ก่อนเกิดรัฐประหาร ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ได้เกิดปรากฏการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่ดูจะเป็นวิกฤตการเมืองที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นคือ ความตื่นตัวทางการเมืองในระดับสูงมากของประชาชนจำนวนมากที่แตกแยกออกเป็นสองฝ่าย ซึ่งนอกเหนือไปจากความขัดแย้งในประเด็นทางการเมืองในเชิงนโยบายและพฤติกรรมของรัฐบาลและนักการเมืองแล้ว ยังเสริมไปด้วยความแตกต่างขัดแย้งในประเด็นเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย นั่นคือ แบ่งเป็นฝ่ายที่อ้างความจงรักภักดี ส่วนอีกฝ่ายที่ถูกตีตราว่าต้องการลดทอนพระราชอำนาจ
โดยก่อนหน้านี้ ความขัดแย้งทางการเมืองที่นำไปสู่รัฐประหาร จะดำเนินไปเฉพาะในกลุ่มชนชั้นนำทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ผู้นำทหาร-ตำรวจ ข้าราชการ โดยมวลชนมักจะไม่ได้มีส่วนร่วมแต่อย่างใด ทั้งในเชิงการสนับสนุนหรือต่อต้านรัฐบาล หรือในกรณีที่มวลชนมีส่วนร่วมในความขัดแย้งทางการเมืองที่นำไปสู่การทำรัฐประหารก็จะเป็นไปในลักษณะที่มีแต่เฉพาะมวลชนที่ออกมาต่อต้านรัฐบาล
ส่วนในกรณีที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น กล่าวได้ว่า นับตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลง การปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมา ในสังคมไทยยังมีความเห็นที่แตกต่างเกี่ยวกับสถานะและบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญหรือประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และความเห็นต่างนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในหลายปมประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น กบฏบวรเดช รัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๐ รัฐประหาร พ.ศ. ๒๕๐๐ หรือเหตุการณ์ ๖ ตุลาฯ พ.ศ. ๒๕๑๙ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ความเห็นต่างที่ว่านี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากหนึ่งในสาเหตุของวิกฤตการเมืองไทยที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้ข้างต้น นั่นคือ
ปัญหาของระบอบการเมืองการปกครองไทยที่ถูกมองว่า ยังไม่ก้าวข้าม “ช่วงปฏิวัติ/เปลี่ยนแปลงการปกครอง” ถือว่าเป็น “การปฏิวัติที่ยังไม่จบสิ้น” (Unfinished Revolution) หรือเป็น “การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สถาบันทางการเมืองต่างๆ ยังไม่ลงตัว” (Unsettled Changes)
สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ยังเป็นประเด็นของการถูกนำไปอ้างเพื่อความชอบธรรมในการต่อสู้เอาชนะ ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง แต่ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมา สถาบันพระมหากษัตริย์ก็เป็นสถาบันที่มีความชอบธรรมสูงสุดหนึ่งเดียวในสังคมไทยที่สามารถยุติความขัดแย้งและความรุนแรงทางการเมืองได้อย่างน่าอัศจรรย์ด้วย เช่นในกรณี ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และกรณีพฤษภาทมิฬ ๒๕๓๕ ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่สถาบันที่มีความสำคัญสูงสุดเช่นนี้จะเป็นสถาบันฯ ที่สามารถถูกนำไปสร้างความขัดแย้งและความรุนแรงทางการเมืองอย่างน่าสะพรึงกลัวด้วยเช่นกัน ดังในกรณี ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙
นอกจากจะเป็นสถาบันที่มีความชอบธรรมสูงสุดหนึ่งเดียวในสังคมไทยที่สามารถทั้งยุติและถูกนำไปเป็นชนวนแห่งความขัดแย้งและความรุนแรงทางการเมืองแล้ว ขณะเดียวกัน กล่าวได้ว่า ในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๔๗๕-๒๕๐๐ การทำรัฐประหารจะประสบผลสำเร็จหรือล้มเหลวนั้น หาได้มีความเกี่ยวโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ แต่หลังจาก พ.ศ. ๒๕๐๐ สถาบันพระมหากษัตริย์ค่อยๆ เริ่มเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จและความล้มเหลวของการทำรัฐประหาร และมีความชัดเจนเด็ดขาดในเหตุการณ์ความพยายามทำรัฐประหารวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๔ ที่ยืนยันและพิสูจน์ได้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จหรือล้มเหลวของการพยายามทำรัฐประหารในสมัยที่พลเอกเปรมเป็นนายกรัฐมนตรี
จากสถานะบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในเหตุการณ์ทางการเมืองต่างๆ ที่กล่าวมา ทำให้เข้าใจได้ว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ สถาบันฯ จะถูกนำมาอ้างอิงอีกครั้งในการต่อสู้ทางการเมืองของฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเพื่อต่อต้านล้มรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร แต่ในความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้ แม้ว่าจะมีความพยายามกล่าวอ้างถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ กลับไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลได้ดังความต้องการของกลุ่มการเมืองที่กล่าวอ้างมาตรา ๗ ด้วยมีผู้ทรงคุณวุฒิและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองมีความเห็นแตกต่างขัดแย้งกันในการตีความมาตรา ๗ อีกทั้งประชาชนอีกฝ่ายหนึ่งก็ยังยืนหยัดออกมาชุมนุมสนับสนุนรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ แม้ว่าจะมีความพยายามกล่าวถึง พ.ต.ท. ทักษิณในด้านลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ตาม นับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจและแตกต่างไปจากอดีต เพราะนับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๖ เป็นต้นมา หากฝ่ายหนึ่งสามารถกล่าวอ้างสถาบันฯ ให้สังคมเชื่อได้ ฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามก็มักจะหมดความชอบธรรมไปทันที และยากที่ประชาชนจะกล้าออกโรงเห็นต่าง ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ในที่สุด ความในมาตรา ๗ เกี่ยวกับ “นายกฯพระราชทาน” ก็ได้ถูกชี้ขาดโดย พระราชดำรัสในโอกาสที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ประธานศาลปกครองสูงสุด (นายอักขราทร จุฬารัตน) นำตุลาการศาลปกครองสูงสุด เฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับตำแหน่งหน้าที่ ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวลในวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๔๙ ดังได้กล่าวไปแล้วข้างต้น นั่นคือ มาตรา ๗ ไม่ได้เป็นไปตามการตีความของฝ่ายที่เรียกร้อง “นายกฯ พระราชทาน”
ปัญหาในการตีความ “มาตรา ๗” ในกรณีเกี่ยวกับ “พระราชอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี” นั้นน่าจะได้ข้อยุติไปแล้วตามพระราชดำรัส ในวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๔๙ ที่มีนัยที่ชัดเจนแล้วว่า พระมหากษัตริย์จะทรงสามารถแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีได้ก็ต่อเมื่อมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการตามรัฐธรรมนูญซึ่งในวิกฤตการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๙ จะใช้มาตรา ๗ ในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีได้ก็ต่อเมื่อ
๑. พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรลาออก และนำคณะรัฐมนตรีกราบบังคมทูลขอให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งเงื่อนไขนี้เป็นเงื่อนไขที่ปรากฏในคำสัมภาษณ์ของ ปราโมทย์ นาครทรรพ และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรวมถึงความเห็นของสุเทพ เทือกสุบรรณในวิกฤตการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๗ ที่กล่าวว่า “ใช้มาตรา ๗ ตามกฎหมายเพื่อฝ่าวิกฤติการเมืองไทยได้ถือเป็นการต่อสู้ในฐานะผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญ โดยอ้างอิงเหตุการณ์เมื่อปี ๒๕๑๖ ที่มีการโปรดเกล้าฯ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อเทียบเคียงกับสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง หรือปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้”
หรือ
๒. หากการเมืองมีปัญหาวิกฤตรุนแรงจนถึงขนาดไม่มีแม้แต่ผู้จะรับสนองพระบรมราชโองการ และประเทศชาติไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม ผู้เขียนเห็นว่า ตามประเพณีการปกครอง โดยพระราชอำนาจ (Royal Prerogative) ของพระมหากษัตริย์ในฐานะองค์อธิปัตย์ (sovereign) และประมุขของรัฐสามารถมีพระราชวินิจฉัยในการใช้พระราชอำนาจเพื่อให้ประเทศชาติมีรัฐบาลและสามารถบริหารราชการเพื่อความสงบและประโยชน์สุขของประชาชนได้ ซึ่งเงื่อนไขนี้เป็นเงื่อนไขที่ปรากฏในความเห็นของ มีชัย ฤชุพันธุ์ที่สมมุติตัวอย่างว่า “...ยกตัวอย่างเช่น เลขานุการ ศอ.รส เกิดทำระเบิดหลุดมือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี จนรัฐมนตรีตายกันหมด การจะดำเนินการต่อไปอย่างไร เมื่อเกิดเหตุเช่นนั้น ก็จะพบว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติ ก็ต้องไปพึ่งพาบริการของมาตรา ๗ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” และ อาทิตย์ อุไรรัตน์ที่ชี้ว่า “....เหตุสุดวิสัยตามมาตรา ๑๒๗ ที่ไม่สามารถเปิดการประชุมรัฐสภาครั้งแรกได้ และมาตรา ๑๗๑ ซึ่งไม่อาจจัดหาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ จึงจำเป็นที่องค์พระประมุขของประเทศ จะต้องทรงวินิจฉัยเพื่อแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๗ ขึ้นมา เพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมือง”
แต่เงื่อนไขทั้งข้อ ๑ และ ๒ มีปัญหาว่าใครคือผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ? ตามเงื่อนไขทั้งสองข้อนี้ ผู้เขียนจะอ้างอิงตัวแบบของสหราชอาณาจักร ตามที่ Bogdanor นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์กับรัฐธรรมนูญของสหราชอาณาจักรได้กล่าวเกี่ยวกับอิทธิพลและพระราชอำนาจ (prerogative) ขององค์พระมหากษัตริย์ไว้ว่า
“เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า พระราชอำนาจส่วนพระองค์บางอย่างเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นที่สำคัญยิ่งสำหรับการบริหารราชการที่ราบรื่นของรัฐบาลในระบอบรัฐสภา (parliamentary government) ในอังกฤษ พระราชอำนาจส่วนพระองค์ที่สำคัญที่สุด คือ การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และการยินยอมหรือปฏิเสธการยุบสภา โดยในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีใหม่ พระมหากษัตริย์ไม่สามารถผูกพันพระองค์กับนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งพ้นตำแหน่งไป เช่น หากนายกรัฐมนตรีเสียชีวิต นายกรัฐมนตรีผู้นั้นก็จะไม่อยู่ในสถานะที่จะให้คำแนะนำใดๆ ได้ ถ้านายกรัฐมนตรีลาออก เพราะพ่ายแพ้ในคณะรัฐมนตรี หรือในสภาหรือจากผลสำรวจประชามติ ก็ชัดเจนว่า เขาได้สูญเสียอำนาจความชอบธรรมที่จะให้คำแนะนำใดๆ แล้ว และก็ชัดเจนด้วยว่า มันจะเป็นสิ่งที่ผิดประหลาด หาก James Callaghan เมื่อแพ้ในผลสำรวจประชามติในปี ค.ศ. ๑๙๗๙ จะยังเหมาะสมที่จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับคนที่จะมาสืบทอดตำแหน่งเขา เขาอาจจะให้คำตอบที่ประสงค์ร้ายว่า ผู้ที่จะมาสืบทอดแทนเขาน่าจะเป็น Edward Heath ผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมที่ถูกปลดอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา แทนที่จะเป็นผู้นำพรรคที่แท้จริงอย่าง Margaret Thatcher” (Vernon Bogdanor, The Monarchy and the Constitution, Oxford: Clarendon Press, 1995)
Vernon Bogdanor
อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้มาตรา ๗ ตามความเห็นของปราโมทย์และอภิสิทธิ์อย่างโภคิน พลกุล ไม่ได้ไม่เห็นด้วยกับเงื่อนไขที่ว่าพระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีได้ หากนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรลาออกจากตำแหน่ง และนำคณะรัฐมนตรีกราบบังคมทูลขอให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดใหม่ แต่โภคินเห็นว่า ไม่มีเหตุผลอะไรที่ พ.ต.ท. ทักษิณจะต้องลาออกและนำคณะรัฐมนตรีกราบบังคมทูลขอให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดใหม่ เพราะได้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปอยู่แล้วตามครรลองที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ข้อเสนอดังกล่าวที่ให้ พ.ต.ท. ทักษิณลาออกถือว่าไม่เป็นธรรม
แต่สิ่งที่ วิษณุ เครืองาม ตั้งข้อสังเกตก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะในขณะที่มีการเรียกร้องให้ใช้มาตรา ๗ ทั้งในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ทักษิณ ได้ยุบสภาผู้แทนราษฎร และดำรงตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี คำถามคือ นายกรัฐมนตรีรักษาการสามารถจะลาออกได้หรือไม่ ? “...เกิดคำถามตามมาว่าทำได้หรือไม่ได้ เมื่อไปถามคณะกรรมการกฤษฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ สุดท้ายก็เสี่ยงไปหมด เพราะไม่มีใครกล้าตอบได้”
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' ยันไม่ได้พูดเอาหล่อ ภูมิใจไทยค้านกม.สกัดรัฐประหาร ขอไม่โต้ 'ทักษิณ'
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์กรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แซวว่านายอนุทินชิงหล่อกรณีคัดค้านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม
เหลี่ยมจัด! 'หัวเขียง' ขอปรับแก้ 24 จุด กม.สกัดรัฐประหาร ก่อนดันเข้าสภาฯอีกรอบ
นายประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมสส. พรรคถึงเรื่องการเตรียมถอนร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ว่า ตนมีปัญหาสุขภาพมาตั้งแต่ช่วงเดือนเม.ย. ถึงต.ค. 67
วิสุทธิ์พลิ้ว! ปมกฎหมายยึดอำนาจกองทัพ
'วิสุทธิ์' ลั่นพรรคไหนก็ไม่เอาด้วยทั้งนั้น 'รัฐประหาร' ยอมรับ ร่าง กม.'ประยุทธ์' จัดระเบียบกลาโหม หลายคนติงให้ถอนมาปรับปรุง ชี้บางพรรคยังไม่เห็นของ 'เพื่อไทย' เลยไม่สบายใจ แต่ต้องคุยกัน
'ประเสริฐ' มั่นใจ 'เพื่อไทย' ไม่โดนปฏิวัติรอบ 3 ร่างกม.ยังไม่ผ่านที่ประชุมพรรค
'ประเสริฐ' มั่นใจ 'เพื่อไทย' ไม่โดนปฏิวัติรอบ 3 เหตุ สังคมโลกเปลี่ยนไป ชี้ ร่างกฎหมายของ 'ประยุทธ์' ยังไม่ผ่านที่ประชุมพรรค
'ธนกร' ดีดปาก 'ปิยบุตร' เลิกเสี้ยมปม กม.จัดระเบียบกลาโหม
'ธนกร' สวน 'ปิยบุตร' หยุดเสี้ยมปม กม.จัดระเบียบกลาโหม ยัน สส.ฟังเสียงประชาชน ปัดมีใบสั่งจากชนชั้นนำ ย้ำชัด กองทัพเป็นความมั่นคงของชาติทุกมิติ ชี้หากทำผิดก็อยู่ยาก ป้องกันรัฐประหารไม่ได้
'ทั่นเต้น' ประกาศหนุนร่างยึดอำนาจกองทัพแม้ไม่เชื่อสกัดรัฐประหารได้
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก