หวังว่ากฎหมายฉบับนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นให้สังคมไทยยอมรับตัวตนและวิถีวัฒนธรรมของพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ แม้เนื้อหาสาระของตัวร่างกฎหมายอาจมีบางประเด็นที่หลายฝ่ายยังมีความเห็นต่าง แต่เชื่อว่าหากเราใช้โอกาสของการพิจารณาร่างพรบ.ฉบับนี้ เป็นกระบวนการเรียนรู้ เชื่อแน่ว่าสังคมไทยจะเข้าใจพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์มากขึ้น และในที่สุด ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ฯ จะเป็นอีกหมุดหมายหนึ่งในการสร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในสังคมไทย
เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2568 ที่ผ่านมา ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติเสียงข้างมาก เห็นชอบ “ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. … “ในวาระสาม ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 312 ต่อ 84 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 4 คน และหลังจากนี้ สภาฯ จะส่งร่างพรบ. คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ฯ หรือที่เรียกกันว่า”ร่าง พรบ.ชาติพันธุ์ฯ” ไปให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไป
สำหรับร่างพรบ.ชาติพันธุ์ ฯ ถือเป็นอีกหนึ่งร่างกฎหมายที่น่าสนใจ ซึ่งหนึ่งในนักการเมือง ที่ให้ความสำคัญและผลักดันเรื่องนี้มาตลอด ก็คือ “ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. ....สภาผู้แทนราษฎร”
โดย”ปิยะรัฐชย์”กล่าวสรุปถึงหัวใจสำคัญของร่างพรบ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ฯว่า มีสาระสำคัญ 5 ประการ ดังนี้
(1) หลักพื้นฐานแห่งสิทธิและการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์
(2) กลไกการคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
(3) การมีส่วนร่วมของกลุ่มชาติพันธุ์ในการกำหนดนโยบาย
(4) จัดทำฐานข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานกำหนดนโยบายและแนวทางในการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ให้สอดคล้องกับบริบททางวัฒนธรรม
( 5) การจัดตั้งเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อให้ชุมชนชาติพันธุ์ได้ดำรงวิถีชีวิตและมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดความยั่งยืน
“ปิยะรัฐชย์”ย้ำความสำคัญของร่างพรบ.ฯดังกล่าวที่หากมีการประกาศใช้เป็นกฎหมาย จะส่งผลดีต่อกลุ่มชาติพันธุ์ฯในประเทศไทย เพราะร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีเจตนารมณ์ให้เป็นกฎหมาย “คุ้มครองและส่งเสริมสิทธิทางวัฒนธรรม” ตามหลักการของรัฐธรรมนูญ มาตรา 70 ที่ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรมของชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์อย่างเสมอภาคไม่เลือกปฏิบัติ เน้นสร้างความเข้าใจในวิถีชีวิตที่แตกต่างหลากหลาย โดยมีหลักการ 3 ประการ คือ
1) คุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรม
2) ส่งเสริมศักยภาพกลุ่มชาติพันธุ์
3) สร้างความเสมอภาค
บนหลักการของการให้ “ความเท่าเทียมอย่างเป็นธรรม” ด้วยการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างมี “ศักดิ์ศรี” ให้หลักประกันความเท่าเทียมที่มีโอกาสเข้าถึงอย่างเสมอภาพเพื่อสร้างสังคมที่เป็นธรรมลดความเหลื่อมล้ำตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน เชื่อแน่ว่าจะเป็นประโยชน์กับพี่น้องขาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ทั่วประเทศในด้านหลักๆ คือ 1. การคุ้มครองสิทธิของพี่น้องขาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์จะมีความชัดเจนเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพราะมีบทบัญญัติไว้ในมาตรา 5 - 12 ครอบคลุมสิทธิทุกด้านที่พี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ในฐานะคนไทยจะได้รับการคุ้มครอง
2.การมีกลไกระดับนโยบายชาติที่จะดูแลพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ ในรูปแบบคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน จะทำไห้การดูแลพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์มีกลไกที่ชัดเจนที่เอื้อต่อการแก้ปัญหาและดูแลพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์อย่างบูรณาการ และสอดคล้องกับวิถีชีวิต
3 การมีสภาคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งจะเป็นกลไกการมีส่วนร่วมให้พี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์นำเสนอปัญหาและแสวงหาแนวทางแก้ไข เพื่อเสนอเป็นนโยบายให้คณะกรรมการนำไปกำหนดเป็นแนวนโยบาย
นอกจากนี้ร่างพรบ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ.ฯ ดังกล่าว ยังกำหนดให้มีการจัดทำฐานข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์ ที่จะช่วยเป็นแหล่งอ้างอิงในการพัฒนานโยบายที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหาและบริบททางวัฒนธรรมของพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์
ส่วนกรณีหลายฝ่ายมีข้อกังวลว่าการกำหนดเขตพื้นที่คุ้มครองจะมีข้อจำกัดในการปฏิบัตินั้น ขอยืนยันว่า หลักการของการกำหนดพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงอยู่ในกฎหมายฉบับนี้ ทั้งหลักการเรื่องการจัดการพื้นที่แบบมีส่วนร่วม และการเคารพในหลักสิทธิชุมชนซึ่งในเรื่องนี้สามารถผลักดันให้เกิดรูปธรรมใด้ผ่านกลไกคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการกำหนดนโยบายที่สนับสนุนการขับเคลื่อนในอนาคต
“หวังว่ากฎหมายฉบับนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นให้สังคมไทยยอมรับตัวตนและวิถีวัฒนธรรมของพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งแม้เนื้อหาสาระของตัวร่างกฎหมายอาจมีบางประเด็นที่หลายฝ่ายยังมีความเห็นต่าง แต่เชื่อว่าหากเราใช้โอกาสของการพิจารณากฎหมายฉบับนี้ เป็นกระบวนการเรียนรู้ เชื่อแน่ว่าสังคมไทยจะเข้าใจพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์มากขึ้น และในที่สุด ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ฯ จะเป็นอีกหมุดหมายหนึ่งในการสร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในสังคมไทย”
สำหรับกระบวนการต่อจากนี้หลังร่างพรบ.ชาติพันธุ์ฯ ผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ ไปเมื่อ 5 ก.พ. หลังจากนี้ สภาฯ ก็ส่งร่างพรบ.ดังกล่าวไปให้วุฒิสภา ฯ ซึ่งมีกระบวนการคือ เมื่อที่ประชุม สว. ได้พิจารณารับหลักการในวาระที่ 1 แล้วจะมีการตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาโดยมีสัดส่วนจาก สว ตัวแทนรัฐบาล และภาคประชาชน ซึ่งจะมีระยะเวลาพิจารณา 30 วัน ขยายระยะเวลาได้อีก 30 วัน รวมไม่เกิน 60 วัน จากนั้นเมื่อคณะกมธ.วิสามัญ ฯ ของวุฒิสภา พิจารณาแล้วเสร็จแล้วจะนำเสนอที่ประชุมวุฒิสภา พิจารณาในวาระ 2 และวาระ 3 ซึ่งหากไม่มีการปรับแก้เนื้อหาจากร่างที่ผ่านสภาฯ ก็จะถือว่า ร่าง พรบ ฉบับนี้ สว.เห็นชอบ และนำขึ้นทูลเกล้าประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป แต่หากเกิดกรณี สว.มีการแก้ไขร่างพรบ.ฯ ต้องนำเข้าประชุมสภาฯ ซึ่งหากที่ประชุมสภาฯ เห็นด้วยกับ สว. ก็จะให้ความเห็นชอบและนำร่างพรบ.ฯ ขึ้นทูลเกล้าประกาศใช้เป็นกฎหมาย แต่หาก สภาฯ ไม่เห็นตัวย ต้องมีการตั้งกรรมาธิการร่วมของสองสภาฯ คือส.ส.กับสว. เพื่อพิจารณาร่างพรบ.ดังกล่าวร่วมกันอีกครั้ง
จากนั้นพอคณะกรรมาธิการของสองสภาฯ พิจารณาแล้วเสร็จ ก็ส่งร่างกลับไปให้ที่ประชุมส.ส.และสว.ให้ความเห็นชอบ เมื่อทั้ง 2 สภาเห็นชอบตามที่คณะกรรมาธิการร่วมของทั้งสองสภาปรับแก้ ก็จะนำร่างพรบ.ขึ้นทูลเกล้าฯ และประกาศใช้เป็นกฎหมาย แต่หากสภาฯ ไม่เห็นด้วยกับ สว.จะพักการพิจารณาไว้ไม่น้อยกว่า 180 วัน เมื่อครบกำหนด จากนั้นสภาฯ จะประชุมกันอีกครั้ง ซึ่งหากที่ประชุมสภาฯ มีมติยืนยันตามร่างเดิมที่ผ่านสภาฯ ก็จะมีการนำร่างพรบ.ฯ ขึ้นทูลเกล้าประกาศใช้เป็นกฎหมาย อย่างไรก็ดีเนื่องจากในการพิจารณาของส.ส. ได้มีการปรับแก้ในประเด็นที่เป็นข้อห่วงกังวลในทุกประเด็นแล้ว และทาง สว.ก็ได้มีการศึกษาร่าง พรบ. ชาติพันธุ์ฯ มาล่วงหน้า จึงเชื่อการพิจารณาในชั้นของสว.จะให้ความเห็นชอบ ดังนั้นจึงคาดว่าภายในปี 2568 นี้เราจะมีกฎหมายคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ฉบับแรกของประเทศ
เปิดจุดสำคัญร่างพรบ.ชาติพันธุ์ฯ
สำหรับร่างพรบ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ฯ ฉบับที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ มีสาระสำคัญหลายประเด็นที่น่าสนใจ
...อาทิเช่น ในส่วนของเรื่อง “การคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์”ตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ เขียนไว้ใน มาตรา 5 ระบุว่า การคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ตามพระราชบัญญัตินี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิขั้นพื้นฐานและได้รับการส่งเสริมให้เกิดการเคารพสิทธิอันติดตัว มาแต่กำเนิด บนความหลากหลายในชาติกำเนิดถิ่นที่อยู่ เชื้อชาติ ศาสนา ชาติพันธุ์ เพศสภาพ หรือวัฒนธรรม และสามารถดำรงชีวิตในสังคมได้ตามวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตดั้งเดิมอย่างมีศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ โดยมีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกับบุคคลอื่น การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องชาติพันธุ์จะกระทำมิได้ มาตรการที่รัฐกำหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้กลุ่มชาติพันธุ์สามารถใช้สิทธิ หรือเสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น ย่อมไม่ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม การคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ตามพระราชบัญญัตินี้ให้กระทำได้ เท่าที่ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคง ของรัฐ หรือสุขภาพอนามัย
มาตรา 6 กลุ่มชาติพันธุ์ต้องได้รับความคุ้มครองสิทธิในเกียรติยศ ชื่อเสียง และศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ การกระทำใดๆ อันมีลักษณะเป็นการเหยียดหยาม สร้างความเกลียดชัง หรือเลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมต่อกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเกียรติยศ ชื่อเสียง หรือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของกลุ่มชาติพันธุ์จะกระทำมิได้ การกำหนดนโยบาย กฎ ระเบียบ มาตรการ โครงการ หรือวิธีปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐ องค์กรเอกชน หรือองค์กรใดในลักษณะที่เป็นการเหยียดหยาม สร้างความเกลียดชัง หรือเลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมต่อกลุ่มชาติพันธุ์จะกระทำมิได้ การโฆษณาหรือเผยแพร่ทางสื่อมวลชนหรือสื่อสารสนเทศประเภทใดอันเป็นการเหยียดหยาม สร้างความเกลียดชัง หรือเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อกลุ่มชาติพันธุ์ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกลุ่มชาติพันธุ์จะกระทำมิได้
