สมัยก่อนใครอยากจะรู้ว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคแบบไหนและมีความเป็นมาอย่างไร คงต้องไปค้นตามห้องสมุดของมหาวิทยาลัยเพื่อค้นหาหนังสือและงานวิจัยที่กล่าวถึงพรรคประชาธิปัตย์ แต่สมัยนี้ คงจะเริ่มกันที่วิกิพีเดียในกูเกิลเสียเป็นส่วนใหญ่ และพรรคประชาธิปัตย์ตามข้อมูลในวิกิพีเดีย ก็เริ่มต้นว่า “พรรคประชาธิปัตย์ (ย่อ: ปชป.) เป็นพรรคการเมืองไทยที่เก่าแก่ที่สุด ก่อตั้งขึ้นในฐานะพรรคฝ่ายกษัตริย์นิยม และปัจจุบันเป็นพรรคฝ่ายอนุรักษนิยม” โดยมีเชิงอรรถอ้างอิง 4 รายการ โดยรายการแรกเป็นบทความเรื่อง "Demise of the Democrat Party in Thailand" (มรณกรรมของพรรคประชาธิปัตย์) เป็นข้อเขียนของ Joshua Kurlantzick (โจชัว เคอร์แลนต์ซิค) เป็นบทความความยาวขนาด 45 บรรทัด เผยแพร่ในบล๊อกโพสต์ (blogpost) ทางอินเตอร์เนทวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2556 (December 9, 2013 12:47 pm)
ในบทความนี้ โจชัว เคอร์แลนต์ซิคได้กล่าวว่า “เมื่อชนชั้นกลางและคนชนชั้นแรงงานในชนบทมีพลังมากขึ้น คนประชาธิปัตย์ก็เริ่มเป็นอนุรักษ์นิยมมากขึ้น มีความคิดแบบชนชั้นนำไม่ฟังเสียงประชาชนทั่วไปมากขึ้นและเป็นปฏิปักษ์กับประชาธิปไตยมากขึ้น”
แต่ก่อนที่คนประชาธิปัตย์หรือคนที่เชียร์ประชาธิปัตย์จะด่วนตัดสินว่า คุณเคอร์แลนต์ซิคมีอคติ เป็นพวกทักษิณหรือเป็นพวกเสื้อแดง ขอให้อ่านบทความเรื่อง “Tanks Roll in Thailand” (รัฐประหารในประเทศไทย) ที่เขาเขียนและเผยแพร่ในวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2549 (https://www.washingtonpost.com/archive/opinions/2006/09/24/tanks-roll-in-thailand/d07cd2df-5634-4888-ab63-02b0d3330c1d/) ห้าวันหลังรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งในขณะนั้น คุณเคอร์แลนต์ซิคมีอายุ 30 ปี
ในบทความดังกล่าว คุณเคอร์แลนต์ซิคได้กล่าวว่า
เมื่อผมมาเมืองไทยในช่วงฤดูร้อน พ.ศ. 2547 เรื่องราวของทักษิณ ชินวัตร คือเขาเป็นนายกรัฐมนตรีที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง วิกฤตเศรษฐกิจในเมืองไทยที่เป็นผลจากวิกฤตการเงินเอเชียนในช่วงปลายทศวรรษ 2533 ก็ได้กลับฟื้นคืนมา มีนักลงทุนต่างชาติกลับมาลงทุนในประเทศ ตลาดหุ้นเติบโตและมีการจับจ่ายบริโภคสูงมาก ตามร้านอาหารหรูย่านขุมวิท จะเห็นชนชั้นกลางระดับสูงในชุดเลิศหรูนั่งทานทาปาส (tapas) และดื่มไวน์ราคาแพง
ทักษิณได้เดินทางไปประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างภาคภูมิใจ และโอ้อวดว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค และโฆษณาตัวแบบ ‘ทักษิโณมิกส์’ (Thaksinomics) ให้ประเทศอื่นๆเอาอย่าง
การเมืองก็ดูจะดำเนินไปได้ตามรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นเวลาเกือบสิบห้าปีที่ไม่มีรัฐประหาร ทำให้ประเทศสามารถสร้างประชาธิปไตยที่แข็งขัน โดยในปี พ.ศ. 2540 ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญที่นำไปสู่การปฏิรูปการเมือง และถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ก้าวหน้ามากที่สุดในภูมิภาค
แต่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ก็อยู่ได้ไม่นาน โดยในช่วงต้นปีนี้ (ต้นปี พ.ศ. 2549/ผู้เขียน) ผู้คนนับหมื่นได้มารวมตัวกันบนท้องถนนขับไล่ทักษิณ ระบบการเมืองของไทยได้พังทลายลง การก่อความไม่สงบทางใต้กลายเป็นสงคราม เศรษฐกิจเริ่มดิ่งเหว และสถานการณ์มาถึงจุดวิกฤตเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อเกิดการทำในสิ่งที่ย้อนยุค นั่นคือ ทหารทำรัฐประหาร ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2533
