รองศาสตราจารย์ สนธิ เตชานันท์ ได้รวบรวมเอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับแผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งนอกจากจะมีพระราชนิพนธ์ พระราชหัตถเลขา พระราชบันทึก บทสัมภาษณ์พระราชทานแล้ว ยังมีเอกสารของบุคคลต่างๆอีกด้วย หนึ่งในเอกสารของบุคคลสำคัญที่มีส่วนในแผนพัฒนาการเมืองดังกล่าวคือ
พระบันทึกของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ทรงมีต่อร่างรัฐธรรมนูญของพระยากัลยาณไมตรี (ฟรานซิส บี. แซร์) ในมาตรา 2 ของร่างรัฐธรรมนูญของพระยากัลยาณไมตรีที่คาดว่าจะปูทางไปสู่การปกครองระบอบ “ประชาธิปไตย” ที่เป็นการริเริ่มของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ กำหนดให้มีตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ขึ้น แต่ไม่ใช่มาจากการเลือกตั้งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่มาจากการแต่งตั้งและถอดถอนโดยพระมหากษัตริย์ และพระยากัลยาณไมตรีได้กราบบังคมทูลเสนอว่า ควรจะแต่งตั้งจากสามัญชนที่มีความรู้ความสามารถ และไม่ควรจะแต่งตั้งจากพระบรมวงศานุวงศ์ (ผู้เขียนได้อธิบายเหตุผลที่พระยากัลยาณไมตรีได้ให้ไว้แล้ว)
กรมพระยาดำรงฯทรงมีพระบันทึกต่อประเด็นการมีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าวไว้เป็นภาษาอังกฤษ ลงวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1926 ดังต่อไปนี้ “ในความเห็นของข้าพเจ้า ข้อเสนอที่สำคัญที่สุด (ในร่างรัฐธรรมนูญของพระยากัลป์ยาณไมตรี/ผู้เขียน) คือ การเปลี่ยนแปลงระบบบริหารราชการแผ่นดินของราชอาณาจักร โดยการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ที่เป็นผู้ที่มีอำนาจในการคัดสรรและถอดถอนรัฐมนตรี และเป็นผู้มีอำนาจแต่ผู้เดียวในการกำหนดนโยบายและกำหนดทิศทางการบริหารราชการแผ่นดิน
โดยต้องได้รับพระราชทานความเห็นชอบจากพระมหากษัตริย์และการตรวจสอบโดยสภาอภิรัฐมนตรี (the Supreme Council of State)
ข้าพเจ้าต้องขอยอมรับข้อจำกัดทั้งในการศึกษาและความรู้ของข้าพเจ้าเกี่ยวกับการบริหารราชการของประเทศต่างๆในยุโรป ตามความเข้าใจของข้าพเจ้า ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งที่ต้องมีในการปกครองระบบรัฐสภา
แต่ในประเทศที่ยังมีระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อย่างเช่น รัสเซีย ตุรกีและเปอร์เซีย ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ดูจะไม่มีประสิทธิภาพมาก หากปราศจากซึ่งพระมหากษัตริย์ที่เข้มแข็ง
อีกทั้งก็ไม่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดความหายนะต่อพระมหากษัตริย์ที่อ่อนแอ แต่ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า ข้าพเจ้าไม่คิดว่าข้าพเจ้าจะมีความสามารถที่จะไปตัดสินเรื่องราวที่เป็นลักษณะเฉพาะของยุโรป
ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงจำจำกัดความเห็นของข้าพเจ้าทั้งหมดต่อสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่าจะกระทบต่อสยามและชาวสยาม
ก่อนอื่น ข้าพเจ้าจะพิจารณาถึงความคิดความเห็นทั่วไปที่น่าจะเกิดขึ้นในสยาม เพราะตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามที่พระยากัลยาณไมตรีเสนอนั้น เป็นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามความเข้าใจของยุโรป
ซึ่งยังไม่เป็นที่เข้าใจรู้จักกันในสยาม และในการกำหนดให้มีตำแหน่งนี้ขึ้นมาถือเป็นของใหม่ที่ย่อมจะก่อให้เกิดการคาดเดาไปต่างๆนานา อาจจะเขียนคำอธิบายตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไว้ในกฎหมาย แต่ประชาชนจะเข้าใจได้แค่ไหน ?
เพราะข้อเท็จจริงคือ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งบุคคลที่ประชาชนไม่ได้ให้ความเคารพนับถือเท่าองค์พระมหากษัตริย์ให้มาปกครองประเทศแทนพระองค์ ประชาชนย่อมจะเกิดคำถามข้อสงสัยว่า ทำไมพระองค์ต้องแต่งตั้งบุคคลอื่นมาปกครองแทนพระองค์ ?
