
การมีพระราชบัญญัติพรรคการเมืองฉบับแรก พ.ศ. 2498 ที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรีที่มีจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีน่าจะเป็นเรื่องดีที่มีการส่งเสริมให้นักการเมืองรวมตัวกันเป็นพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะและเชื่อมโยงกับการมีส่วนร่วมของประชาชนที่มีความเห็นพ้องในอุดมการณ์ของพรรค
แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า พระราชบัญญัติพรรคการเมืองฉบับแรกกลับส่งเสริมให้เกิดการรวมตัวของนักการเมืองเป็นกลุ่มก้อนภายใต้ผู้มีอำนาจทางการเมืองที่เป็นเอกบุคคลหรือคณะบุคคล ทำให้ผู้มีอำนาจหรือคณะบุคคลสามารถควบคุมนักการเมืองต่างๆที่มาเข้าสังกัดได้ง่ายขึ้น โดยเน้นไปที่การตอบแทนผลประโยชน์ส่วนตัวกันมากกว่าจะเป็นเรื่องมีอุดมการณ์ทางการเมืองร่วมกัน
และเมื่อผู้มีอำนาจทางการเมืองมีอันต้องลี้ภัยไปอย่างในกรณีของจอมพล ป. พิบูลสงครามและพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ พรรคเสรีมนังคศิลาก็เสื่อมสลาย นักการเมืองในสังกัดก็แยกย้ายกันไปเข้าพรรคการเมืองอื่นหรือเข้าหาผู้มีอำนาจทางการเมืองอื่น หรืออย่างในช่วงก่อนหน้าการเกิดรัฐประหาร 15 กันยายน พ.ศ. 2500 เกิดวิกฤตการเมืองและการเสื่อมความนิยมต่อพรรคเสรีมนังคศิลา จะพบการแตกตัวออกจากพรรคไปก่อตั้งพรรคใหม่โดยทันที อันได้แก่ การแตกตัวของนักการเมืองกลุ่มหนึ่งที่เคยสังกัดพรรคเสรีมนังคศิลาไปตั้งพรรคใหม่ที่ชื่อว่า พรรคสหภูมิ ที่มีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ผู้มีอำนาจทางการเมืองที่เป็นคู่แข่งกับจอมพล ป. พิบูลสงครามในขณะนั้น และสามารถที่จะพลิกหันกลับมาทำลายพรรคเสรีมนังคศิลาของจอมพล ป. พิบูลสงครามที่พวกตนเคยสังกัดได้ทันที
และหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 เมื่อผลการเลือกตั้งปรากฏออกมาว่า พรรคสหภูมิ ได้รับคะแนนเสียงมาเป็นอันดับหนึ่ง คือ ได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรเป็นจำนวนทั้งสิ้น 45 ที่นั่งในจำนวนที่นั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 160 ที่นั่ง จะเห็นได้ว่า แม้ว่าจะได้คะแนนเสียงมากที่สุด แต่ก็ยังไม่เกินกึ่งหนึ่งไม่เพียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้น จอมพลสฤษดิ์จึง “คิดปรับปรุงพรรคสหภูมิเสียใหม่ โดยรวมเอาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เคยสังกัดพรรคเสรีมนังคศิลาเดิมมาร่วมกับพรรคสหภูมิ แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า ‘พรรคชาติสังคม’ โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค”
