เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในวันที่นั่งเขียนต้นฉบับ “ปักธงธรรม” เป็นวันพระใหญ่ ตรงกับวันตรุษจีนที่ ๑ ก.พ.๒๕๖๕ พำนักอยู่ที่วัดป่าพุทธพจน์หริภุญไชย (ธ) ในพระราชูปถัมภ์ฯ จ.ลำพูน
ในช่วงเช้าของวันดังกล่าว.. นอกจากออกไปทำกิจรับบาตรด้านหน้าวัดแล้ว ยังต้องลงอุโบสถ ฟังพระสวดปาติโมกข์ ๒๒๗ สิกขาบท ที่เรียกว่า ศีลปาติโมกข์ของพระ ตามภาษาทั่วไปแบบเข้าใจกัน..
การฟังสวดสิกขาบท ๒๒๗ แทนการฟังสวดปาติโมกข์ ที่ทรงประกาศการแสดงโดยพระพุทธองค์นั้น.. เป็นไปตามพระบรมพุทธานุญาตที่สืบเนื่องมาจากสมัยพุทธกาล โดยการนำพระวินัยหรือศีล ๒๒๗ สิกขาบทมาสวดสาธยาย จึงเรียกปาติโมกข์ศีล ๒๒๗ สิกขาบท.. และพระผู้สวด เรียกสมมติตนว่า ภิกขุปาติโมกข์
เมื่อจบการฟังสวดปาติโมกข์ในยามเช้าก่อนจะรับภัตตาหารตามธรรมเนียมปฏิบัติของวัดป่าฯ ที่นิยมฉันมื้อเดียวตามวินัยพระอรัญวาสี จึงได้ มีการอัญเชิญพระพุทธรูปหิน (แกะจากหิน) ที่ศรัทธาชาวเนปาล ได้ถวายอาตมาครั้งสมัยอธิษฐานอยู่จำพรรษาที่ นิโครธารามมหาวิหาร แห่งพระนครกบิลพัสดุ์ ในสักกชนบท ชมพูทวีป เมื่อพุทธศักราช ๒๕๕๐ อันเป็นแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอนของพระพุทธเจ้าของเรา ที่เรียกว่า.. เขตชาติภูมิ
“นิโครธารามมหาวิหาร” เป็นมหาวิหารหรือวัดแห่งที่สองในพระพุทธศาสนา สมัยพุทธกาลก่อนเข้าสู่พรรษาที่ ๒ ใน ๔๕ พรรษาของพระพุทธองค์ จึงเกิดร่วมสมัยกับ เวฬุวันมหาวิหาร ที่เป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา ณ พระนครราชคฤห์ แคว้นมคธ ชมพูทวีป.. มีอายุห่างกันประมาณ ๒ เดือนตามระยะเวลาที่พระพุทธองค์เสด็จสู่พระนครกบิลพัสดุ์.. เพื่อโปรดพระประยูรวงศาญาติ เหล่าศากยตระกูล โดยมีพระเจ้าสุทโธทนะ พระราชบิดาเป็นองค์ประธาน..