เป็นเพราะพระองค์ไม่ทรงสนพระทัยที่จะปฏิบัติพระราชภารกิจอย่างที่พระมหากษัตริย์ควรทรงปฏิบัติ หรือเป็นเพราะสภาอภิรัฐมนตรีเห็นว่าพระองค์ทรงอ่อนแอเกินกว่าที่จะปกครองแผ่นดิน จึงได้โน้มน้าวให้พระองค์แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ?
ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด พระบารมีและพระเกียรติของพระมหากษัตริย์จะเสียหายในสายตาของประชาชน การมีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอาจจะเป็นเรื่องน่าชื่นชมยินดีสำหรับชาวสยามที่มีหัวแบบตะวันตก แต่คนเหล่านี้มีจำนวนเท่าใดเมื่อเทียบกับประชาชนทั้งหมดในประเทศ ?
กล่าวโดยสรุป ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า การมีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนี้จะสร้างความรู้สึกที่ไม่ดีขึ้นทั่วไปในประเทศ เราต้องไม่ลืมว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั่วไปนี้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในสยาม อย่างที่เห็นได้จากผลที่เกิดขึ้นจากพระราชกรณียกิจอันแรกหลังเสด็จขึ้นครองราชย์ ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯทรงตั้งสภาอภิรัฐมนตรีขึ้น
ข้าพเจ้าจะขอกล่าวถึงการให้กำเนิดองค์กรใหม่ นั่นคือ การตั้งสภาอภิรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นองค์กรที่ให้การวินิจฉัยที่มีคุณภาพ
ข้าพเจ้าเห็นว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับความรู้สึกของชนชั้นปกครองจากการตั้งสภาอภิรัฐมนตรี น่าจะมี 3 ข้อดังนี้
ก. พวกที่ชื่นชมและสมัครใจที่จะสนับสนุนองค์กรใหม่ อาจจะสนับสนุนด้วยมีความเชื่อในหลักการการจัดตั้งสภาอภิรัฐมนตรี หรือสนับสนุนเพียงเพราะความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ แม้ว่าตนจะไม่ได้เชื่อในหลักการดังกล่าว และพวกที่ชื่นชมเพราะคาดหวังว่าจะได้ประโยชน์จากการมีสภาอภิรัฐมนตรี
ข. พวกที่ไม่ได้เห็นด้วยหรือเห็นด้วยและสงวนท่าที อาจจะเป็นเพราะพวกเขาไม่เห็นว่ามีอะไรที่จะเป็นประโยชน์แก่ตัวเอง หรือเป็นพวกฉวยโอกาส ที่รอคอยที่จะหาประโยชน์ให้ตัวเองจากผลอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น
ค. พวกที่ไม่เห็นด้วย เพราะจากความคิดความเชื่อของตน หรือมีความอิจฉาริษยา หรือสูญเสียผลประโยชน์จากการจัดตั้งสภาอภิรัฐมนตรีขึ้น
กรมพระยาดำรงฯได้ทรงอธิบายสาเหตุของการตั้งสภาอภิรัฐมนตรีนี้ว่า
ในพระราชบันทึกของพระองค์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯทรงกล่าวไว้อย่างถูกต้องว่า ในการเสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงต้องรับปัญหาที่เกิดจากรัชกาลก่อน เพราะพระบารมีของสถาบันพระมหากษัตริย์ตกต่ำ ผู้คนขาดเคารพเลื่อมใส (ความขัดแย้งระหว่างพระมหากษัตริย์รัชกาลก่อนกับพระบรมวงศานุวงศ์ และระหว่างพระบรมวงศานุวงศ์เอง/ผู้เขียน)
อีกทั้งการคลังแผ่นดินก็หมิ่นเหม่จะล้มละลาย มีความฉ้อฉลในรัฐบาล และการดูแลประชาชนก็อยู่ในความสับสน การที่พระองค์ทรงตั้งสภาอภิรัฐมนตรีขึ้นทันที ก็เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์
หากพิจารณาองค์ประกอบและภาระหน้าที่ของสภาอภิรัฐมนตรี จะพบว่า มีคณะกรรมการห้าพระองค์ ที่ต่างเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ความสามารถและชื่อเสียงในทางใดทางหนึ่ง
โดยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นประธานการประชุมสภาอภิรัฐมนตรี และทุกมติที่ผ่านสภาฯจะต้องได้รับการโปรดเกล้าฯโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้น