การจดทะเบียนจัดตั้งพรรคชาติสังคม ที่เกิดขึ้นจากการยุบรวมเอาสมาชิกพรรคสหภูมิจำนวน 45 คนและสมาชิกพรรคเสรีมนังคศิลาที่ได้รับเลือกตั้งมาเพียง 4 คนหลังจากที่ก่อนหน้านี้ในการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 ที่เป็นการเลือกตั้งสกปรก พรรคเสรีมนังคศิลาได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรถึง 85 ที่นั่ง ขึ้นมาภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 ถือเป็นเรื่องผิดวัตถุประสงค์ของการเลือกตั้งที่ต้องการสะท้อนเจตจำนงและความต้องการเลือกสมาชิกพรรคการเมืองใดที่ตนเห็นชอบ เพราะประชาชนเลือกผู้สมัครพรรคสหภูมิและพรรคเสรีมนังคศิลาที่เป็นพรรคการเมืองที่จดทะเบียนถูกต้องตามพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2498 แต่จู่ๆ หลังการเลือกตั้ง สมาชิกพรรคสหภูมิและพรรคเสรีมนังคศิลายอมยุบพรรคและหันไปเป็นสมาชิกพรรคชาติสังคมที่ประชาชนไม่รู้จักและไม่เคยเกิดขึ้นมาในขณะที่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
หนึ่งในผู้มีส่วนต้องรับผิดชอบต่อความผิดประหลาดนี้ คือ ตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสองพรรค และจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ที่อยู่เบื้องหลังพรรคสหภูมิและอยู่เบื้องหลังการยุบรวมและตั้งพรรคชาติสังคมขึ้นมา
ต่อมาคือ ประชาชนที่เลือกพรรคสหภูมิและพรรคเสรีมนังคศิลาแล้วกลับนิ่งเฉยยอมรับการยุบไปรวมเป็นพรรคการเมืองใหม่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังที่ ขจัดภัย บุรุษพัฒน์ได้ให้ข้อสังเกตไว้ในปี พ.ศ. 2511 ว่า “เป็นที่ทราบกันดีว่า สมาชิกของพรรคชาติสังคมนั้นส่วนใหญ่ หาได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรในนามของพรรคมาก่อนไม่ หากได้รับเลือกตั้งมาในนามของพรรคและนโยบายต่างๆ กัน อาทิ พรรคสหภูมิและพรรคเสรีมนังคศิลา ภายหลังที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาแล้วก็เข้ามาร่วมพรรคกันตามความประสงค์ของผู้มีอำนาจ”
และการยอมยุบพรรคตัวเองเพื่อไปร่วมกับพรรคอื่นหรือพรรคใหม่ของผู้มีอำนาจก็เป็นไปเพื่อ หวังผลประโยชน์ต่างๆ โดยเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรี ดังที่ ขจัดภัย บุรุษพัฒน์ก็ได้กล่าวไว้อีกด้วยว่า แม้มายุบรวมเป็นพรรคเดียวกันแล้ว “แต่ต่างฝ่ายต่างก็ยังคงยึดถือว่าตนเป็นพรรคนั้นพรรคนี้มาก่อน มีการแบ่งแยกกันออกเป็นพวกเป็นเหล่าเช่นในคราวตั้งคณะรัฐมนตรี ก็มีการกำหนดโควตากันว่า ควรเป็นสมาชิกพรรคสหภูมิเท่านั้น อดีตเสรีมนังคศิลาเท่านี้”
และแม้นว่าจะมาร่วมกันเป็นพรรคการเมืองใหม่แล้ว แต่ก็ยังคงดำรงความขัดแย้งที่เคยมีอยู่ด้วย นั่นคือ “การที่สมาชิกพรรคสหภูมิ และอดีตสมาชิกพรรคเสรีมนังคศิลาไม่ค่อยจะลงรอยกันนี้ เนื่องมาจากว่าสมาชิกพรรคสหภูมิมีความไม่พอใจที่รวมเอาอดีตสมาชิกพรรคเสรีมนังคศิลามาร่วมกับพรรคสหภูมิ เพราะตอนที่หาเสียงเลือกตั้ง สมาชิกพรรคสหภูมิได้โจมตีพรรคเสรีมนังคศิลาอย่างรุนแรง เมื่อรวมกันเช่นนี้จะทำให้ราษฎรขาดความเชื่อถือได้”
และเมื่อผลประโยชน์ไม่ลงตัว ก็ทำให้ความขัดแย้งภายในพรรคขยายตัวลุกลามไปโดยเฉพาะเมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ป่วยต้องไปรับการรักษาตัวในต่างประเทศ “ก็ได้เกิดความสับสนอลเวงภายในพรรค ทั้งนี้ เนื่องมาจากการขัดแย้งกันภายในพรรคระหว่างสมาชิกพรรคสหภูมิกับอดีตสมาชิกพรรคเสรีมนังคศิลา” อีกทั้ง “บรรดาลูกพรรคทั้งหลายต่างก็เรียกร้องผลประโยชน์ต่างๆจากรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อดีตสมาชิกพรรคเสรีมนังคศิลา ซึ่งเคยได้รับความสะดวกสบายในเรื่องเงินทองจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม พอมาอยู่ในพรรคชาติสังคมก็ต้องการได้รับความช่วยเหลือในเรื่องเงินทองบ้าง เมื่อทางพรรคไม่อาจสนองความต้องการได้ ก็มีปฏิกิริยาในทำนองไม่พอใจ ถึงกับคิดจะปลีกตัวไปรวมกับพรรคการเมืองใหม่ พรรคประชาราษฎร์”
ดังนั้น จากที่กล่าวมาข้างต้น เราได้ประจักษ์ถึงปรากฎการณ์ทางการเมืองของการย้ายพรรค, ยุบพรรค รวมพรรคที่เกิดขึ้นชัดเจนเป็นครั้งแรกภายใต้พระราชบัญญัติพรรคการเมืองฉบับแรก พ.ศ. 2498 และได้กลายเป็นวงจรอุบาทว์ (vicious cycle) ของการยุบ ย้ายพรรค รวม ตั้งพรรคตามความประสงค์ของผู้มีอำนาจและเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวและกลุ่มก๊วน โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์สาธารณะและเจตจำนงของประชาชนที่ลงคะแนนเสียงให้ตนและพวกตนได้เข้ามามีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ผู้เขียนอยากชวนให้พิจารณาคำกล่าวของ เดชชาติ วงศ์โกมลเชษฐ์ ในปี พ.ศ. 2508 ต่อปรากฎการณ์ของพรรคการเมืองในการเมืองไทยขณะนั้น เดชชาติ ได้กล่าวว่า
“…พรรคการเมืองที่เกิดขึ้นโดยพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2498 มีลักษณะเป็นพรรคการเมืองเพียงไม่กี่พรรค นอกจากนั้นเป็นการรวมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเป็นกำลังที่จะไปต่อรองกับรัฐบาลในการขอผลประโยชน์ทางการเมือง พรรคการเมืองไทยมีสมาชิกจำนวนจำกัด และไม่มีประชาชนเข้าเป็นสมาชิกด้วยตามความหมายของพรรคการเมืองที่แท้จริง ผู้แทนราษฎรซึ่งเข้ามารวมกันเป็นพรรคการเมืองก็ไม่ได้หาเสียงในนามของพรรคใดพรรคหนึ่ง เป็นการหาเสียงส่วนตัวของสมาชิกผู้นั้น และเมื่อได้รับการเลือกตั้งก็มารวมกันเข้าเป็นกลุ่มบุคคล เพื่อจะเจรจาต่อรองผู้มีอำนาจว่า ผลประโยชน์ต่างๆ ในทางการเมืองควรจะแบ่งสันปันส่วนกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนมีความอิดหนาระดาใจเป็นอย่างมาก”
และเมื่อความยุ่งยากภายในพรรคผสมกับปัญหาภายนอกพรรคที่เกิดจากพรรคจนเกิดความสับสนวุ่นวายสร้างความอิดหนาระอาใจให้แก่ประชาชนเป็นอย่างมาก ในที่สุดผู้มีอำนาจทางทหารก็ใช้เป็นข้ออ้างก่อการรัฐประหารล้มรัฐบาลและรัฐธรรมนูญ และมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่โดยการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อหวังจะแก้ไขปัญหาการเมืองที่ผ่านมา และวงจรอุบาทว์ของพรรคการเมืองไทย (vicious cycle) ที่เกิดขึ้นหลังการประกาศใช้พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2498 และปรากฎการณ์ทางการเมืองที่ตามมานี้เองที่เป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่การเกิดวงจรทางการเมืองที่ต่อมาในปี พ.ศ. 2527
ศาสตราจารย์ ดร. ชัยอนันต์ สมุทวณิช ได้บัญญัติศัพท์คำว่า “วงจรอุบาทว์ (vicious cycle)” เพื่ออธิบายลักษณะเด่นของปรากฏการณ์ทางการเมืองไทยที่อยู่ในวังวนของการเลือกตั้ง-ซื้อเสียงทุจริตเลือกตั้ง-ทุจริตคอร์รัปชัน-วิกฤตทางการเมือง-รัฐประหาร-รัฐธรรมนูญใหม่-การเลือกตั้ง
มีข้อสังเกตว่า การทำรัฐประหารสองครั้งหลัง คือ พ.ศ. 2549 และ พ.ศ. 2557 จะยังคงสามารถอธิบายภายใต้ “วงจรอุบาทว์” ที่อาจารย์ชัยอนันต์ได้กล่าวไว้ในปี พ.ศ. 2527 ได้หรือไม่ ?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
โศกนาฏกรรมแผ่นดินไหวสะเทือนภาวะผู้นำ เมื่อนายกฯก็ไม่รู้เหมือนประชาชน!
วันที่ 28 มีนาคม 2568 เวลา 13.20 น. แรงสั่นสะเทือนขนาด 8.2 ริกเตอร์ จากประเทศเมียนมาได้สร้างความเสียหายครั้งใหญ่ให้กับประเทศไทย ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างถึง 57 จังหวัด
จุลพงศ์-พรรคประชาชน เอ็กซ์เรย์ แผลอักเสบ นายกฯ ผิดจริยธรรม-นิติกรรมอำพราง
ถึงแม้ว่า"แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี"จะผ่านศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านไปได้ด้วยคะแนนเสียงโหวตไว้วางใจท่วมท้น 319 เสียง แต่ประเด็นข้อกล่าวของฝ่ายค้านที่ซักฟอกนายกฯกลางสภาฯ
'อิ๊งค์' นั่งรถไฟใต้ดินดูความเรียบร้อยหลังแผ่นดินไหว ข้องใจทำไมถล่มแค่ตึกเดียว!
นายกฯ นั่งรถไฟใต้ดิน ดูความเรียบร้อยขนส่งสาธารณะ หลังเหตุแผ่นดินไหว ขอมั่นใจระบบขนส่งปลอดภัย สงสัยเหมือนชาวเน็ตถล่มแค่ตึกเดียว สั่งกรมโยธาฯตั้ง กก.สอบ ขีดเส้นใน 1 สัปดาห์
‘สันติ-สุริยะใส’ ขยี้นิติกรรมตั๋ว PN ปมอวสาน ‘อุ๊งอิ๊งค์’ I อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร
‘สันติ-สุริยะใส’ ขยี้นิติกรรมตั๋ว PN ปมอวสาน ‘อุ๊งอิ๊งค์’ อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร : วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม 2568
LIVE ภัยพิบัติใหญ่ 68 "8.2" แมกนิจูด!! | ห้องข่าวไทยโพสต์
ห้องข่าวไทยโพสต์ : วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568
โรยเกลือ 'ตั๋ว PN' ไปไกลแค่ไหน? จากชั้น 14 สู่แพทยสภา-เร่งกาสิโน!
ยุทธการ “โรยเกลือ” ที่ฝ่ายค้านเริ่มต้นจะไปได้ไกลแค่ไหน? พรรคประชาชนจะผลักดันเรื่องนี้ถึง ป.ป.ช. หรือศาลรัฐธรรมนูญ หรือจะถูกตัดตอนแค่ในชั้นกรมสรรพากร?