การเมืองเรื่องอัตลักษณ์ (identity politics) เป็นศัพท์วิชาการทางรัฐศาสตร์ที่ใช้อธิบายแนวการศึกษาปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดจากการที่กลุ่มคนรวมตัวกันด้วยปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง เช่น ศาสนา เชื้อชาติ ภูมิหลังทางสังคม หรือชนชั้น หรือปัจจัย เรื่องเพศสภาพ ฯ และออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือการลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยมี เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมตามวาระข้อเรียกร้องต่างๆของตน
การรวมตัวเป็นกลุ่มหรือพรรคการเมืองอัตลักษณ์นี้มักจะมีสาเหตุมาจากประสบการณ์ความอยุติธรรมที่คนในกลุ่มมีร่วมกัน อันนำมาซึ่งการเรียกร้องสิทธิ์เสรีภาพความเสมอภาคและความยุติธรรมทางการเมืองและสังคมที่จะกำหนดวิถีชีวิตหรืออนาคตของตัวเองได้มากกว่าที่เป็นอยู่ นั่นคือ ปฏิเสธสภาพการที่เป็นอยู่เดิมๆที่พวกตนเห็นว่าถูกบังคับให้ต้องทนกับความอยุติธรรมและความเหลื่อมล้ำในสิทธิ์เสรีภาพ
ในจุดเริ่มต้น พรรคแนวอัตลักษณ์ทางการเมืองมักจะมีขนาดเล็ก เพราะประเด็นที่หาเสียงจะเจาะจงไปเฉพาะกลุ่มมีสิทธิ์เลือกตั้ง หากพรรคเริ่มขยายประเด็นหาเสียงออกไป ก็อาจจะเสียฐานกลุ่มอัตลักษณ์ทางการเมืองที่สนับสนุนในตอนเริ่มแรก นั่นคือ เมื่อพรรคหรือกลุ่มการเมืองที่ต่อสู้ให้กับอัตลักษณ์ทางการเมืองแบบใดแบบหนึ่ง เกิดต้องการขยายฐานให้กว้างมากขึ้น ก็อาจจะสูญเสียประชาชนกลุ่มอัตลักษณ์เดิมที่พรรคประกาศตัวเป็นตัวแทนในการต่อสู้ไป เช่น สมมุติว่า มีพรรคการเมืองที่ต่อสู้เพื่ออัตลักษณ์ทางการเมืองในแนวเพศสภาพและเพศวิถีที่มักเรียกกันว่า กลุ่ม LGBTQ+ และได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม LGBTQ+ อย่างเข้มข้นเหนียวแน่น แต่กลุ่ม LGBTQ+ ก็ยังมีปริมาณไม่มากพอที่จะทำให้พรรคมี สส. ในสภาผู้แทนราษฎรมากพอที่ เมื่อพรรคการเมืองดังกล่าวเกิดขยายประเด็นให้ครอบคลุมกว้างกว่าแค่ประเด็นหรือนโยบายเพื่อ LGBTQ+ ก็อาจจะสูญเสียอัตลักษณ์ทางการเมืองของพรรคไป
หรือบางที พรรคบางพรรคอาจะจะไม่ได้เป็นพรรคอัตลักษณ์ทางการเมืองในตอนแรก แต่เริ่มง่อนแง่น ก็หันไปเป็นเล่นอัตลักษณ์ทางการเมือง เช่น สมมุติว่า พรรคที่ไม่ได้เป็นพรรคเพื่อคนภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง แต่หันไปชูการเป็นพรรคคนในภูมิภาค ก็อาจจะได้เสียงเป็นกอบเป็นกำมากขึ้น แต่เมื่อจะขยายไปเป็นตัวแทนภูมิภาคอื่นๆ ก็อาจจะเสียฐานภูมิภาคนั้นๆไป
ที่ผ่านมาในการเมืองไทย ระบบเลือกตั้งที่เอื้อต่อพรรคการเมืองแนวอัตลักษณ์ทางการเมืองที่สุด คือ ระบบเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียวที่เลือกทั้ง สส. เขต/บัญชีรายชื่อ นายกรัฐมนตรีและคะแนนไม่ทิ้งน้ำ เพราะหากพรรคเป็นพรรคเพื่อ LGBTQ+ พรรคก็จะได้เสียงจากบัตรใบเดียวทั้งประเทศ ซึ่งประชาชนที่สนับสนุน LGBTQ+ ในประเทศไทยไม่ได้อาศัยอยู่ในเขตเลือกตั้งใดโดยเฉพาะ แต่จะกระจายอยู่ทั่วประเทศ
ในทางอุดมคติ ระบบเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียวดังกล่าวจะเป็นเงื่อนไขที่เปิดโอกาสให้ผู้สมัครของพรรคอัตลักษณ์ทางการเมืองที่เป็นพรรคที่เกิดใหม่ได้เข้าสภาผู้แทนราษฎร เช่น อาจจะได้พรรคเพื่อคน LGBTQ+, พรรคกรรมกร, พรรคแนวศาสนา, พรรคสิ่งแวดล้อม/พรรคกรีน ฯลฯ ซึ่งหากกลุ่มอัตลักษณ์ทางการเมืองเหล่านี้ แม้มีอยู่แต่ไม่มากนัก เราก็จะได้พรรคอัตลักษณ์ทางการเมืองที่มีขนาดเล็ก-จิ๋วเข้าสภาฯ แต่ถ้าภายใต้ระบบเลือกตั้งอื่น พรรคแนวนี้ที่เกิดใหม่หรือเกิดมานานแล้วก็ยากที่จะได้ไปตัวแทนของกลุ่มอัตลักษณ์ต่างๆเหล่านี้ในสภาฯ