ในการจำพรรษาเมื่อปี ๒๕๕๐ ครั้งนั้น อาตมา.. ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจาก LDT หรือ Lumbini Development Trust หน่วยงานกำกับดูแลพื้นที่โบราณสถานของพระพุทธศาสนาในเนปาล มีสำนักงานตั้งอยู่ที่พื้นที่สังเวชนียสถานที่ประสูติของพระพุทธองค์ ณ อุทยานลุมพินี.. ห่างจากพระนครกบิลพัสดุ์ ที่ปัจจุบันชาวเนปาลเรียกว่า ติเลาราโกต ประมาณ ๓๐ กิโลเมตร โดย ติเลาราโกต หรืออดีตพระนครกบิลพัสดุ์ ห่างจาก เทาลิฮาวา ๓ กิโลเมตร และห่างจาก นิโครธารามมหาวิหาร ในปัจจุบันตั้งอยู่ที่ หมู่บ้านคูดาน ๖ กิโลเมตร (โดยประมาณ)
ความเป็นอยู่ของชาวเนปาลในสมัยนั้นลำบากพอสมควร แต่ด้วยมีพื้นฐานชีวิตที่ดำรงอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้ดี จึงอาศัยการทำการเกษตรกรรม.. กสิกรรม.. โครักขกรรม เป็นต้น ในการเลี้ยงตนเองและครอบครัว.. จึงได้เห็นความเป็นอยู่ที่มีความสุขตามอัตภาพ... แม้จะลำบาก ไม่สะดวกสบายแบบชาวเมืองที่เจริญ แต่ก็มีความสุขสงบ สมกับเป็นชุมชนที่เจริญรุ่งเรืองด้วยธรรมชาติแถบหิมาลัย...
ในวันแรกก่อนจะเข้าสู่การอธิษฐานจำพรรษา.. ยังจำได้ว่า ขณะที่เดินสำรวจพื้นที่ภายในเขตโบราณสถานนิโครธาราม.. ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของประเทศ พบแต่เศษซากปรักหักพังในพื้นที่อันบ่งบอกได้ว่า.. พื้นที่ดังกล่าวเคยรุ่งเรืองทางอารยธรรมทางพุทธศาสนาอย่างแน่นอน.!!
โดยมีซากสถูป.. และวิหารปรากฏอยู่เป็นประจักษ์พยานถึง ๓ แห่ง ที่ทราบว่าได้รับการฟื้นฟูดูแลจากนักโบราณคดีของเนปาล โดยหน่วยงาน LDT ที่มีสำนักงานตั้งอยู่ที่ลุมพินี ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลเนปาล
เมื่อมองออกไปโดยรอบพื้นที่ พบว่ามีบ้านชาวเนปาลที่ประกอบอาชีพการเกษตร.. ฐานะค่อนข้างยากจน..เรียงรายรอบมหาวิหารดังกล่าว ซึ่งมีสภาพไม่แตกต่างไปจากสมัยอยู่จำพรรษาที่ถ้ำบำเพ็ญทุกกรกิริยาของพระพุทธองค์บนภูเขาดงคสิริ ในเขตอุรุเวลาเสนานิคมในอดีต ปัจจุบันอยู่ในเขตปกครองของคยา รัฐพิหาร อินเดีย
ภาพในยามเย็นของวันนั้น ยังจำได้ติดตาตราตรึงจิตมาจนถึงปัจจุบัน.. โดยเฉพาะเมื่อเดินไปถึงมหาวิหารที่เชื่อว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดพระราชบิดาและพระประยูรญาติชาวศากยะตระกูล จึงเกิดความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่งต่อการได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ ให้เข้าอยู่จำพรรษา ณ มหาวิหารอันสำคัญยิ่งของพระพุทธศาสนาดังกล่าวได้ และนับเป็นภิกษุรูปแรกของพระพุทธศาสนา.. ที่เดินทางเข้าไปอยู่จำพรรษาอย่างเป็นทางการ โดยการรับรองของหน่วยงานรัฐบาลเนปาล.. ที่สมัยนั้นนับว่ายากยิ่งต่อการเดินทางเข้าไปอยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าว ที่นอกจากทุรกันดาร ห่างไกลความเจริญแล้ว ยังเต็มไปด้วยภัยอันตรายหลายด้าน โดยเฉพาะจากการทำสงครามกลางเมืองระหว่างกลุ่มประชาชนปฏิวัติที่นิยมลัทธิเหมา เจ๋อตง ที่เรียกกันว่า กลุ่ม เหมาอิสต์ กับรัฐบาลเนปาล ภายใต้การกำกับดูแลของพระราชาธิบดีในขณะนั้น...