จริงๆแล้ว การเห็นภาพทหารติดอาวุธในชุดพรางเดินลาดตระเวนตามถนนต่างๆในกรุงเทพดูเป็นเรื่องที่น่าตกใจ เพราะภาพแบบนี้น่าจะเหมาะกับพม่าหรือมอริทาเนียมากกว่าจะเป็นภาพที่เห็นในเมืองที่เต็มไปด้วยศูนย์การค้า ที่เต็มไปด้วยของแบรนด์เนมอย่างวิตตองและชาแนล
แต่ความตกต่ำของประเทศที่มีอนาคตอันสดใสนี้ ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างที่เห็น เพราะตั้งแต่ทักษิณได้รับเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2544 เขาได้ทำลายสถาบันประชาธิปไตยต่างๆของไทยลงอย่างช้าๆ และนโยบายเศรษฐกิจต่างๆของเขา แม้ว่าจะประสบความสำเร็จตอนเริ่มต้น แต่เขาก็เอาอนาคตของประเทศมาจำนอง (หรืออีกนัยหนึ่งคือ ใช้เงินอนาคต/ผู้เขียน) ผลที่ตามมาก็คือ เมื่อเขาจำเป็นที่ต้องระดมการสนับสนุนจากผู้ที่มีหัวประชาธิปไตยในสัปดาห์ที่แล้ว (ช่วงเกิดรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549/ผู้เขียน) ก็มีคนเพียงน้อยนิดที่จะอยู่ข้างเขา
ทักษิณเข้าสู่การเมืองในฐานะเจ้าของกิจการโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ เขาได้โฆษณาตัวเองในฐานะที่เป็นผู้นำซีอีโอ ที่ตัดสินใจอย่างรวดเร็วเด็ดขาด ภาพลักษณ์ของคนที่ร่ำรวยที่สุดส่งผลให้เขาเป็นที่นิยม โดยเฉพาะในประเทศที่เคยชินแต่กับการเมืองภายใต้รัฐบาลผสมที่ขับเคลื่อนอะไรได้ช้าและมีแต่ความแตกแยก อีกทั้งเขายังมีนโยบายประชานิยมต่างๆที่จะผันเงินของรัฐไปสู่พื้นที่ในชนบท สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้เขาชนะการเลือกตั้ง ได้เสียงข้างมากในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2544 และ พ.ศ.2548
แต่ทักษิณดูเหมือนจะไม่เคยเข้าใจประชาธิปไตยที่ต้องมีฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุล เขาไม่เคยเข้าใจว่า เขาไม่สามารถจะทำอะไรก็ได้เหมือนการสั่งการในองค์กรธุรกิจของเขา ในทางตอนใต้สุดของประเทศ ที่เป็นถิ่นของชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิม ที่มีความไม่พอใจมายาวนานต่อคนพุธที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ทักษิณสั่งยกเลิกองค์กรที่มีไว้เพื่อรับฟังการร้องเรียนของคนในพื้นที่ และเข้าควบรวมอำนาจเหนือสถานการณ์ในภาคใต้ในแบบที่เกือบจะเบ็ดเสร็จ
ในกรุงเทพ บริษัทของครอบครัวของทักษิณได้ซื้อสถานีโทรทัศน์ที่เสรีที่สุดของประเทศ (ITV ทีวีเสรี/ผู้เขียน) และไล่ผู้สื่อข่าวที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ออก และใช้สำนักงานปราบปรามทุจริตการฟอกเงินของรัฐบาลเข้าข่มขู่ผู้รายงานข่าวอื่นๆ และมีการไล่ข้าราชการที่ตั้งคำถามกับนโยบายของเขาออก รวมทั้งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และผู้นำกองทัพที่มีหัวปฏิรูป และแต่งตั้งคนที่ใกล้ชิดเขาไปลงในตำแหน่งสำคัญๆในองค์กรอิสระต่างๆ ที่จริงๆแล้วควรจะต้องเป็นองค์กรที่มีความเป็นอิสระจากรัฐบาล โดยองค์กรอิสระเหล่านี้ถูกตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 อีกทั้งยังมีการตั้งข้อกล่าวหาปลุกปั่นยุยงต่อคนที่วิจารณ์เขา และเขาได้ทำลายอำนาจศาลอย่างเปิดเผย
ขณะเดียวกัน นโยบายเศรษฐกิจต่างๆของเขาก็มักจะถูกออกแบบมาให้เอื้อประโยชน์แก่อาณาจักรธุรกิจโทรคมนาคมของเขา แม้ว่า แรงจูงใจจากระบบการเงินทักษิโณมิกส์จะนำพาให้เศรษฐกิจก้าวกระโดด แต่ก็ทิ้งให้ประเทศต้องจมอยู่กับหนี้สินมหาศาล และล้มเหลวในการสร้างอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง ที่จะสามารถแข่งขันกับเศรษฐกิจของจีนหรือประเทศอื่นๆในเอเชียได้
ในเดือนมกราคม (พ.ศ. 2549/ผู้เขียน) ครอบครัวของเขาได้ขายหุ้นกิจการโทรคมนาคมให้กับบริษัทสิงคโปร์ในมูลค่า 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐโดยไม่ได้เสียภาษีเลย ในการศึกษาของมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์ในปี พ.ศ. 2546 พบว่า แปดในสิบกลุ่มบริษัทในประเทศไทยมีคนของตนอยู่ในคณะรัฐมนตรีของทักษิณที่มีการเชื่อมต่อกับบริษัทของพวกตน
และยิ่งเขามีอำนาจมากขึ้น เขาก็ยิ่งโจมตีศัตรูของเขามากขึ้น เขาโจมตีองค์กรสื่ออิสระที่ยังคงเหลืออยู่ เขาปฏิเสธที่จะรับฟังเสียงเรียกร้องให้ประนีประนอมในกรณีปัญหาภาคใต้ ที่ความโกรธแค้นได้กลายเป็นความรุนแรงที่ขยายตัวในวงกว้าง กลับกัน เขาอาจจะแอบปล่อยให้หน่วยล่าสังหารปฏิบัติการในทางใต้ เกิดการหายตัวไปของผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน เพียงสองปีที่ผ่านมา ผู้คนในภาคใต้กว่า 1,200 คนเสียชีวิต ด้วยฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ
การปฏิบัติการกวาดล้างของรัฐบาลในภาคใต้ยิ่งทำให้ปัญหาเลวร้ายขึ้น ในตอนค่ำของทุกวัน ในสามจังหวัดภาคใต้ จะรู้สึกเหมือนอิรัคมากกว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของประเทศที่เป็นประชาธิปไตยสมัยใหม่ ตามสี่แยกหลัก จะมีทหารพร้อมปืนกลหนักนั่งอยู่ในกำบังกระสอบทราย และมีทหารที่หยุดรถและตรวจค้นผู้โดยสาร ส่วนในเส้นทางที่ไม่ใช่เส้นทางหลัก ผู้ก่อความไม่สงบก็จะแอบซุ่มยิงตำรวจและวางระเบิดอาคารสถานที่ราชการ
ในที่สุด การกระทำของทักษิณก็เป็นสิ่งที่เกินกว่าจะรับได้ นายทหารและชนชั้นนำทางการเมืองไม่พอใจกับการโกงและการใช้อำนาจโดยไม่ถูกกฎหมาย (corruption) อย่างเห็นๆของทักษิณ พวกเขาได้กล่าวกับผมว่า กองทัพต้องสูญเสียทหารในภาคใต้โดยไม่มีแผนการใด และที่เลวร้ายกว่านั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯที่เป็นที่เคารพของประเทศ ได้ทรงมีพระราชดำรัสอย่างอ้อมๆวิจารณ์ทักษิณในเดือนธันวาคม ปีที่แล้ว แต่เขาก็ไม่ฟัง
ทักษิณควรจะให้ความเคารพต่อองค์พระมหากษัตริย์ ที่ได้รับการยกย่องประดุจเทพของประเทศไทย ด้วยทรงนำพาประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ทางการเมืองมาหลายครั้งในหลายทศวรรษที่ผ่านมาแต่ทักษิณดูเหมือนจะไม่ให้ความสนใจพระมหากษัตริย์ และแม้ว่าคนจนยังคงรักทักษิณอยู่ แต่การประท้วงตามท้องถนนได้ปะทุขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ซึ่งเป็นการประท้วงที่ไม่มีความรุนแรงในการชุมนุมประท้วงครั้งหนึ่ง คนกรุงเทพนับหมื่นรวมตัวกันที่ท้องสนามหลวง สวมเสื้อยืดล้อเลียนทักษิณ เต้นไปตามเพลงที่ต่อต้านทักษิณ ตะโกนข้อความต่างๆ และนั่งทานของกินเล่นกัน
กระนั้น การประท้วงตามท้องถนนอาจจะทำให้กองทัพมีความมั่นใจที่จะเข้าแทรกแซง โดยเฉพาะหลังจากที่ทักษิณชนะการเลือกตั้งอีกครั้งในเดือนเมษายน (การเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 2549/ผู้เขียน) ซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่รัฐประหารที่นำโดย พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกและเป็นพันธมิตรกับทางในวัง คณะรัฐประหารใส่สีที่เป็นสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ และต่อมา พระมหากษัตริย์ทรงรับรองการเปลี่ยนรัฐบาลของพลเอกสนธิ
หลังเกิดรัฐประหาร เห็นได้ชัดว่า พวกเสรีนิยมที่โดดเด่นของประเทศก็ไม่ได้ออกมาตอบโต้การทำรัฐประหารมากเท่าไรนัก แม้ว่าทักษิณจะชนะการเลือกตั้งมาสามครั้ง (พ.ศ. 2544, 2548, 2549/ผู้เขียน) และองค์กรระหว่างประเทศอย่างองค์กรสิทธิมนุษยชน (Human Rights Watch) ต่างประณามการทำรัฐประหารของพลเอกสนธิ อดีตนายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัยก็กล่าวว่า ‘ในฐานะนัการเมือง เราไม่สนับสนุนรัฐประหารแต่...ทักษิณเป็นต้นเหตุของวิกฤต’