จะไม่มีการกล่าวถึงกรรมการสภาฯ (นั่นคือ มติของสภาฯจะออกมาเป็นพระบรมราชโองการ/ผู้เขียน) นอกจากนี้ กรรมการสภาฯจะต้องไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการของกระทรวงทบวงกรมต่างๆ
กระนั้น สิ่งที่ไม่พึงประสงค์ก็คือ ข้อกล่าวหาว่า สภาฯยึดพระราชอำนาจและพระบารมีของพระมหากษัตริย์
ซึ่งกรมพระยาดำรงฯทรงกล่าวว่า พระองค์ทรงพอพระทัยที่ในพระราชบันทึกของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ พระองค์ได้ทรงชี้ให้เห็นว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวนี้ไม่เป็นความจริงแต่ข้อกล่าวหาให้ร้ายต่อสภาฯเป็นสิ่งที่เพียงพอที่จะทำให้คิดได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อนายกรัฐมนตรีจะเป็น “ผู้มีอำนาจแต่ผู้เดียวในการกำหนดนโยบายและกำหนดทิศทางการบริหารราชการแผ่นดิน โดยต้องได้รับพระราชทานความเห็นชอบจากพระมหากษัตริย์และการตรวจสอบโดยสภาอภิรัฐมนตรี (the Supreme Council of State)” ตามข้อเสนอของพระยากัลยาณไมตรี
จากที่กล่าวไปข้างต้น คือส่วนหนึ่งของพระบันทึกของกรมพระยาดำรงฯที่มีต่อข้อเสนอของพระยากัลยาณไมตรีที่จะให้มีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเกิดขึ้นในสยาม และข้อสังเกตของกรมพระยาดำรงฯในปี ค.ศ. 1926 (พ.ศ. 2469) น่าจะช่วยให้คนจำนวนหนึ่งในปัจจุบันที่คิดจะคืนพระราชอำนาจให้พระมหากษัตริย์และให้พระองค์ทรงตั้งนายกรัฐมนตรีตามที่พระองค์ทรงเห็นว่ามีคุณสมบัติความรู้ความสามารถเหมาะสม (เป็นคนดี ?) ได้คิดให้รอบคอบมากขึ้น
(โปรดติดตาม พระบันทึกของกรมพระยาดำรงฯในตอนต่อไป)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 (ตอนที่ 37): ‘กรมขุนชัยนาทนเรนทร’ ทรงตกเป็นเหยื่อการเมืองของหลวงพิบูลสงคราม ? ”
รัฐธรรมนูญไทยฉบับที่ 4 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศใช้เมื่อ วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 รัฐธรรมนูญฉบับนี้เกิดจากคณะทหาร
ไทยในสายตาต่างชาติ (ตอนที่ 48: พระราชกฤษฎีกา 1 เมษายน 2476 คือ การทำรัฐประหารเงียบหรือ ?)
ในตอนที่แล้ว ผู้เขียนได้สรุปเหตุการณ์สำคัญต่างๆที่เป็นเงื่อนไขที่นำมาสู่การประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476
ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 (ตอนที่ 36): ‘กรมขุนชัยนาทนเรนทร’ ทรงตกเป็นเหยื่อการเมืองของหลวงพิบูลสงคราม ? ”
รัฐธรรมนูญไทยฉบับที่ 4 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศใช้เมื่อ วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490
ไทยในสายตาต่างชาติ (ตอนที่ 47: พระราชกฤษฎีกา 1 เมษายน 2476 คือ การทำรัฐประหารเงียบหรือ ?)
ในตอนที่แล้ว ผู้เขียนได้สรุปเหตุการณ์สำคัญต่างๆที่เป็นเงื่อนไขที่นำมาสู่การประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 อันเป็นพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร ปรับคณะรัฐมนตรีและชะลอการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราชั่วคราว
ไทยในสายตาต่างชาติ (ตอนที่ 46: พระราชกฤษฎีกา 1 เมษายน 2476 คือ การทำรัฐประหารเงียบหรือ ?)
ในตอนที่แล้ว ผู้เขียนได้สรุปเหตุการณ์สำคัญต่างๆที่เป็นเงื่อนไขที่นำมาสู่การประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 อันเป็นพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร ปรับคณะรัฐมนตรีและชะลอการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราชั่วคราว
ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 (ตอนที่ 34): ‘กรมขุนชัยนาทนเรนทร’ ทรงตกเป็นเหยื่อการเมืองของหลวงพิบูลสงคราม
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490