หมอพรทิพย์ -สืบจากศพ ข้อสงสัย-ปมกังขา สองคดีดัง อดีตผกก.โจ้-แตงโม

แนวทาง ผิดหลักการเรื่องความโปร่งใส ตรวจสอบได้ คือไม่มีเหตุอธิบายว่า เสียชีวิตตอนสองทุ่ม แต่ทำไม ให้เข้าตรวจตอนเช้าอีกวัน ยังไม่มีคำอธิบายออกมา...แล้วทำไมไม่แจ้งตำรวจ ถ้าแจ้งแล้วตำรวจไม่มา ก็ว่าไปอย่าง กว่าจะมาก็สิบโมง ก็ดูไม่โปร่งใส ไม่ตรงไปตรงมา        

ปมการเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรืออดีตผู้กำกับโจ้ ผู้ต้องหาใช้ถุงดำคลุมหัวผู้ต้องหาคดียาเสพติดเสียชีวิตในโรงพัก สภ.เมืองนครสวรรค์ ซึ่งอดีตผกก.โจ้ได้ใช้ผ้าขนหนูผูกคอเสียชีวิตในห้องขัง ที่เรือนจำกลางคลองเปรม เมื่อคืนวันที่ 7 มี.ค. ต่อมามีการเปิดเผยผลชันสูตรสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ระบุขาดอากาศหายใจมีแนวโน้มจากการทำร้ายตัวเอง อย่างไรก็ตาม  ญาติยังติดใจส่งศพชันสูตรซ้ำที่ รพ.จุฬาฯที่อยู่ระหว่างรอผล เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของสังคมพอสมควร

รายการ"ไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด"โดยสำราญ รอดเพชร สัมภาษณ์พิเศษ "แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา -อดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์- อดีตอาจารย์แพทย์ประจำ ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ทุกคนรู้จักกันดี เพราะมีชื่อเสียงตั้งแต่สมัยรับราชการในเรื่อง การตรวจพิสูจน์ศพ การตรวจดีเอ็นเอ ที่เข้าไปมีส่วนร่วมในการทำคดีดังๆ มาแล้วมากมาย"ที่มีเนื้อหาหลายช่วงในการสัมภาษณ์ที่น่าสนใจ ดังนี้

"แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์"ให้มุมมองว่า คดีการเสียชีวิตของอดีตผกก.โจ้ เป็นคดีที่สะท้อนให้เห็นการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับเจ้าพนักงาน ซึ่งมันก็อาจจะเป็นการฆ่าตัวตายหรือการถูกทำให้ตายก็ได้

 ในอดีตที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่าไม่สามารถทำให้เกิดความกระจ่างที่ถูกต้องได้ หากย้อนไป กรณีลักษณะดังกล่าว ก่อนหน้านี้ ได้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเมื่อปี 2543 มีการแก้ไขเป็นว่า หากพบการเสียชีวิตแบบผิดธรรมชาติ ต้องให้แพทย์กับตำรวจ (ชันสูตรศพ) และหากเป็นการเสียชีวิตที่เกิดจากเจ้าพนักงาน(ของรัฐ) เป็นผู้กระทำ ให้มีฝ่ายปกครองกับอัยการ และให้มีการทำรายงาน

เพราะก่อนหน้านี้ปี 2543 ไม่ได้มีการบังคับ ปรากฏว่า เคยเกิดคดีที่ตำรวจทะเลาะกับเจ้าหน้าที่ อส.ในผับ ผลผ่านไปหนึ่งปี รายงานเหตุการณ์ยังไม่เสร็จรวมถึง ต้องแจ้งให้ญาติทราบ ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ก็มาถึงคดีผกก.โจ้ เพียงแต่ว่า สิ่งที่เรายังไม่ได้แก้ก็คือ ต้องทำทันทีเมื่อมีการตายเกิดขึ้น ในเคสผกก.โจ้ จะเห็นได้ว่ามันดีเลย์ เพราะที่บอกว่าเสียชีวิต สองทุ่มครึ่ง แต่กว่าที่ฝ่ายต่างๆ จะเข้าไปตรวจ ก็เป็นเวลา 10 นาฬิกา ของวันรุ่งขึ้น การยืดระยะเวลาตรงนี้ผิด เพราะทำให้พยานหลักฐานต่างๆ หายไป

ขณะเดียวกัน จะเห็นได้ว่า กรมราชทัณฑ์ก็รีบแถลง ในลักษณะปกป้องตัวเองมากกว่าที่จะแถลงเพื่อให้เกิดความกระจ่าง เพราะเป็นการแถลงข้อมูลที่ไม่ได้เกี่ยวกับศพ ก็เลยเป็นประเด็น และเคสนี้ ก็มีเรื่องราวตรงที่ แขวนคอได้หรือไม่ ใช่หรือไม่ แขวนตัวเอง เลือดเป็นอะไร มีการผ่าศพครั้งที่หนึ่ง มีการตรวจศพโดยหมออีกที่หนึ่ง และก็มีการผ่าศพครั้งที่สอง สรุปก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

-การที่เสียชีวิตเวลาสองทุ่มแต่ให้เข้าตรวจได้เวลาสิบโมงของวันรุ่งขึ้น ถือว่าผิดขั้นตอนตามกฎหมายหรือไม่?

แนวทาง ผิดหลักการเรื่องความโปร่งใส ตรวจสอบได้ คือไม่มีเหตุอธิบายว่า เสียชีวิตตอนสองทุ่มครึ่ง แต่ทำไม ให้เข้าตรวจตอนเช้าอีกวัน ยังไม่มีคำอธิบายออกมา ที่เขาบอกว่าพบตอนสองทุ่มครึ่งแล้วไปหามีดมา ก็ต้องบอกว่า มากับใคร ที่มาตัด แล้วนำใครมาช่วยชีวิต มีแพทย์มาด้วยหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้บอกเลย และก็ไม่มีเหตุผลว่า แล้วทำไมไม่แจ้งตำรวจ ถ้าแจ้งแล้วตำรวจไม่มา ก็ว่าไปอย่าง กว่าจะมาก็สิบโมง ก็ดูไม่โปร่งใส ไม่ตรงไปตรงมา

ถามว่าทำไมสำคัญ ก็เพราะคือ หากเป็นลักษณะ เราไม่พูดถึงกล้องวงจรปิด หากผกก.เขาถูกทำให้ตายที่อื่น หรือเวลาอื่น แล้วมาทำเป็นจับแขวน คุณทอดเวลานานไป อะไรต่างๆ มันเปลี่ยนหมด มันก็ตอบไม่ได้ การที่ มีหลักนิติวิทยาศาสตร์ว่าต้องทำโดยเร็ว มันจึงสำคัญ

-ตอนนี้ก็ยังเถียงกันไม่จบว่าถูกทำให้ตายหรือว่าผูกคอตาย และผ้าขนหนูก็ยาวแค่หนึ่งเมตร ผูกคอได้ไหม ถามแบบชาวบ้าน?

ถามแบบชาวบ้าน ก็ยังตอบว่าได้ แต่ก็ไม่ได้บอกได้ว่า ถูกคนอื่นทำได้หรือไม่ ก็ได้ เพราะฉะนั้นมันต้องมีใครสักคนที่ ประมวลทุกอย่าง

สรุปคือเคสนี้ หมอนิติเวชคนแรกต้องพูดก่อน ที่ไปจุดที่พบศพ ว่าที่ไปพบศพ ว่าศพอยู่ตรงจุดไหน เห็นรอยอะไรหรือไม่ เห็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะคราบเลือดเห็นไหม คุณหมอคนที่สอง สิ่งที่เขาแถลง เขาขาด เขาไม่ได้พูดว่าเห็นรอยรัดเฉียงขึ้นหรือไม่ เขาไม่ได้พูด เราเลยไม่รู้ว่าเป็นรอยเฉียงขึ้นหรืออยู่ในระดับ หากรอดรัดนั้น เป็นแนวรอยระดับ คุณหมอรู้ได้อย่างไรว่าไม่ได้ถูกรัด เพราะว่าเราดูสภาพที่พบศพ มันเป็นท่านั่งเตี้ยๆ โอกาสที่จะเฉียงขึ้นมีไม่มาก เราก็ต้องรอว่าผลเลือดเป็นอย่างไร เป็นลักษณะของว่าได้ยาหรืออะไรหรือไม่ และสุดท้ายก็คือ ผ้าที่พนักงานกองพิสูจน์หลักฐานเอาไป

-เบื้องต้นกรมราชทัณฑ์แถลงว่า พบผู้ต้องขัง นั่งหลังพิงประตูห้องขัง จึงได้พยายามเรียกแต่ไม่มีเสียงตอบรับ จึงได้เรียกพัศดีเวรและพยาบาลเวร เข้าเปิดห้องขังเพื่อช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่พบว่าผู้ต้องขังใช้ผ้าขนหนูขนาดเล็กผูกคอ กับประตูห้องขัง ปลายนิ้วมือซีดเขียวคล้ำ ไม่จบชีพจรบริเวณหลอดเลือดแดงใหญ่ที่คอ หมายถึงอย่างไร?

เวลาเขาวัดชีพจรก็จะวัดที่ข้อมือกับตรงนี้(หลอดเลือดแดงใหญ่ที่คอ)ก็แค่ว่าจับแล้วไม่มีอะไร แต่จะเห็นได้ว่าเขาไม่พูดเรื่อง รอยรัด และไม่พูดเรื่องสูงเท่าไหร่ ไม่หลุดออกมาเลยเรื่องตำแหน่งที่แขวนจากพื้น แล้วก็ไม่ได้มีหมอพูดว่า เข้าไปที่ห้องขังแล้ว ศพอยู่ในสภาพใด

กระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับเจ้าพนักงาน หมอจะเป็นคนที่สำคัญที่สุด หมอจะต้องคำนึงถึงความยุติธรรม คำนึงถึงคนตาย คำนึงถึงญาติ คำนึงถึงสังคม ไม่ให้ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของตำรวจและหน่วยงานที่จ้างเขา ที่เขารับเงินเดือน แต่เราจะเห็นว่า หมอคนแรกก็ไม่พูด หมอคนที่สองก็พูดไม่ชัดนัก

-หากผกก.โจ้ ผูกคอโดยผ้าขนหนู รอยแผลจะเป็นอย่างไร?

หลักการทั่วไป การแขวนคอ วัตถุที่แขวน จะเฉียงขึ้น แนวจะเฉียง แต่ถ้าถูกรัดคอ วัตถุที่รัดคอ จะอยู่ในแนวระดับ ซึ่งเคสนี้น่าสนใจ เพราะว่ามันแขวนเตี้ยๆ จะเอาอะไรมาเฉียงขึ้น หากว่าไม่เฉียงขึ้น อยู่ในแนวค่อนข้างเป็นแนวระดับ แล้วหมอ จะกล้าที่จะบอกหรือว่า เข้าได้กับการแขวน วันนี้ไม่มีใครพูด ไม่มีรูปถ่ายอะไรออกมาเลย คือเขาไม่ได้พูดว่ามีรอยรัดที่คอเฉียงขึ้นอยู่เหนือกล่องเสียง และปลายอยู่ใต้คาง ไม่ได้พูดเลย แต่พูดว่ามีรอย 1.3

-หากสมมุติว่า ผูกคอตาย คิดว่านอกจากความเครียดแล้ว ยังจะมีแรงผลักดัน สาเหตุอะไรอื่นอีกบ้าง?

ถ้าถามเรื่องแรงผลักดัน ตอบไม่ได้ คนฆ่าตัวตาย จะดูไม่ออก บางคนก็เห็นคุยกันดีๆ ก็เป็นเช่นนั้น เรื่องจิตของคน มันมีอะไรที่กว้างมากที่เขาทนไม่ได้แล้วเขาต้องจบชีวิตตัวเอง

-ข้อพิรุธหรือสิ่งที่ยังคาใจ ในเรื่องนี้อยู่คืออะไร?

ใช้คำว่า ไม่ได้คาใจ แต่เป็นข้อที่เมื่อยังไม่ตอบ คือเราอยากรู้ว่าทำไมคุณหมอ ไม่พูดเรื่องรอยแขวน ซึ่งกำลังมีความสงสัยว่าอยู่ในแนวระดับหรือไม่ เพราะว่าลูกกรง เท่าที่เราดูรูป มันค่อนข้างเตี้ย เมื่อมันค่อนข้างเตี้ย รอยมันจะอยู่ค่อนข้างแนวระดับ แล้วทำไม คุณหมอถึงบอกว่ามันเป็นการแขวนคอเอง คือมันจะต้องใช้คำว่า รอยอยู่ใแนวระดับ หรือบอกไม่ได้หรืออะไรก็ว่าไป

อันที่สอง ที่เราก็ยังติดใจว่า ตกลงคุณหมอบอกอะไรหรือไม่ว่า มันมีสัญญาณ ที่ยืนยันได้ว่า ขณะแขวน ยังมีชีวิตอยู่ เช่นมีลิ้นจุกปากหรือไม่ คือถ้ารอยกด มันกดโดนหลอดลม ลิ้นจะออก หรือถ้ารอยกด มันกดโดนเส้นเลือดดำ ใบหน้าจะเข้ม มีจุดเลือดออก  ทำไมคุณหมอไม่พูด เมื่อไม่พูด มันก็จะเป็นได้ก็คืออาจจะเป็นการแขวนคอ แต่ไปกดโดนเส้นเลือดแดง หรือไปกดโดนปุ่มบนเส้นเลือดแดงตรงนี้อาจไม่เห็นอะไรผิดปกติ และอาจจะถูกจับแขวน เพราะถ้าถูกจับแขวน ก็จะมองไม่เห็นอะไร พอหมอไม่พูด ก็เป็นประเด็นที่สอง

จุดที่สาม ก็คือ เราเห็นการพูดเรื่องรอยเลือด และเรื่องผ้า มันก็ไม่เห็น ก็เลยไม่รู้ว่าตกลงทำได้หรือไม่ได้ พูดง่าย ๆก็คือ "ปม" คือปม มันเป็นอย่างไร ทำไมถึงไม่มีใครพูด โดยเฉพาะกรมราชทัณฑ์ที่อ้างว่า ได้ตัดไปก่อน(ผ้าขนหนู) ปม มันเป็นอย่างไร ก็ยังไม่เคลียร์

ต้องระวังในการสรุปผล ทางนิติวิทยาศาสตร์

-ที่ส่งไปให้จุฬาฯผ่าซ้ำเป็นรอบที่สอง คำตอบอาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่?

ก็ยังไม่ทราบ เพราะจุฬา ยังไม่ได้บอกอะไรออกมา

-ตอนนี้ก็ต้องรออะไร ดีเอ็นเอจากผ้าขนหนู?

ก็กองพิสูจน์หลักฐานฯ แต่เรื่องดีเอ็นเอก็อีก บอกได้เลยว่าตลอดชีวิต การตรวจหากไม่ประสานงานกัน ผ้าที่เขาคลี่ออกมาหรือที่ตัด คุณไปตรวจดีเอ็นเอตรงไหน ตรวจตรงปมหรือไม่ ตรวจตรงไหน

เพราะถ้าผ้าขนหนู เป็นผ้าที่ใช้เช็ดหน้าอยู่เป็นประจำ แล้วหากไปตรวจตรงที่เขาใช้เช็ดหน้า มันก็เป็นดีเอ็นเอเขา หากคนอื่นจับผูก ไปผูกตรงปลาย หรืออีกอย่างหนึ่ง หากถูกจับผูก แต่คนผูกใส่ถุงมือ คุณก็ต้องบอกว่า ตกลงตรวจดีเอ็นเอกี่ตำแหน่ง ตำแหน่งไหนบ้าง คือมันคงอาจจะออกมาว่าเป็นดีเอ็นเอของผู้ตายคนเดียว แต่อย่าไปสรุปนะว่า ไม่ได้ถูกคนอื่น ก็ตอบได้แค่นั้นว่า เป็นของผู้ตายคนเดียว

"เพราะฉะนั้น ต้องระวังในการสรุปผล ทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง เหมือนการสรุปว่า เข้าได้กับแขวนคอ อะไรที่บอกว่าเข้าได้ มันมีรอยเฉียงขึ้นหรือไม่"

-กรมราชทัณฑ์บอกว่า ยินดีให้ดูกล้องวงจรปิด จะให้ดูทั้งหมด คิดว่าจะเป็นคำตอบสักส่วนหนึ่งได้หรือไม่?

ไม่ค่ะ สนใจศพ ไม่่รู้ในห้องมีประตูลับตรงไหนอีกหรือไม่ เราจะไปเชื่อตรงกล้องวงจรปิดอย่างเดียวไม่ได้ เราไม่รู้จริงๆ คือก็ไม่ได้มืดมน แต่ตกลงว่าอยากให้เกิดความกระจ่างหรือไม่

กรมราชทัณฑ์ และรมว.ยุติธรรม หากเชื่อมั่นว่าคนของตัวเองไม่ได้ทำอะไร คือออกมาแถลงแทน ก็ให้ความจริง ให้หลักฐานมันพูด แต่ไปพูดรอบๆ แล้วพูดออกมา ก็ผิดหมดทุกที ก็ยิ่งทำให้น้ำหนักไม่น่าเชื่อถือ ก็ให้หลักฐานพูดเองดีกว่า เพียงแต่ว่าวันนี้ใครจะเป็นคนพูดเรื่องหลักฐาน

-ทางญาติผกก.โจ้ ก็ใช้ช่องทางตามพรบ.ป้องกันการอุ้มหายฯ คิดว่าจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางได้หรือไม่?

ก็เป็นช่องทางได้ แต่ประเด็นคือว่าหากหลักฐานตอนแรก มันไม่ครบถ้วนแล้วจะร้องยังไงได้ ถ้าหลักฐานครบถ้วนชัดเจน เช่น หลายปีก่อน มีเคสวิสามัญฯ ที่แถวแจ้งวัฒนะ ผู้ตายถูกยิงแล้วนำไปผ่าศพ ผู้ตายอยู่อ่างทอง พอผ่าเสร็จญาติไม่เชื่อ ญาติก็นำมาขอให้ชันสูตรตรวจซ้ำเป็นครั้งที่สอง

พอตรวจครั้งที่สอง ก็เจอหลักฐานสำคัญคือกระสุนอยู่ในศพ ที่สำคัญเพราะเขาไม่ได้ตามเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานมาเก็บที่เกิดเหตุ ก็เลยไม่เจอกระสุน และเรายังเจอหลักฐานสำคัญอีกอันก็คือ เวลาตาย คือเศษอาหาร ที่เป็นก๋วยเตี๋ยวที่ยังไม่ย่อย ผู้ตายกินก๋วยเตี๋ยวเพราะที่บ้านเขาขายตอนสี่โมง ดังนั้นเมื่อมีตำรวจมารับตัวตอนสี่โมงครึ่ง ก็แปลว่าตายอยู่ในช่วงไม่เกินนั้น เขาก็ได้หลักฐานคือดีเอ็นเอ หากเป็นกรณีแบบนี้ ใช้พรบ.อุ้มหายฯร้องได้เลย เพราะในการตรวจสอบครั้งที่สอง ข้อเท็จจริงปรากฎหมด แต่เคสนี้ยังไม่รู้เลยว่ามีอะไรบ้าง การไปร้องตามพรบ.ป้องกันการอุ้มหายฯ อาจเอาผิดได้ในเรื่องการซ้อมทรมาน คือดูว่าบาดแผลตามลำตัว มันเก่าหรือใหม่ เพิ่งซ้อมหรือไม่ หากซ้อมจนเป็นเหตุให้เขาเครียด จนฆ่าตัวตาย ก็จะเข้ากับกฎหมายนี้ เพราะตัวกฎหมายให้มีสิทธิ์ในการร้อง เพราะตัวกฎหมาย ทำให้เวลาตำรวจสอบปากคำต้องมีการบันทึกวีดีโอ ซึ่งตอนออกกฎหมายตำรวจก็พยายามสู้บอกว่าไม่มีงบ แต่ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าไม่ได้

 จนสุดท้าย ตำรวจเลยต้องมีการบันทึกวีดีโอ เพื่อป้องกันการซ้อมทรมานตอนซัก(สอบปากคำ)   แต่ก็ไม่ได้บังคับใช้กับหน่วยงานอื่นเคสที่ตายในเรือนจำ แล้วเขาก็ไม่ได้ตายในขณะที่มีการซัก เขาตายขณะที่เข้าไปในห้อง

-แล้วคดีผกก.โจ้ จะเดินไปยังไง?

ก็ไม่ยาก เพราะศพเกิดขณะเสียชีวิตใหม่ๆ และผลการชันสูตรมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ สามารถทำให้ชัดขึ้นได้ โดยสอบถามหมอคนที่หนึ่งกับหมอคนที่สอง ก็จะรู้ และรอสรุปว่าในตัวผู้ตายมีสารอะไรหรือไม่ ก็ตอบได้อยู่แล้ว

แต่ว่าสิ่งที่ต้องเกิด ก็คือการปฏิรูปให้เกิดความโปร่งใส เพราะว่าแนวทางต้นเรื่องของพรบ.ป้องกันการอุ้มหายฯคือ ต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ เคสนี้ยาว คือเสียชีวิตแล้วเว้นช่วงยาว อันนี้กรมราชทัณฑ์ต้องตอบว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วจะแก้ไขอย่างไร มีผู้กระทำความผิดหรือไม่ มันต้องมีความเปลี่ยนแปลง

-หากญาติเขายังไม่เผาศพ ยังเก็บไว้อยู่จะมีประโยชน์หรือไม่?

ก็คงได้อยู่ แต่แนะนำว่า ให้ใส่โลงตู้เย็น ที่บอกเพราะยังไม่รู้ว่าเขาได้คำตอบอะไรบ้างหรือยัง

-ขอบข่ายงานของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์มากน้อยขนาดไหน หากจะเข้าไปดูคดีแบบนี้?

ดั้งเดิมสามารถดำเนินการได้เลย ตอนนั้นยังไม่มีกฎหมาย คือเป็นกฎกระทรวง หากประชาชนเดือดร้อน ก็เดินเข้ามาที่สถาบันฯแล้วก็ยื่นเรื่อง ทางผู้บริหารของสถาบันฯ ก็พิจารณาแล้วดำเนินการเช่น ร้องขอให้ผ่าศพครั้งที่สอง ก็ตั้งกรรมการฯ แล้วก็ผ่า มีอะไรให้ไปตรวจที่เกิดเหตุซ้ำ ศาลส่งมา ก็ส่งคนไป

อย่างไรก็ตาม หลังมีพระราชบัญญัติการให้บริการด้านนิติวิทยาศาสตร์ พ.ศ. 2559 ที่ออกมาในช่วงรัฐบาลรัฐประหาร โดยช่วงตอนปี 2558 ที่มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปรากฏว่า กมธ.กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ของสนช. ที่กมธ.ส่วนใหญ่เป็นตำรวจ ได้แก้แนวทาง คือประชาชนจะเข้ามาร้องขอไม่ได้แล้ว ถ้าจะเข้ามาขอ ต้องให้คณะกรรมการกํากับการให้บริการด้านนิติวิทยาศาสตร์ประชุมพิจารณา ซึ่งกรรมการส่วนใหญ่ก็ตำรวจทั้งนั้น เช่น ผบ.ตร. แล้ว ใครจะยอมให้ทำ

อย่างคดีแตงโม ก็ชัด ไม่ได้มาแบบนี้ คดีแตงโม ก็คือ เหมือนไปขอให้พนักงานสอบสวนส่งเข้ามา ที่ส่งเข้ามาก็จะง่าย นี้คือตัวอย่างว่า ประชาชนจะเดินเข้ามาร้องขอไม่ได้ง่ายแล้ว และพรบ.นี้ก็มีเนื้อหาขัดรธน.ปี 2560  ที่เขียนไว้ชัดเจนว่าให้รัฐ จัดให้มีหน่วยนิติวิทยาศาสตร์ มากกว่าหนึ่งหน่วยที่เป็นอิสระจากกัน แล้วจะเป็นอิสระได้อย่างไร ตั้งตำรวจมาเต็ม

และล่าสุด เมื่อเร็วๆนี้ รมว.ยุติธรรม ก็ตั้งที่ปรึกษา ของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เป็นตำรวจอีกสามคน ทำให้ต่อไปในอนาคต ประชาชนจะเดินเข้ามาอีกไม่ได้ เพราะว่ามีแต่ตำรวจเข้ามาอยู่ทั้งนั้น มันก็ลำบาก เพราะข้าราชการส่วนใหญ่ก็จะไม่กล้าที่จะไม่กล้าทำอะไรตรงไปตรงมา อย่างเราเองไม่สนใจอยู่แล้วเรื่องตำแหน่ง เราสนใจแต่เรื่องเนื้องาน คุณอยากไล่ฉันออก อยากสอบก็สอบไป แต่เราทำงานตรงไปตรงมา

-คดีผกก.โจ้ คิดว่ายังพอเห็นแสงสว่าง ที่อาจจะมีการพลิกผัน หรืออะไรที่จะปรากฏแล้วมีความกระจ่างมากขึ้น?

ถ้าถามตัวเองก็คือ เปอร์เซ็นต์ฆ่าตัวตายก็เยอะอยู่ แต่มันจะพูดไม่ได้ หากเราไม่เห็นทุกอย่างครบ ถึงได้พูดว่า ง่ายมากเลยหากกรมราชทัณฑ์มั่นใจว่า เขาตายเอง ก็ไม่ต้องจัดฉาก ไม่ต้องอะไรทั้งสิ้น ก็ปล่อยหรือแม้แต่ให้หมอพรทิพย์เข้าไป เราก็สามารถที่จะทำให้เกิดความกระจ่างได้

-หากเข้าไปจะทำอะไร เรียงตามลำดับ?

ก็ขอดูข้อมูลทั้งหมด ขอดูรูป วัดระดับขึ้นมา ขอดูภาพ แต่ต้องเอารูปถ่ายมาให้ดู และต้องอธิบายสองทุ่มครึ่งถึงสิบโมงเช้า ทำอะไรไปบ้าง ใครทำอะไรอย่างไร ไม่ยาก หากทำตรงไปตรงมา

ปล.อนึ่งช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สื่อมวลชนรายงานข่าวว่า สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เปิดเผยผลการตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ในคดีของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์-อดีตผู้กำกับโจ้ โดยระบุว่า จากการตรวจสอบผ้าขนหนูที่อดีตผู้กำกับโจ้ใช้ผูกคอตนเอง พบว่า ไม่มีดีเอ็นเอ ของบุคคลอื่นปะปนอยู่บนพื้นผิวสัมผัสของผ้าขนหนู โดยยืนยันว่าผ้าขนหนูดังกล่าวเป็นของใช้ส่วนตัวที่อดีตผู้กำกับโจ้ใช้มาตั้งแต่ถูกคุมขังในแดน 7 และได้นำมาใช้ต่อเนื่องหลังถูกย้ายไปยังแดน 5  นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบรอยหยดเลือดที่ปรากฏบนพื้นห้องขัง ซึ่งผลการตรวจดีเอ็นเอ ยืนยันว่า เป็นเลือดของอดีตผู้กำกับโจ้เอง โดยมีลักษณะบาดแผลคล้ายรอยสัตว์กัด ขณะนี้ ผลการตรวจดีเอ็นเอทั้งหมดได้ถูกส่งต่อให้พนักงานสอบสวน สน.ประชาชื่น เพื่อดำเนินการในขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป


สามปี คดีแตงโม เชื่อเบื้องหลังมีอะไรในกอไผ่

คดีแตงโม..รับรองว่าคดีนี้มีในกอไผ่ เพราะว่าเป็นครั้งแรกและเป็นคดีเดียวที่ประชาชน ออกมาสู้ขนาดนี้ และไม่ได้สู้แบบเจ้าอารมณ์ด้วย..ซึ่งในเชิงกฎหมายที่มีอยู่ดั้งเดิม สิ่งที่มีการอธิบายก็คือ หนึ่ง  ฟ้องใหม่ไม่ได้ เพราะว่าเป็นหลักฐานเดิม ยกเว้นมีหลักฐานใหม่ สอง ดีเอสไอจะทำให้เป็นคดี 157 คือเจ้าหน้าที่ทำงานแบบละเว้น ทำให้ทุกอย่างเชื่อถือไม่ได้ ก็จะทำให้ฟ้องใหม่ได้ แต่ฟ้องใหม่ ก็อย่าไปหวัง ไม่รู้ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ 

จากกรณีที่ขณะนี้  ภาคประชาชนและนักวิชาการบางสำนักออกมาตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีการบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมทางอาญารวมถึงมีบุคคลหรือเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องหรือไม่ กรณีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม นักแสดงสาวชื่อดัง

เรื่องดังกล่าว "แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์-อดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์" ให้ความเห็นว่า ทิศทางที่เกิดขึ้นตอนนี้ ความเห็นส่วนตัว มองว่าดี เพราะเหมือนกับเป็นการใช้พยานหลักฐานบางอย่าง ที่อาจจะเป็นของเก่าแต่ว่าข้อมูลถูกต้อง และพยานหลักฐานนี้ เป็นตัวกำหนด เหมือนกับตรึงว่าจะเกิดอะไรขึ้น

.... ยกตัวอย่างเช่น จีพีเอสโทรศัพท์ ข้อมูลโทรศัพท์ ว่าโทรศัพท์ไปอยู่ตรงไหน จีพีเอสเรือ ก็ตรึง ว่าเลี้ยวไปตรงไหนบ้าง ข้อมูลการโทรศัพท์ก็ตรึง ก็ตรึงว่า เวลานั้นทำอะไรบ้าง แล้วยังมาเจอข้อมูลเรื่องการเปลี่ยนโทรศัพท์ ที่บอกว่าเป็นโทรศัพท์ปลอม ที่ต้องถามว่าแม่เขารับมาจากใคร ถ้าไม่ใช่หน่วยงานตำรวจ ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้รวมถึงพยานต่างๆ ที่ออกมาให้ข้อมูล อาจทำให้เรานำข้อมูลมาประกบได้ อย่างเช่นสิ่งที่เราเองสงสัย ก็จะเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นทิศทางว่าน่าจะดีขึ้น

-รวมถึงการที่ดีเอสไอมีคำสั่งอนุมัติให้ทำการสืบสวนคดีดังกล่าว เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่ากระบวนการดำเนินคดีมีการบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมทางอาญาหรือไม่ และมีบุคคลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวข้องหรือไม่?

แต่โดยส่วนตัว ก็ยังไม่วางใจ ถามว่าทำไม เพราะคนที่พูดเรื่องนี้มาตลอด ใช่หมอพรทิพย์หรือไม่ ตั้งแต่วันแรกจนวันนี้ ดีเอสไอ ยังไม่เคยถามเราเลย และเราไม่ได้พูดแบบคิดเองป่าวๆ ตัวเราเองไม่ได้ต่างจากบิณฑ์ บันลือฤทธิ์ที่ได้เห็น แต่เขายังไม่มีคิวที่จะมารวบรวมข้อมูล จึงยังไม่วางใจ แต่อย่างน้อยก็โอเค ก็ดีกว่าเก่าเพราะเรายังไม่เห็นผล ซึ่งหากเชิญหลังจากนี้ ก็ไม่มีความหมาย เพราะจะเชิญทำไมทีหลัง นึกภาพออกไหมเพราะสิ่งที่มีความน่าเชื่อถือ เราควรเชิญก่อนไหมหรือเชิญทีหลัง พยานบุคคล พยานบอกเล่า ควรเชิญก่อนหรือหลังพยานที่เป็นลักษณะที่ของจริง เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งวางใจ

-คิดว่าข้อพิรุธของคดีแตงโม อะไรที่มันผิดปกติ?

พิรุธตั้งแต่แรกเลยก็คือ พอมีการหายตัวไป มันเห็นได้ชัดว่าคนบนเรือ ใช้อำนาจตำรวจเส้นสาย ทำให้ไม่ได้มีการเก็บหลักฐานทันที เพราะห้าคนบนเรือไม่ได้ถูกตรวจ เรือไม่ได้ถูกเก็บ เอาไปเก็บที่อู่

พิรุธอันที่สอง ก็คือ หลังจากที่เขาหายกันไป แล้วก็มาประชุมตกลงวางแผน แยบยลมากสำหรับคนที่แนะนำ เพราะว่า ให้ออกมารับคนเดียวว่า แตงโมจับเท้าแล้วไปฉี่ ที่เหลือคือไม่รู้เรื่อง มันก็จะง่ายต่อการที่จะให้การโดยไม่มีการให้การที่ขัดกัน คนวางแผนคนนี้เก่ง แล้วถามว่า ข้อนี้ ไม่มีทางเลยที่แตงโมจะตกท้ายเรือเพราะว่า หลังจากนั้นมา เจอศพแล้วเจอแผล คนทำงานด้านนี้มันไม่มีทางโดนใบพัดเรือลำนี้ เพียงแต่เรายังหาหลักทางวิทยาศาสตร์ เหมือนเปเปอร์ไม่ได้

อันนี้คือที่เราเห็นว่าเป็นพิรุธ และการไปปัสสาวะท้ายเรือมันไม่น่าใช่ แต่ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ ปักธง ว่าจะให้เป็นปัสสาวะท้ายเรือ อะไรที่ไม่ใช่ปัดออก ซึ่งปกติแล้ว ควรจะรับฟัง แล้วก็ทำคดีแบบอิสระ แต่คดีนี้มันไม่อิสระ ไม่ฟังเลย

เราจะเห็นได้ว่ามีการกลับไปกลับมา รวมถึงคุณแม่เขาที่ก็กลับไปกลับมาเหมือนกัน ก็เลยกลายเป็นจุดอ่อนอย่างแรง

คดีนี้จุดอ่อนที่มากที่สุดคือคนตายไม่มีตัวแทน พี่ชายก็ไม่กล้าออกมา แฟนก็ไม่กล้า ทะเบียนสมรสไม่สำคัญเท่ากับความผูกพัน แม่ก็ไม่สนใจเลย กลับไปกลับมาตลอดเวลา แต่ก็ยังดีที่ให้ชันสูตรศพครั้งที่สอง ซึ่งตอนนั้นสำนวนยังไม่สรุป เห็นได้ชัดว่าตำรวจไม่พยายามที่จะเปิดรับฟัง เพราะก็คือ ธง ก็มีอัยการที่สนใจ แล้วไปแนะนำ จนทำให้เขายอมมาสอบปากคำ หมอพรทิพย์ แต่ไม่สอบประเด็นนี้

พอไม่สอบประเด็นนี้ อัยการผู้ใหญ่ก็เลยแนะนำว่า ให้หมอเขียนเป็นรายงานในฐานะที่เราถูกซักเป็นพยานแล้ว เราก็เขียนรายงานแบบวิชาการว่าในความเห็นของเรา ในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญและประจักษ์พยานที่เห็นบาดแผลต้นขาด้านหลัง มันไม่เข้ากับการสรุปว่าเป็นการตกท้ายเรือ แต่ก็ไม่เอาไปเข้าสำนวนอีก ที่ไม่เข้าเพราะว่าเกือบปลายคดีแล้วที่อ้างเป็นพยาน แต่ไม่ใช่ฝ่ายโจทก์อ้าง กลายเป็นจำเลย ขอเราไปเป็นพยานเพื่อจะทำลายน้ำหนัก อัยการไม่ได้มาถามเอกสารนี้เลย เอกสารไม่ได้อยู่ในสำนวน ก็เลยเป็นเอกสารที่ได้นำเสนอศาล ก็เห็นสิ่งที่เป็นปัญหาในกระบวนการยุติธรรมชัด คือหมอพรทิพย์เป็นพยานฝ่ายโจทก์ แต่จำเลย เป็นคนขอมาซัก แล้วจำเลย ไม่รู้ว่าเรามีเอกสาร ก็คุยจนกระทั่ง ศาลนำไปเป็นเอกสารในสำนวน

ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องรอผลตัดสิน แล้วคดีนี้จะเป็นตัวสะท้อนว่า การใช้ดุลยพินิจมันเลือกได้ ว่าเราจะเอาอย่างไร เพราะเท่าที่ฟังวันนั้นในศาล ที่เขาคุยกันก็คือ เขาฟ้องว่าประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นตาย แล้วยังมีการพูดตอนท้าย ว่าเดี๋ยวก็ประมาทร่วม อะไรประมาณนี้ ที่พอเราเห็นเราก็รู้สึกว่า ก็เหมือนอดีตที่ผ่านมา เพราะว่าคนชงคนแรก คือพนักงานสอบสวน จะชงอย่างไรก็ได้ แล้วถ้าชงแบบ ปิดไม่ให้อัยการได้เห็น ศาลไม่เห็น ศาลก็เห็นแค่นี้

คดีแตงโมนี้จึงน่าสนใจ เราสู้กันไปว่าไม่ได้ไปฉี่ท้ายเรือ ไม่ได้โดนใบพัดท้ายเรือ แต่เอาเข้ามาไม่ได้เลย เพราะว่าในขั้นตอนโจทก์ แม่ ไม่ได้สนใจและไม่ได้มีทนาย คือทนายแม่ก็แปลก เหมือนทนายแม่ไปอยู่ข้างจำเลย ข้อหาที่เขาตั้งเลยเบามาก คือประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต

-คดีแตงโม หากไม่มีอะไรในกอไผ่ ?

ไม่ ไม่ รับรองว่าคดีนี้มีในกอไผ่ เพราะว่าเป็นครั้งแรกและเป็นคดีเดียวที่ประชาชน ออกมาสู้ขนาดนี้ และไม่ได้สู้แบบเจ้าอารมณ์ด้วย สู้แบบ สไตล์ ดร.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ก็ลองดูคำตัดสิน และลองดูดีเอสไอ ที่เป็นความหวังว่าจะทำอะไรให้เกิดขึ้น แล้วสุดท้าย หากดีเอสไอไม่ทำอะไรมันจะเกิดอะไรขึ้น

-เรื่องนี้ จะกลายเป็นคดีใหม่หรือไปเป็นเรื่องของการรื้อฟื้นคดี?

โดยส่วนตัวไม่เคยหวังอะไรกับระบบของไทย หมายความว่า คิดหรือไม่ว่าดีเอสไอจะทำอะไร ก็ไม่ได้คิด แล้วคิดว่าจะฟ้องใหม่ได้หรือไม่ เท่าที่ดู ซึ่งมันคือหลักฐานเก่า เพียงแต่ว่าคือหลักฐานที่สมบูรณ์กว่า ที่ไม่เรียกว่าหลักฐานใหม่ ยกเว้นว่าเจอเรื่องใหม่

 มันเป็นภาพสะท้อนความล้มเหลวและสิ่งที่อยากเห็นก็คือ ทำไมทุกหน่วยงานปฏิเสธการแก้ไขปัญหาเชิงระบบ ตำรวจก็บอกว่าส่งไปแล้ว แต่นี้คืองานสอบสวนที่พลาดอย่างแรง เยอะแยะไปหมด แล้วศาลจะว่าอย่างไร อัยการจะว่าอย่างไร คณะนิติศาสตร์จะว่าอย่างไร ก็เงียบหมด

ซึ่งในเชิงกฎหมายที่มีอยู่ดั้งเดิม สิ่งที่มีการอธิบายก็คือ หนึ่ง  ฟ้องใหม่ไม่ได้ เพราะว่าเป็นหลักฐานเดิม ยกเว้นมีหลักฐานใหม่ สอง ดีเอสไอจะทำให้เป็นคดี 157 คือเจ้าหน้าที่ทำงานแบบละเว้น ทำให้ทุกอย่างเชื่อถือไม่ได้ ก็จะทำให้ฟ้องใหม่ได้ แต่ฟ้องใหม่ ก็อย่าไปหวัง ไม่รู้ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ เพราะตราบใดที่ยังอิง การเมืองไปหมด และนอกจากการเมืองแล้วยังเป็นเรื่องขององค์กร คือตำรวจก็จะอยู่ในทุกองค์กรอยู่แล้ว แล้วใครจะกล้าฟ้อง

แต่สิ่งที่คาดหวัง ไม่เกี่ยวกับการฟ้องใหม่ แต่รมว.ยุติธรรม เป็นคนที่ต้องทำหน้าที่นี้โดยตรงที่สุด เพราะกระทรวงนี้คือก.ยุติธรรม ก็เอาปัญหามาแก้ เพราะในต่างประเทศ หน้าที่รัฐ เขาจะเอาความล้มเหลว ในแต่ละคดีมาศึกษาวิจัยแล้วหาทางแก้ เช่น หากตำรวจไม่ชอบมาเป็นพนักงานสอบสวน ก็ต้องแก้ หรือหมอนิติเวช ไม่พอ ก็ต้องแก้ไข คนที่จะทำเรื่องนี้ได้คือรมว.ยุติธรรมเท่านั้น

-ในฐานะอดีตผอ.สำนักนิติวิทยาศาสตร์ฯ คิดว่าทุกวันนี้สถาบันแข็งแรงหรือไม่?

ไม่เลย เพราะว่าด้วยการเป็นหน่วยงานตั้งใหม่และเป็นหน่วยงานแปลกๆในกระทรวงยุติธรรม ก็ทำให้บุคลากรในสถาบันยังโตไม่ทันก็เลยกลายเป็นที่หมุนเวียน ของข้าราชการที่รอขึ้นรองอธิบดีกับอธิบดี มากินตำแหน่งชั่วคราว หกเดือน-หนึ่งปี แล้วก็ไม่มีใครอยากอยู่ เพราะมันเป็นงานที่ยาก ตลอดเวลาที่อยู่ ก็เจอกับผู้บริหารหลายรูปแบบ

 ผู้บริหารคนหนึ่งเคยคิดจะยุบศูนย์พิสูจน์บุคคลสูญหาย แต่สำนักงานก.พ.เขายั้งไว้ ผู้บริหารคนนี้ไม่ได้เป็นตำรวจ ผู้บริหารต่างๆที่เข้ามา ก็จะกลายเป็นทำให้ สิ่งที่เรียกว่ากำลังใจหรือการทำงานของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ถดถอยลงไปเรื่อยๆ และยิ่งถ้าเผื่อว่า ยังเป็นอยู่แบบนี้ ก็คือ เราได้คนที่เติบโตมา ไม่กล้าพอที่จะอยู่ข้างความจริง มันก็จะอิหลักอิเหลื่อ

เพราะว่าคดีแตงโม ก็จะเห็นว่าอย่างดร.ปานเทพ ก็เคยพูดว่ามีผู้บริหารสถาบันฯ ด่าเจ้าหน้าที่ จะสอบ คือไม่รู้ว่าเกิดอะไรกันขึ้น  กรณีเรื่องโทรศัพท์ นี้คือสิ่งที่ทำให้เห็นว่าข้างนอกก็แทรกแซง ข้างในเองก็เป็นอย่างนี้แล้วท้ายที่สุด รมว.ยุติธรรม ตั้งที่ปรึกษาเป็นตำรวจ เดิมก็มีกรรมการเป็นตำรวจโดยตำแหน่ง ก็ตั้งเข้ามาอีกสามในสี่ ก็ยุบเถอะ เพราะมันคงทำงานต่อไม่ได้ เพราะเขาบอกกันว่าปลัดฯ ก็ทานไว้แล้วแต่รัฐมนตรีก็ยังตั้ง ก็เลยยังไม่สามารถหวังว่าจะทำอะไรต่อได้ แต่ท้ายที่สุด ก็ยังให้กำลังใจคนที่ตั้งใจ เรายังมีคนตั้งใจดีๆอยู่

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

พรรคส้ม ซัด 'ทักษิณ' ทำตัวเองถูกซักฟอก แซะ 'เพื่อไทย' ตัดสินใจเองไม่ได้ต้องรอคำสั่ง

ณัฐพงษ์-หัวหน้าปชน.โต้ 'ทักษิณ' ปมบรรจุชื่อในญัตติซักฟอก ไม่ได้เกิดจากใครเลย แต่เป็นเพราะเจ้าตัวชี้นำรัฐบาลเอง แซะ 'เพื่อไทย' ยังต้องรอคำสั่งผู้มีอำนาจตัวจริง เผยถ้าเปลี่ยนสูตรเวลาอภิปราย 23+7 พร้อมเจรจา แต่ปัดตอบเปลี่ยนชื่อในญัตติเป็นอะไร บอกใบ้ 'ลองไปดูข่าวท่านประธานสภา'

'เท้ง' ถอนหงอก 'แม้ว' พูดคำโต แต่ทำไม่ได้!

หัวหน้าพรรคปชน. ซัด 'ทักษิณ' โชว์วิชั่น 'เศรษฐกิจดิจิทัล' อาจซ้ำรอย 'ดิจิทัลวอลเล็ต' ที่เคยประกาศแจกพร้อมกันให้เกิดพายุหมุน แต่ต้องแบ่งเป็นเฟส แนะเลิกใช้ภาษีประชาชนแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ลั่นอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงจริง ไม่ใช่แค่คำพูดที่ดูโต แต่ทำไม่ได้

ถอดรหัส 'ทักษิณ' โชว์เขี้ยว! พลิกเกม-ขย้ำกลับ 'พรรคส้ม' เปิดแผลนั่งร้าน 'ธนาธร'

ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน โดยเฉพาะ “พรรคประชาชน” ไม่เพียงแค่เป็น “ศึกซักฟอก” ครั้งแรกของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร แต่ยังถูกออกแบบมาให้กระทบชิ่งถึง “ทักษิณ ชินวัตร” โดยตรง

'เจิมศักดิ์' กาง 7 ข้อ วิเคราะห์ 'รัฐบาลแพทองธาร' กับค่าเสียโอกาสและผลกระทบ

'เจิมศักดิ์-นักวิชาการเศรษฐศาสตร์' ยก 7 ประเด็นสำคัญ สะท้อนถึงค่าเสียโอกาสและผลกระทบจากการดำรงตำแหน่งของนายกฯแพทองธาร ชินวัตร ชี้ความไม่ชัดเจนทางการเมืองและเศรษฐกิจอาจส่งผลกระทบในระยะยาวต่อการพัฒนาประเทศไทย

สืบจากศพ ‘หมอพรทิพย์’ พลิกปม ใครฆ่า...!!?? ‘อดีต ผกก.โจ้-แตงโม’ I อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร

สืบจากศพ ‘หมอพรทิพย์’ พลิกปม ใครฆ่า...!!?? ‘อดีต ผกก.โจ้-แตงโม’ อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร : วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม 2568