จึงไม่แปลกที่จะเป็นข่าวที่แพร่ไปทั่วในเนปาล.. เมื่อพบว่ามีภิกษุชาวต่างชาติเดินทางไปอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวนั้น ดังต่อมาที่ได้มีสถานีโทรทัศน์วิทยุของหน่วยรัฐบาลมาขอบันทึกภาพเสียงเพื่อเผยแพร่ไปทั่วเนปาล.. พอๆ กับสถานีวิทยุเสียงประชาชนของกลุ่มเหมาอิสต์ที่สนใจเข้ามาติดต่อสัมภาษณ์ไปเผยแพร่ทางสถานีวิทยุท้องถิ่นของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเช่นเดียวกัน
ในวันแรกที่ไปถึง หลังจากที่ได้เดินตรวจตราพื้นที่.. เพื่อกำหนดเป็นสถานที่อยู่จำพรรษาในไตรมาสหรือสามเดือนนั้นแล้ว.. จึงได้ระลึกถึงหลวงปู่มั่นสมัยอยู่ป่าว่า.. ท่านได้แกะสลักไม้เป็นพระพุทธรูปไว้กราบไหว้บูชา.. เป็นคติธรรมเพื่อระลึกถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าในทุกเช้า-ค่ำ เมื่อไหว้พระสวดมนต์.. ทำกิจภาวนาอบรมจิต.. ศึกษาพระธรรมคำสั่งสอน..
จึงนึกในใจว่า.. น่าจะนำก้อนอิฐเก่าที่วิหารโบราณในนิโครธารามที่เชื่อกันว่า.. เป็น พุทธวิหาร ไปแกะสลักเป็นพระพุทธรูปไว้กราบไหว้บูชา..
แต่ด้วยระลึกถึงพระวินัยจึงไม่กล้าที่จะหยิบก้อนอิฐเก่าๆ ที่ทิ้งไว้เกลื่อนพื้นดินไป.. ด้วยระลึกได้ว่า.. เป็นสถานที่ของรัฐบาล ด้วยการหยิบฉวยสิ่งของใดๆ แม้จะเป็นเศษซากอิฐปูนก็ไม่ควร เว้นแต่จะมีผู้ถวายด้วยเจตนา.. หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของ/ผู้ดูแล...
จึงเดินทางกลับเข้ากุฏิที่แปลงรูปมาจากบ้านพักของยามที่เฝ้าดูแลสถานที่ดังกล่าว ที่ยังพอมีสภาพเป็นที่พักอาศัยอยู่ได้บ้างและถูกต้องตามพระวินัยที่มีพุทธานุญาตไว้...
หลังจากผ่านค่ำคืนนั้นไป.. จนเข้าสู่รุ่งอรุณของวันใหม่ อาตมาก็ได้ออกบิณฑบาต.. ตามหมู่บ้านในละแวก นิโครธารามมหาวิหาร ที่เรียก บ้านคูดาน (Kudan) ซึ่งตั้งห่างจากชายแดนสาธารณรัฐอินเดียประมาณกว่า ๑๐ กิโลเมตร จึงได้ยินเสียงรถยนต์วิ่งผ่านถนนดินแบบบ้านนอกอยู่บ้าง.. เมื่อสอบถามชาวบ้านว่ารถยนต์เหล่านั้นมาจากไหน.. ก็ได้รับคำตอบว่า.. มาจากชายแดนที่ติดต่อกับตอนเหนือของอินเดีย..
การบิณฑบาตในยามเช้าในวันดังกล่าว.. ที่นิโครธาราม.. ยังจำบรรยากาศได้ดีที่นำมาสู่.. ความสุขใจ.. ด้วยรอยยิ้มและอาการพยักหน้าต้อนรับจากชาวบ้านในท้องถิ่นแทนภัตตาหาร.. ด้วยชาวบ้านยังไม่เข้าใจในกิจของภิกษุในพุทธศาสนา.. เพราะไม่เคยมีพระมาอยู่พักปฏิบัติศาสนกิจ จะมีบ้างที่มาเยี่ยมชมสถานที่พุทธสถาน ซึ่งมาแล้วก็จะรีบเดินทางกลับ ด้วยสมัยนั้นยังเกรงกลัวการรบกวนจากคนในท้องถิ่น.. และอันตรายจากการรบราฆ่าฟันกัน...