แต่ในทางที่ไม่อุดมคติ เราก็จะได้ผู้สมัครของพรรคเล็กพรรคจิ๋วที่ไม่ได้เป็นตัวแทนกลุ่มอัตลักษณ์ทางการเมืองใดๆเข้าไปในสภาฯ และเกิดการต่อรองในการเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล สาเหตุก็ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากประชาชนเลือกพวกเขาเข้าไปเอง โดยไม่พิจารณาว่า พรรคเหล่านี้ไปเป็นตัวแทนกลุ่มผลประโยชน์หรือกลุ่มอัตลักษณ์ทางการเมืองหรือเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของตัวเองหรือของใคร
แต่ในการเลือกตั้งปีหน้าภายใต้ระบบบัตรสองใบ พรรคที่เรียลไซส์เล็กๆจิ๋วๆที่เคยได้อานิสงส์ ได้ ส.ส. เข้าสภาฯจากระบบบัตรใบเดียว ถ้าไม่ทำใจหยุดเล่นการเมืองชั่วคราว ก็ต้องหาทางเข้าพรรคขนาดกลางหรือขนาดใหญ่ โดยเอาคะแนนไม่ทิ้งน้ำที่พรรคตัวเองเคยได้ไปโชว์ให้พรรคขนาดกลางหรือขนาดใหญ่เห็นว่า น่าจะช่วยเสริมคะแนนในการเลือก ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อได้ และตัวเองก็ต้องได้เป็นผู้สมัครระบบบัญชีรายชื่อด้วย ส่วน ส.ส. เขตนั้น คงลำบากหน่อย
อย่างเช่น ในการเลือกตั้งปี 2562 พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น พรรคโอกาสไทย) ได้คะแนนเสียง 134,532 คะแนน และมี ส.ส. บัญชีรายชื่อเข้าสภาฯจำนวน 2 คน เชื่อว่า คนที่เลือกพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทยจำนวนหนึ่งน่าจะยังจะเลือกคุณดำรงค์ พิเดชต่อไปในการเลือกตั้งปีหน้า เพราะผู้เขียนตั้งสมมุติฐานว่า คนที่เลือกพรรครักษ์ผืนป่าฯในปี 2562 เลือกเพราะคุณดำรงค์ พิเดช และต้องการสนับสนุนนโยบายรักษ์ผืนป่าฯเป็นหลัก แม้ว่าจะเปลี่ยนชื่อพรรคเป็นพรรคโอกาสไทย แต่อีกจำนวนหนึ่งก็น่าจะเปลี่ยนใจ เพราะรักษ์ผืนป่าฯกลายเป็นพรรคโอกาสไทยไปแล้ว
ขณะเดียวกัน ก็ใช่ว่าพรรคขนาดเล็กแต่ไม่จิ๋วจะต้องตกระกำลำบากกับระบบบัตรสองใบไปเสียทั้งหมด เพราะพรรคการเมืองบางพรรคที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นโดยเชื่อมสัมพันธ์กับอัตลักษณ์ของประชาชนในเขตเลือกตั้งอย่างพรรคประชาชาติ ก็จะไม่ต้องมีปัญหาเหมือนกับพรรคแนวรักษ์ผืนป่าฯที่ไม่มีประชาชนในเขตเลือกตั้งใดจะมีอัตลักษณ์รักษ์ผืนป่าฯเป็นส่วนใหญ่ เพราะคนรักษ์ผืนป่าฯน่าจะกระจายไปทั่วประเทศ ถึงทำให้พรรคได้ ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อมา
แม้ในทางการเมืองเรื่องอัตลักษณ์ (politics of identity) พรรคประชาชาติและพรรครักษ์ผืนป่าฯ (โอกาสไทย) ต่างเป็นพรรคการเมืองที่มีอัตลักษณ์ทางการเมืองโดดเด่นชัดเจน แต่พรรคประชาชาติจะได้คะแนนเสียงสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ในเขตเลือกตั้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างเหนียวแน่น ดังที่ในการเลือกตั้งปี 2562 พรรคประชาชาติได้คะแนนเสียง 481,490 จากระบบบัตรใบเดียว ส่งผลให้ผู้สมัครพรรคประชาชาติได้รับการเลือกตั้งนระบบแบ่งเขต 6 ที่นั่ง ซึ่งเป็นเขตเลือกตั้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งหมด และได้รับจัดสรร ส.ส. ในระบบบัญชีรายชื่อ จำนวน 1 ที่นั่ง คือท่านวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรค
ผู้เขียนตั้งสมมุติฐานไว้ว่า ในการเลือกตั้งปีหน้า ถ้าประชาชนในสามจังหวัดภาคใต้ยังเลือกทั้ง ส.ส. เขตและบัญชีรายชื่อในจำนวนเท่าเดิม และไม่มีพรรคการเมืองอื่นสามารถดึงคะแนนไปได้อย่างมีนัยสำคัญ พรรคประชาชาติก็น่าจะยังคงได้เก้าอี้ ส.ส. ไม่น้อยไปกว่าเดิม
และแม้ว่า ดร. ณหทัย ทิวไผ่งาม รองหัวหน้าพรรคประชาชาติจะย้ายไปเป็นกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ด้วยเธอเคยเป็น ส.ส. พรรคไทยรักไทยมาก่อน และเคยดำรงตำแหน่งรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข, โฆษกประจำกระทรวงพาณิชย์
การย้ายพรรคของ ดร. ณหทัย ไม่ส่งผลกระทบต่อคะแนนเสียงของพรรคประชาชาติ แต่การไปเป็นกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ด้วยคุณสมบัติและประสบการณ์ ดร. ณหทัยจะส่งผลในทางบวกต่อคะแนนเสียงของพรรคในการเลือกตั้งปีหน้าแน่นอน และเชื่อว่า เธอน่าจะอยู่ในสิบอันดับแรกของผู้สมัครระบบบัญชีรายชื่อ
หากจะมองในเชิงการเมืองเรื่องอัตลักษณ์ พรรครวมไทยสร้างชาติยังไม่มีอัตลักษณ์นอกจากขายลุงตู่ (รวมไทยสร้างชาติอย่าเพิ่งน้อยใจไป เพราะอีกหลายพรรคก็ยังไม่มีอัตลักษณ์ชัดเจน) อีกทั้งยังไม่เห็นนักการเมืองอย่าง ดร. ณหทัย ทิวไผ่งามที่เป็นนักการเมืองสตรีที่มีคุณสมบัติและประสบการณ์พร้อมที่จะร่วมเป็นกำลังสำคัญให้กับคุณอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร และพรรคขนาดใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ไปอีกพรรค! ราชกิจจาฯ ประกาศสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งเรื่อง พรรคเสมอภาคสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง
ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 (ตอนที่ 39): ‘กรมขุนชัยนาทนเรนทร’ ทรงตกเป็นเหยื่อการเมืองของหลวงพิบูลสงคราม ? ”
รัฐธรรมนูญไทยฉบับที่ 4 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศใช้เมื่อ วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 รัฐธรรมนูญฉบับนี้เกิดจากคณะทหาร
ACT เปิด '10 ทุจริต อบจ.' เสียหาย 377 ล้าน เฉพาะอุบลฯ โกงถึง 42 คดี
ACT เปิดข้อมูล '10 ทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง' อบจ. ตั้งคำถาม 'ป.ป.ช.' ทำไมคดีน้อยแค่หลักสิบ สวนความเชื่อประชาชน งบท้องถิ่นโกงกันอื้อ
ดร.เสรี ถามพรรคการเมืองฝ่าย ‘อนุรักษ์นิยม’ จะรวมกันกี่โมง?
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสารโพสต์เฟซบุ๊กว่า ส้มเลือ
ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 (ตอนที่ 38): ‘กรมขุนชัยนาทนเรนทร’ ทรงตกเป็นเหยื่อการเมืองของหลวงพิบูลสงคราม ? ”
รัฐธรรมนูญไทยฉบับที่ 4 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศใช้เมื่อ วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 รัฐธรรมนูญฉบับนี้เกิดจากคณะทหาร นำโดย พลโท ผิน ชุณหะวัณ และพันเอก กาจ กาจสงคราม และมีนายทหารคนอื่น เช่น
ไทยในสายตาต่างชาติ (ตอนที่ 48: พระราชกฤษฎีกา 1 เมษายน 2476 คือ การทำรัฐประหารเงียบหรือ ?)
ในตอนที่แล้ว ผู้เขียนได้สรุปเหตุการณ์สำคัญต่างๆที่เป็นเงื่อนไขที่นำมาสู่การประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 อันเป็นพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร