สงคราม .. ความขัดแย้ง .. ใจที่ไร้ธรรม!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในโลกแห่งความเห็นแก่ตัว .. ที่จิตใจไร้ความเคารพธรรม .. อะไรๆ ก็จะเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น.. ไม่ว่า สิ่งนั้น เรื่องนั้น จะเป็นอย่างไร!!

หลากหลาย เรื่องราว .. ที่เกิดการคาดผิด

หลากหลาย เรื่องราว .. ที่ไม่เคยคิดนึก

หลากหลาย เรื่องราว .. ที่แม้คิดนึก.. ก็ยากหยั่งถึง

ทั้งนี้ ด้วยทุกอย่างเกิดขึ้น.. จากความเห็นแก่ตัวของคนเราที่เกินค่าสามัญสำนึกของคนทั่วไป... ที่แม้จะเป็น “ปุถุชน” ที่แปลว่า คนบาป.. คนหยาบ คนหนา ก็ยังไม่คิดทำกัน...

ในพุทธศาสนาจึงมีหลักธรรมปฏิบัติ .. ให้อบรมกาย วาจา ด้วยศีล เพื่อไม่ลุกิเลสอย่างหยาบ ด้วยกาย วาจา..

การอบรมจิตให้บริสุทธิ์.. ด้วยสมาธิ (เจริญสติ) จิตเข้าถึงอารมณ์หนึ่ง.. สู่ความเป็นอารมณ์เดียวที่ปราศจากความเกาะเกี่ยวกับกิเลส คือ นิวรณ์ ๕...

เพื่อเป็นหลักธรรมปฏิบัติที่นำไปสู่การพัฒนาชีวิตให้ตั้งอยู่ในฐานความสุจริตยุติธรรม..

พระพุทธศาสนาแสดงหลักธรรมปฏิบัติขั้นพื้นฐานที่เป็นประโยชน์แก่สัตว์โลกแท้จริง ด้วยการประกาศหนทางของการทำกรรมดีและที่ตั้งแห่งการสร้างบุญกุศล ที่เรียกว่า กุศลกรรมบถ ๑๐ และบุญกิริยาวัตถุ ๑๐

หากหมู่ชนดำเนินชีวิตตามหนทางดังกล่าว.. โลกที่วุ่นวายไม่รู้จบ ก็จะสงบลงด้วยคุณธรรมความดี.. ที่แม้โลกจะแปรปรวนเปลี่ยนแปลงตามวิสัย.. แต่ก็คงจะไม่ยากเกินกว่าการดำเนินชีวิต.. เพื่อให้สอดคล้องสมดุลภายใต้ กฎธรรมชาติ .. อันเดียวกัน

จึงไม่แปลก.. เมื่อสังคมมนุษยชาติ.. จะมีแต่ความเร่าร้อนด้วยเพลิงกิเลส.. และมากไปด้วยความทุกข์ทั้งภายในและภายนอก ทั้งนี้เพราะสัตว์โลก.. ไม่ดำเนินชีวิตให้สอดคล้องสมดุลกับวิถีโลก.. ที่ดำเนินไปภายใต้กฎธรรมชาติอันเดียวกันกับทุกชีวิตในโลกใบนี้...

สิ่งที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง ยอกย้อน จนสูญเสียความสมดุล.. ไม่สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของโลก.. ที่เป็นไปตามวิถีธรรมชาติ.. ก็เพราะ ใจที่ไร้ธรรม.. จนเกิดความวิปลาสของจิต..

การคิดนึก.. อย่างขาดหลักธรรม.. จึงเกิดปรากฏ.. แม้ขั้นพื้นฐานใน คุณธรรม ของชาวโลก จึงนำไปสู่ความหายนะของมนุษยชาติในทุกสมัย...

ยามใด ชีวิตของคนเรา.. ขาดศีลธรรมค้ำชู การคิดนึก พูด ทำ.. จะออกไปนอกกรอบ.. เกินกฎเกณฑ์ของธรรม.. อันนำไปสู่มูลเหตุของวิกฤตการณ์นานัปการ.. ที่สะท้อนกลับมาในรูปของสารพัดปัญหา.. ตอบสนองคืนจิตวิปลาส.. ชีวิตวิปริตนั้นๆ...

สะท้อนให้เห็นจริงว่า.. ความผิดเพี้ยนในด้านความเห็น.. อันเกิดมาจากความผิดเพี้ยนของสัญญาที่วิปริตไปจากธรรม.. น่ากลัวยิ่งกว่าภัยทั้งปวง.. ในโลกทุกกาลสมัย...

การก่อเกิด อภิชฌาวิสมโลภะ.. พยาบาท.. มิจฉาทิฏฐิ ในจิตใจของสัตว์โลก จึงปรากฏมากขึ้น.. ในภาวะโลกร้อนแรง จากความขัดแย้งที่ก่อเกิดขึ้นในหมู่สัตว์ทั้งหลาย ที่สูญเสียดุลยภาพในการใช้ชีวิตให้เป็นธรรม.. อันมีมูลเหตุมาจาก วิถีจิต ที่วิปริตรุนแรง.. ด้วยอำนาจอกุศล...

การใช้จิตเรียนรู้ทุกสรรพสิ่ง.. แต่ขาดการรู้เท่าทันในอาการของจิต.. อ่านจิตไม่ออก.. บอกจิตไม่ได้ จึงนำไปสู่การใช้จิตไม่เป็นประโยชน์.. อย่างที่ควรจะเป็น..

จึงไม่แปลกที่สัตว์โลกจะตกเป็นทาสของจิต ที่ดำเนินไปด้วยอำนาจของกิเลส.. อันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่มีสภาพแห่งความเร่าร้อนและเศร้าหมอง...

เมื่อใดจิตประยุกต์ด้วยกิเลส.. จึงย่อมก่อเกิดอวิชชาและภวตัณหา.. ที่จะบงการให้จิตวิถีเป็นไปในอำนาจ...

จิต.. จึงต้องดำเนินไปตามการบงการของกิเลสที่เกี่ยวรัดให้สัตว์โลกเข้าไปข้องยึด.. เพื่อเป็นไปตามอำนาจกิเลสนั้นๆ..

การทำงานของจิต.. จึงส่งต่อ สืบเนื่อง ไม่ขาดสาย แม้จะมีเกิดมีดับ..ในทุกขณะ

ทุกชีวิต.. ทุกจิตวิญญาณ.. แห่งสรรพสัตว์ทั้งหลาย จึงโลดแล่นเต้นร้องไปตามเสียงเพลงแห่งกิเลส ที่กระซิบบอกกล่าวกล่อมเกลาจิต.. ให้หลงอยู่ในเรื่องราวของกิเลสนั้นๆ อย่างไม่รู้เข้าใจใน สาระธรรม

จึงเป็นธรรมดาของจิตที่จะต้องคิดนึกเป็นไปตาม ให้ก่อเกิด ความโลภ ความโกรธ ความหลง

การหลงผิดยึดมั่น ความเป็นตัวตน .. เพื่อตอบสนองความต้องการของกิเลสที่ ไร้ความเป็นตัวตน จึงเกิดขึ้นโดยพิสดาร.. จนยากจะสืบสาวสอบสวนค้นหาความเป็นเหตุเป็นผลโดยธรรมได้...

ทุกชีวิต.. จึงโลดแล่นไปตามอารมณ์.. ความนึกคิดอย่างไร้เหตุผล.. และมากไปด้วยทิฏฐิ.. คือ ความเห็นที่ผิดเพี้ยนไปจากธรรม.. เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต.. ที่สะท้อนคืนกลับมาเป็นความหายนะหรือความทุกข์.. แม้ทุกชีวิตจะไม่ปรารถนา...

สมมติทุกอย่าง.. จึงกลายเป็นเรื่องจริงจังในวิสัยของ มิจฉาทิฏฐิ.. ดังที่กล่าวว่า.. นั่นเรา.. นั่นของเรา.. นั่นตัวตนของเรา.. ที่ตกเป็นผลึกของทิฏฐิ.. และวิปลาสไปจากธรรม.. ดังที่คาดคิดเอาเองว่า...

..เมื่อเห็น ก็หลงว่า.. เราเห็น

..เมื่อรู้ ก็หลงว่า.. เรารู้

..เมื่อเป็น ก็หลงว่า.. เราเป็น...

นี่ของเรา .. นี่ตัวเรา เราคิด .. เรานึก เราเป็นผู้คิด-ผู้นึก.. ความคิดนี้ของเรา.. ความคิดนี้ของเขา.. จึงเกิดเป็นความเชื่อมั่นว่า มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ.. ทั้งที่สัจธรรมของโลก ได้แสดงให้ดู บอกให้รู้ อยู่ทุกขณะว่า.. ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ในโลกนี้!!

วิถีชีวิต..วิถีโลก คือ วิถีจิต ที่ดำเนินไปตามเหตุปัจจัย ส่งสืบต่อก่อรูปไม่ขาดสาย ตราบที่เหตุปัจจัยมีอยู่.. ที่เรียกว่า ภาวะ สันตติ เพื่อให้สัตว์โง่.. หลงเข้าไปยึดถือตามที่เห็น แต่ขาดการรู้ตามความเป็นจริงในการเห็นนั้น.. เพราะไม่รู้จักการพิจารณาโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ)

เพราะความไม่รู้ .. ไม่เข้าใจ ในธรรมชาติของจิต.. กิเลส.. จึงยากจะพูดคุยกันรู้เรื่อง.. แม้จะพูดในเรื่องเดียวกัน.. ด้วย ทัศนะ..หรือ ทิฏฐิ ที่ต่างกัน

จึงเป็นธรรมดา.. เมื่อหมู่ชนในโลกนี้ที่ต่างมีทิฏฐิ.. มีทัศนะที่ต่างกัน จะพูดกันเข้าใจในความเป็นจริงในเรื่องเดียวกัน..

ทิฏฐิ.. อันเนื่องมาจาก ตัณหา .. มานะ จึงเป็นอุปสรรคทาง การทูต.. ที่ไร้ธรรม...

บนโต๊ะเจรจาของอสัตบุรุษ.. จึงไม่เป็นไปเพื่อความเป็นธรรม

ทุกถ้อยคำ.. จึงเป็นเพียง มธุรสวาจา ที่เคลือบแฝงความเห็นแก่ตัว.. เห็นแก่ประโยชน์แห่งตนเหนือสิ่งอื่นใด..

ยามใดผลประโยชน์สบช่องลงตัวกันได้.. ก็ดูเหมือนว่า.. ความยุติธรรมได้เกิดขึ้นแล้วบนโต๊ะเจรจานั้น

แต่ยามใดผลประโยชน์ไม่สบช่องลงตัวกัน ตกลงกันไม่ได้.. ความรู้สึกว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงเกิดขึ้น.. และนำไปสู่ความขัดแย้ง.. การทำลายกัน.. อย่างไร้เหตุผลโดยธรรม...

การขัดแย้งกัน.. การวิวาทกัน.. การใช้อาวุธประหัตประหาร ทำร้ายทำลายกัน.. ไม่เคยเกิดจากความเป็นธรรม และไม่เคยเกิดจากผู้เคารพธรรม.. อย่างแท้จริง...

ในทุกเรื่องราวบนโลกใบนี้.. ที่ก่อเกิดความขัดแย้งแผ่กว้างไปทั่ว.. จึงหนีไม่พ้นมูลเหตุจาก.. ความเห็นแก่ตัวที่ไร้ความเคารพธรรม...

ทั้งๆ ที่ทุกฝ่ายต่างยกวาทกรรม อ้างธรรมเป็นใหญ่เหมือนกันว่า.. เราต้องการความยุติธรรม.. เราต้องการความเป็นธรรม.. เราต้องการความเสมอภาคโดยธรรม.. เราต้องการเสรีภาพและสันติภาพแห่งธรรม...

 “ธรรม” .. จึงเป็นคำนิยมของหมู่มารในสมัยปัจจุบัน.. แต่ไม่นิยมเคารพปฏิบัติ..

เพราะ.. หมู่มาร.. คนพาล.. คนชั่ว.. จะไม่รู้ไม่เข้าใจ.. ในคุณประโยชน์แท้จริงจากธรรม.. ที่สำเร็จด้วยการปฏิบัติ ด้วยใจที่เคารพธรรม.. เพื่อการบรรลุถึงอำนาจแห่งธรรมนั้นๆ...

ดัง.. สภาพรู้ทั้งหลายเกิดจากจิต แต่คนพาลเข้าใจผิด นึกทักว่า จิตเป็นตัวตน จนเกิดความเห็นผิดว่า.. เราเป็นผู้รู้.. เราเป็นผู้เห็น.. ทั้งๆ ที่ในจิตใจ.. ไม่มีตัวเรา.. มีแต่ สภาวะรู้.. ที่เป็นสภาวธรรมเกิดขึ้น ตามเหตุปัจจัย.. ที่เกิดขึ้นแล้วดับไปอย่างรวดเร็ว หาแก่นสาร เจ้าของ ตัวตน มิได้เลย...

มีแต่ จิต กับ อารมณ์ เหล่านั้นที่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป...

ไม่มี ปูติน.. ไม่มี ไบเดน.. ไม่มี สี จิ้นผิง.. !!!

แต่เพราะไม่รู้ความจริงเช่นนี้ จึงหลงผิดว่า มีเรา.. เป็นเรา.. เรามี.. เราเป็น.. จนกระทั่งแม้ตายไปแล้วก็ยังยึดว่า เราตาย...

เพราะ มีเรา.. มีเขา.. นี้เอง ..โลกนี้จึงกดทับให้มีความรู้สึกว่า.. เราแบกโลกไว้ทั้งโลก .. จึงทุกข์หนักหนา...

จริงๆ แล้ว หาก.. เข้าใจธรรม.. รู้จักวางตัวเรา.. ละความเป็นตัวตนออกไป.. โลกทั้งใบก็จะอยู่ใต้ฝ่าเท้าทันที .. ให้รู้สึกเหมือนยืนอยู่เหนือโลก.. เมื่อจิตบรรจบโลกุตรธรรม!!.

เจริญพร

[email protected]

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ความเสื่อม.. ที่ควรเห็น.. ก่อนตาย!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. มีคำกล่าวเป็นสุภาษิต ว่า ความเสื่อมของมนุษย์ ล้วนมีสาเหตุมาจากมนุษย์.. ความเสื่อมของสิ่งใดๆ .. ก็มีสาเหตุมาจากสิ่งนั้นๆ..

รัฐบาลแพทองธาร อยู่ไม่ครบปี บิ๊กป้อม ยังสู้-พปชร.เดินหน้าต่อ

เหลือเวลาอีกเพียง 3 สัปดาห์เศษ ปี 2567 ก็จะผ่านพ้นไปแล้วเพื่อเข้าสู่ปีใหม่ 2568 ซึ่งภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2567 เป็นอย่างไร และปีหน้า 2568 จะมีทิศทางเช่นไร เรื่องนี้มีมุมมองแนววิเคราะห์จาก

คานถล่ม ผู้บริสุทธิ์จบชีวิต 6 ราย กับ สำนึกของนักการเมืองไทย!

เช้าตรู่วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2567 เกิดโศกนาฏกรรมคานเหล็กยักษ์ที่ใช้สำหรับก่อสร้างทางยกระดับถนนพระราม 2 ถล่ม คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวน 6 ราย

ศึกเลือกตั้ง อบจ. 1 ก.พ. 68 Generation War พท.-ปชน. บารมีบ้านใหญ่ ขลังหรือเสื่อม?

การเมืองท้องถิ่นกับการเลือกตั้ง "นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด" (นายก อบจ.) ซึ่งที่ผ่านมามีการเลือกตั้งกันไปหลายจังหวัด ได้รับความสนใจจากแวดวงการเมืองอย่างมาก