ถึงแม้ว่าจะบิณฑบาตได้เล็กน้อย ไม่ค่อยเป็นสาระ แต่ด้วยอำนาจธรรมในพระพุทธศาสนา จึงมิได้ลำบากเสียทีเดียว เพราะยังมีกลุ่มผู้สนับสนุนที่เดินทางมาจากลุมพินี เพื่อนำภัตตาหารมาถวาย.. แม้จะไม่สะดวกมากนัก แต่ก็พอดำรงชีวิตอยู่ได้....
ในเช้าวันแรกของการอยู่จำพรรษา ณ นิโครธาราม จึงมีความสุขกับการได้นั่งพิจารณาภัตตาหารในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าเคยประทับอยู่จำพรรษา แวดล้อมพระสงฆ์สาวก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพระอรหันตสาวกจำนวนหลายพันรูป...
ที่สำคัญยิ่งในวันนั้น ยังจำได้ว่า.. ในขณะที่นั่งพิจารณาภัตตาหารอยู่ด้านหน้าที่พัก ได้เห็นบุรุษชาวเนปาลคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาในนิโครธารามมุ่งมาที่กุฏิ.. โดยมีเด็กผู้ชายเดินตามมาคนหนึ่ง ในมือถือถาดภัตตาหารแบบชาวเนปาล พร้อมกับ.. อีกถาดหนึ่ง.. มีสิ่งสำคัญยิ่งที่อาตมามีความต้องการดำริอยู่ในใจตั้งแต่เมื่อวานเย็น... คือ พระพุทธรูปที่แกะจากหินก้อนหนึ่ง ขนาดพอเหมาะ หน้าตักประมาณ ๓-๔ นิ้ว ที่นำมาถวายอาตมาในเช้านั้น.. ด้วยการพูดภาษาเนปาลีที่อาตมายังฟังไม่รู้เรื่อง.. แต่ทราบโดยเจตนาว่าชายชาวเนปาลผู้นี้ตั้งใจนำมาถวาย และทราบในต่อมาว่า.. ชายผู้นี้ได้แกะพระพุทธรูปจากหิน...
เขาได้เล่าให้ทราบต่อมาว่า.. เมื่อวานขณะที่เขาได้เห็นอาตมาเดินอยู่ในเขตมหาวิหาร.. “เขาได้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า.. จึงเกิดความรู้สึกที่จะแกะสลักพระพุทธรูปหินมาถวาย..” และได้รีบดำเนินการโดยเร็ว.. ในเช้าวันนั้นจึงได้นำมาถวายแก่อาตมา.. ซึ่งต่อมาได้มีความสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่องกับชาวเนปาลในท้องถิ่น.. จนนำไปสู่การมีความศรัทธาเลื่อมใสยิ่งขึ้น.. และเรียกขานอาตมาว่า.. “กูรูจี..” และเป็นกูรูจีของชาวเนปาลในพื้นที่ดังกล่าวแม้ถึงทุกวันนี้..
ดังนั้นในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕.. ตรงกับวันพระใหญ่.. และตรงกับวันตรุษจีน จึงได้อัญเชิญพระพุทธรูปหินดังกล่าว.. ที่มีอายุยาวนานถึงปัจจุบันรวม ๑๕ ปี ขึ้นประดิษฐานตรง หน้าบรรณด้านหลังของอุโบสถวัดป่าพุทธพจน์หริภุญไชย (ธ) ในพระราชูปถัมภ์ฯ จ.ลำพูน เพื่อจะได้เป็นธรรมานุสรณ์.. เป็นธัมมานุสติ.. และเป็นบุญกุศลแก่พวกเขาเหล่านั้น “คณะศรัทธาชาวเนปาล”
พระพุทธรูปเป็นคติธรรม.. เป็นนิมิตธรรมอันมีคุณค่ายิ่ง.. ที่จะนำพาจิตใจไปสู่การระลึกบูชาพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า.. ซึ่งทรงพระมหากรุณาธิคุณอันไม่มีประมาณในการช่วยสงเคราะห์ให้เวไนยสัตว์ทั้งหลาย ได้สดับ.. ได้ศึกษาปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน เพื่อการดับเพลิงกิเลส.. ดับเพลิงทุกข์ให้สิ้นไป.. ด้วยอำนาจแห่งพระสัทธรรม..
“ปักธงธรรม” ฉบับนี้.. จึงเห็นควรนำเรื่องดังกล่าวมาบอกกล่าวให้สาธุชนได้รับทราบ.. จะได้มีส่วนร่วมในบุญกุศลอันสำคัญนี้
..ด้วยในยามสังคมวุ่นวาย.. หมู่ชนแตกแยกเป็นฝักฝ่าย.. บ้านเมืองเร่าร้อนด้วยภัยอันตราย โดยเฉพาะจากไวรัสโควิด-๑๙.. คงไม่มีอะไรที่ควรยิ่งเท่ากับ.. การเผื่อแผ่บุญกุศลสรงรดจิตใจให้ทุกคนได้ สงบเย็นใจ ตื่นรู้ และตั้งมั่น.. อย่างมีสติปัญญาบารมี.. เพื่อผ่านพ้น.. ปลอดภัยจากภัยทั้งปวง!!.
เจริญพร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
การแก้ปัญหาความขัดแย้ง.. ด้วยวิธีการไม่ขัดแย้ง.. อย่างไร!?
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา... พระพุทธเจ้าของเราได้ประทานหลักธรรมเป็นไป.. เพื่อความรัก.. ความระลึกถึงกัน.. ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ชัยชนะ (ไม่เป็นโทษ) .. ในสงครามเพื่อสันติภาพ!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา... มีคำกล่าวว่า.. สันติภาพ.. ไม่ใช่ภาวะที่ได้มาโดยง่าย.. แต่ต้องอาศัยการเตรียมพร้อมอย่าง มีสติและการกระทำอันถูกตรงธรรมอย่างกล้าหาญ..
ไทยก้าวใหม่ โชว์ฟิต ลุยเลือกตั้ง เปิดตัวผู้สมัครส.ส.-โชว์นโยบายรัวๆ
“พรรคไทยก้าวไหม่”หนึ่งในพรรคการเมืองใหม่ที่เข้าสู่สนามการเลือกตั้งปี 2569 ซึ่งมี”ดร.เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์”เป็น หัวหน้าพรรคไทยก้าวใหม่ และมี “คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช อดีตรมช.ศึกษาธิการเป็นประธานที่ปรึกษาพรรคไทยก้าวใหม่”
ร้ายกว่าวิกฤตการณ์ธรรมชาติ ..ภัยมนุษย์ .. ขาดศีลธรรม!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาตั้งมั่นในพระพุทธศาสนา...
เมื่อคน.. สังคม! .. ไร้คุณค่าความเป็นมนุษย์.. ประเทศชาติหายนะ!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธา.. คำว่า “ศรัทธา” ในพระพุทธศาสนา มีความหมายกินลึกลงไปมากกว่าความเชื่อโดยทั่วไป ด้วยต้องมีความรู้ความเข้าใจในคุณค่าของคุณสมบัติสิ่งนั้นๆ
สมดังเป็น .. “วีรกษัตรี มหาราชินี...” ของชาวไทย!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. โครงการร้อยใจไทย สืบสานราชธรรม ทั้งแผ่นดิน น้อมอุทิศถวายพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