ขณะนี้ ประเทศไทยกำลังอยู่ในสถานะที่หมิ่นเหม่สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง รัฐบาลทหารสัญญาว่าจะตั้งพลเรือนให้เป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ และกำหนดให้มีการเลือกตั้งในปีหน้า แต่ขณะเดียวกัน รัฐบาลทหารก็ประกาศกฎอัยการศึกและจับกุมนักเคลื่อนไหวที่พยายามจะประท้วงการทำรัฐประหาร
จากการเอาทักษิณออกไป กองทัพอาจจะได้ผู้นำที่มีแนวโน้มต่อต้านประชาธิปไตย และการทำรัฐประหารก็ได้ฉีกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ลงไปแล้ว ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ถูกคาดหวังว่าจะเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้กองทัพเข้ามีมีบทบาทในการเมือง พลเอกสนธิเองก็เคยกล่าวไว้ปีที่แล้วว่า ‘ ปัญหาการเมืองก็ควรแก้ด้วยนักการเมือง’
และหากมีการเลือกตั้งอีกครั้ง และทักษิณก็น่าจะสามารถชนะการเลือกตั้งอย่างชอบธรรมอีก เพราะเขายังเป็นที่นิยมในหมู่คนยากจน มันก็จะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เกิดความวุ่นวายทางการเมืองที่จะดำเนินต่อเนื่องไป เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างฟิลิปปินส์ ซึ่งมันจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่สุดที่เกิดขึ้นกับประเทศที่มีอนาคตสดใส
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘อภิสิทธิ์’ ปัดข่าวลือซุ่มตั้งพรรคใหม่ ย้ำหาก ‘ปชป.’ ยังเป็นแบบนี้ ไม่มีทางคัมแบ็ก
ขณะนี้ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด ที่ก็ไม่แปลกเพราะขณะนี้หาพรรคการเมืองที่เราคิดว่าเราสนิทใจในการที่จะเป็นสมาชิกพรรคไม่ได้อยู่แล้ว
‘เต้ มงคลกิตติ์‘ ชวนขนลุก! อาจถึงเวลาทหารกลับมาจัดระเบียบใหม่
นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ อดีตสส. พรรคไทยศรีวิไลย์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก
ปชป.เลือดไหลอีก 'หมอบัญญัติ' ลาออกจากสมาชิกพรรคแล้ว
นายแพทย์บัญญัติ เจตนจันทร์ อดีต.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กพร้อมจดหมายลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ มีใจความว่า
ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 (ตอนที่ 39): ‘กรมขุนชัยนาทนเรนทร’ ทรงตกเป็นเหยื่อการเมืองของหลวงพิบูลสงคราม ? ”
รัฐธรรมนูญไทยฉบับที่ 4 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศใช้เมื่อ วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 รัฐธรรมนูญฉบับนี้เกิดจากคณะทหาร
ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 (ตอนที่ 38): ‘กรมขุนชัยนาทนเรนทร’ ทรงตกเป็นเหยื่อการเมืองของหลวงพิบูลสงคราม ? ”
รัฐธรรมนูญไทยฉบับที่ 4 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศใช้เมื่อ วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 รัฐธรรมนูญฉบับนี้เกิดจากคณะทหาร นำโดย พลโท ผิน ชุณหะวัณ และพันเอก กาจ กาจสงคราม และมีนายทหารคนอื่น เช่น
ไทยในสายตาต่างชาติ (ตอนที่ 48: พระราชกฤษฎีกา 1 เมษายน 2476 คือ การทำรัฐประหารเงียบหรือ ?)
ในตอนที่แล้ว ผู้เขียนได้สรุปเหตุการณ์สำคัญต่างๆที่เป็นเงื่อนไขที่นำมาสู่การประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 อันเป็นพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร