยม จัดทำโดยมูลนิธิประชาธิปก-รำไพพรรณี

“ประเด็นสุดท้ายที่จะพิจารณาในส่วนนี้ คือ ประเด็นเกี่ยวกับสถานะของพระมหากษัตริย์ในระบอบปกครองใหม่ แม้ว่ารายงานสถานอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์จะระบุว่า สถานะของพระมหากษัตริย์ยังคงอยู่เช่นเดิม รายงานสถานอัครราชทูตอังกฤษกลับเห็นว่า ‘แม้พระมหากษัตริย์จะยังทรงมีฐานะเป็นประมุขแห่งรัฐ (head of state) แต่ในทางปฏิบัติ อำนาจอยู่ในองค์กรที่ได้กล่าวไปข้างต้น [สภาผู้แทนราษฎรและคณะกรรมการราษฎร]  ดังนั้น  ในรายงานสรุปสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญชั่วคราว อุปทูตอังกฤษจึงย้ำว่า แม้ว่าพระมหากษัตริย์จะยังทรงมีสถานะเช่นนั้น แต่ ‘อำนาจที่แท้จริง’ (real power) ได้ถูกริดรอนไปจากพระองค์แล้ว  อย่างไรก็ดี อัครราชทูตอังกฤษได้ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเด็นเรื่องนี้

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นเสมือนนักโทษ แต่เท่าที่เราสามารถจะกล่าวได้นั้นก็ต้องบอกว่า ประชาชนโดยทั่วไปยังจงรักภักดีต่อพระองค์  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นทรัพย์สินที่ทรงอำนาจ (powerful asset) เกินกว่าที่พวกเขา [คณะราษฎร] จะยอมเสี่ยงที่จะให้พระองค์ถูกดึงไปเป็นผู้นำของกลุ่มตรงข้าม ข้าพเจ้า [นายดอร์เมอร์] ได้รับการบอกกล่าวมาว่าสำหรับประชาชนในจังหวัดต่างๆ นั้น การได้ตระหนักว่า ‘พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงดำรงอยู่’ (the King is still there) ก็เป็นการเพียงพอแล้ว และคนเหล่านี้ก็จะไม่สนใจว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอื่นใดอีกหรือไม่

------------

5.2 ตะวันตกมองการเริ่มต้นของระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในสยาม                  

การที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวตัดสินพระทัยไม่ต่อต้านการรัฐประหารและทรงยอมรับระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (แม้จะทรงไม่เห็นด้วยกับคณะราษฎรในประเด็นที่เกี่ยวกับประชาธิปไตยภายใต้ระบอบนี้อยู่หลายเรื่อง ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาขัดแย้งในเวลาต่อมา)  ประกอบกับการผ่อนคลายท่าทีลงของคณะราษฎร  ถือได้ว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการประนีประนอม ซึ่งทำให้การเริ่มต้นการปกครองระบอบนี้ดูจะดำเนินไปไปได้ด้วยดี  ในตอนนี้ เราจะพิจารณาการรับรู้และความเข้าใจของตะวันตกเกี่ยวกับเหตุการณ์ สถานการณ์ และบุคคลที่เกี่ยวข้องต่างๆ ในช่วงนี้ในแนวทางเดียวกับตอนที่ 5.1           

ในการรับรู้และความเข้าใขของอังกฤษ  พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริที่จะสละราชสมบัติภายหลังการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 1932  อัครราชทูตอังกฤษยืนยันว่า ได้รับทราบว่า เมื่อมีแถลงการณ์โจมตีราชวงศ์ทางวิทยุกระจายเสียงหลังการรัฐประหาร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ใน-ขณะนั้นยังประทับอยู่ที่หัวหิน ได้แสดงพระราชประสงค์ที่จะเสด็จออกจากสยามในทันที  อัครราชทูตยังระบุว่า ได้รับทราบด้วยว่ามีการเตรียมการที่จะให้พระโอรสของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสงขลานครินทร์ ซึ่งในขณะนั้นมีพระชนมายุเพียง 8 พรรษา ขึ้นเป็นองค์รัชทายาท (Heir Apparent) เพียงแต่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้ทรงทักท้วงเรื่องการสละราชสมบัติไว้ จึงทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเปลี่ยนกลับมาที่พระราชประสงค์เดิมที่จะเสด็จกลับพระนคร

แม้ว่าเราจะได้เห็นต่อไปว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงละทิ้งพระราชดำริที่จะสละราชสมบัติไปโดยสิ้นเชิง  แต่ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว และมีการจัดตั้งคณะผู้ปกครองบริหารประเทศแล้ว สถานการณ์ทั่วไปก็เริ่มดีขึ้น รัฐบาลใหม่ (สภาผู้แทนราษฎรและคณะกรรมการราษฎร)  ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะราษฎร เริ่มงานอย่างจริงจังในเดือนกรกฎาคม 1932  เมื่อถึงช่วงนี้ ก็กล่าวได้ว่า สถานการณ์คืนสู่ภาวะปกติ รายงานของสถานอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ระบุว่า

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยอมรับสถานการณ์ใหม่ ประชาชนอยู่ในความสงบ 

และส่วนราชการต่างๆ โดยทั่วไปก็เห็นชอบกับรัฐบาลใหม่ มีการยกเลิกการควบคุมตรวจสอบหนังสือพิมพ์...มีการแต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ...[และ] รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ได้ให้การต้อนรับผู้แทนการทูตต่างๆ และกล่าวว่าปัญหาความยากลำบากที่ใหญ่ที่สุดได้ผ่านไปแล้วและทุกอย่างจะพัฒนาไปอย่างมั่นคง

อัครราชทูตอังกฤษยืนยันในเรื่องนี้โดยกล่าวว่า แม้จะเคยรายงานว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่ในสถานะที่เปรียบเสมือนนักโทษ (virtual prisoner) แต่เมื่อถึงขณะนี้ ‘….พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่ในสถานะที่ผ่อนคลายมากขึ้น (easier)’  อัครราชทูตอังกฤษอ้างบุคคลระดับสูงในราชสำนัก ซึ่งเป็นผู้ที่ให้ข้อมูลแก่เขาว่า ‘….สมาชิกระดับนำของคณะกรรมการราษฎรเดินทางไปเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระตำหนัก [ที่หัวหิน] 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์เพื่อกราบบังคมทูลหารือ...ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ฝ่ายเป็นไปด้วยดีอย่างที่สุด’  นอกจากนั้น ยังมีพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งรวมทั้งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฏ์ และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ได้เข้าเฝ้ากราบบังคมทูลทุกวันโดยเสรี (แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเองจะเสด็จพระราชดำเนินออกนอกพระราชฐานน้อยมาก และยังไม่ทรงปรารถนาที่จะพบกับชาวต่างชาติก็ตาม)   รายงานของผู้ช่วยทูตพาณิชย์ (commercial attache) ประจำสถานอัครราชทูตสหรัฐ คือ นายบรูกฮาร์ต (Charles R. Brookhart)  ได้ช่วยย้ำการรับรู้และความเข้าใจของตะวันตกเกี่ยวกับสถานการณ์ในสยามขณะนั้น ดังนี้

...อาจกล่าวได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงยอมรับสถานการณ์ทั้งหมดแล้วอย่างเห็นได้ชัด และเต็มพระทัยอย่างยิ่งที่จะทรงอยู่ในราชสมบัติต่อไปบนพื้นฐานใหม่ของรัฐบาลโดยรัฐธรรมนูญ  ตามที่ได้กำหนดเค้าโครงไว้โดยผู้ที่เข้ามามีอำนาจควบคุมอยู่ในขณะนี้ จริงๆ แล้ว เป็นที่เชื่อกันโดยทั่วไปในหลายวงการในกรุงเทพฯ ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพอพระราชหฤทัยอย่างยิ่งเกี่ยวกับแนวทางที่กำหนดขึ้นนี้ และพัฒนาการเท่าที่ผ่านมาก็สอดคล้องอย่างชัดเจนกับพระราชดำริในเรื่องแนวทางในอนาคตที่ดีที่สุดสำหรับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักร วิธีการจริงๆ ซึ่งทำให้ทั้งหมดนี้เป็นความสำเร็จขึ้นมาได้อาจจะไม่เป็นที่สบพระทัยเท่าใดนัก แต่โดยรวมแล้ว เราก็มีแนวโน้มจะเชื่อว่า พระองค์เต็มพระทัยที่จะดำเนินไปบนพื้นฐานของปัจจุบันโดยไม่ทรงต่อต้านขัดขวาง และจะไม่ทรงเห็นด้วยกับขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านเพื่อประโยชน์ของราชวงศ์

ไม่ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงยอมรับและพอพระราชหฤทัย ‘อย่างยิ่ง’ ตามที่นายบรูกฮาร์ต ระบุ (บันทึกของเขาใช้คำว่า ‘entirely happy’)  หรือไม่ก็ตาม  แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ช่วยทูตพาณิชย์สหรัฐได้กล่าวไว้ ที่เราจะเห็นต่อไป คือ พระองค์มิได้ทรงเห็นด้วยที่จะให้มี ‘ขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้าน’ เพื่อพระองค์หรือราชวงศ์อย่างแน่นอน อีกสิ่งหนึ่งที่รายงานฉบับนี้ระบุไว้ว่า จะต้องรอดูต่อไปคือ การปฏิบัติต่อพระบรมวงศานุวงศ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการยึดทรัพย์และการควบคุมจำกัดความเคลื่อนไหวของเจ้านายต่างๆ”

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อนาคตไกล' คลี่ปม 'ลุงชาญ' กรณีการสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่

“อนาคตไกล” คลายปม “ชาญ พวงเพ็ชร”การสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นดุลพินิจของศาล คำชี้ขาดคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ผูกพันองค์กรอื่น

'บิ๊กป้อม' เปิดบ้านป่ารอยต่อ คุย สส.พปชร. ย้ำทำหน้าที่ กมธ.งบ 68 อย่างรอบคอบ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วยแกนนำคนสำคัญ อาทิ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค, นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค

'นิกร' ชี้เดินหน้าดีกว่าล้มกระดาน สว.ชุดใหม่ แนะรอ ส.ส.ร. แก้ไขกติกาให้ดีขึ้น

นายนิกร จำนง ประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่าย อาทิ บุคคลที่มีชื่อเสียงทางด้านการเมือง และผู้สมัครที่ไม่ผ่านการคัดเลือกสว.มีความพยายายามดำเนินการ ให้มีการระงับยับยั้ง

'อนาคตไกล' ชี้ตัวแปรทำ 'ชาญ' ชนะเลือกตั้งนายกอบจ.ปทุมธานี

“อนาคตไกล” ชี้ตัวแปร ทำให้ชาญ ชนะการเลือกตั้ง นายกอบจ.ปทุมธานี แม้ ปปช.ชี้มูลและศาลประทับรับฟ้อง ก็ไม่ขาดคุณสมบัติสมัครนายกอบจ.

เหนื่อยแน่! เพื่อไทย รับต้องปรับยุทธศาสตร์ หลังผลโพลตามหลังก้าวไกล

นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงผลนิด้าโพลเปิดผลโพลในไตรมาส 2 ที่ ปรากฏว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) และ พรรค