มาตรา 7 กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในการใช้ส่งเสริม อนุรักษ์ ฟื้นฟู แสดงออก ซึ่งภูมิปัญญา ศาสนา ศรัทธาความเชื่อ วัฒนธรรม ภาษา และขนบธรรมเนียม ตามจารีตประเพณี อันดีงามที่มีความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์
การบังคับให้กลุ่มชาติพันธุ์ต้องผสมกลมกลืนทางศาสนา วัฒนธรรม หรือทำลายวัฒนธรรม ของตน รวมทั้งการกระทำใด ๆ ที่มีเป้าหมายหรือมีผลให้กลุ่มชาติพันธุ์ถูกพรากจากความผูกพัน วิถีปฏิบัติ หรือคุณค่าทางวัฒนธรรมหรืออัตลักษณ์ของตน จะกระทำมิได้
มาตรา 8 กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในการจัดการศึกษาด้วยภาษาของตนเองที่เหมาะสม กับวิถีทางวัฒนธรรม ร่วมกับการศึกษาของรัฐทุกรูปแบบและทุกระดับ เพื่อให้บุคคลที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ สามารถเข้าถึงองค์ความรู้ ภูมิปัญญา วิถีปฏิบัติและสามารถสืบทอดวัฒนธรรมและภาษาของตนเองได้ และรัฐพึงให้การสนับสนุนการจัดการศึกษาดังกล่าว
มาตรา 9 กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดังต่อไปนี้ (1) สิทธิในการจัดการ อนุรักษ์ บำรุงรักษาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพ พันธุกรรมพืชและสัตว์อันเป็นมรดกทางภูมิปัญญาและระบบนิเวศ อย่างสมดุล เป็นธรรม และยั่งยืน ตลอดจนดำรงความสัมพันธ์ด้านจิตวิญญาณกับที่ดิน น้ำ ป่าไม้ ทะเล และชายฝั่งทะเล รวมทั้งทรัพยากรธรรมชาติอื่นด้วย
(2) สิทธิในการดำรงวิถีชีวิตตามวัฒนธรรมและประเพณีดั้งเดิม ตามภูมิปัญญาที่ได้สืบสาน รักษา และต่อยอดจากมรดกทางวัฒนธรรมของบรรพชนเพื่อการดำรงชีพ โดยไม่เกิดการทำลายให้เสียสมดุล หรือเป็นอันตรายต่อระบบนิเวศ
(3) สิทธิในการดำรงชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ ปลอดจากภัยคุกคาม มลพิษ และวัตถุอันตรายใด ๆ ไม่ว่าจะเกิดจากการดำเนินนโยบาย แผนงาน หรือโครงการของภาครัฐหรือภาคเอกชนหรือโครงการร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน และได้รับการแก้ไขและเยียวยาอย่างเป็นธรรม ในกรณีที่เกิดผลกระทบจากนโยบาย แผนงาน หรือโครงการดังกล่าว
(4) สิทธิในการปกป้องและได้รับความคุ้มครองจากการกระทำใด ๆ ที่ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ ต้องถูกพรากจากที่ดิน เขตแดน ทรัพยากรธรรมชาติและที่อยู่อาศัยของตน โดยปราศจากการรับรู้และยินยอม ล่วงหน้าโดยอิสระ สิทธิในการได้รับการแก้ไขและเยียวยาอย่างเป็นธรรม โดยจะจัดให้อยู่ในที่ดิน และทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณภาพ และมีการรับรองสถานะของที่ดินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสม และสิทธิในการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการกระทำดังกล่าว (๕) สิทธิในการจัดการพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
มาตรา 10 กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในการดำเนินวิถีชีวิต และการพัฒนาตนเองได้อย่างเสรี รวมทั้งการธํารงรักษาและการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจชุมชน สังคม และวัฒนธรรม อันมีลักษณะเฉพาะของตน หรือในมาตรา 12 ที่เขียนไว้ว่า กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในการเข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน การบริการของรัฐ และสวัสดิการสังคมที่มีคุณภาพ อย่างเสมอภาค ทั่วถึง และเป็นธรรม เพื่อการดำรงชีวิตอย่างปกติสุข โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม เป็นต้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สภาฯ ต้าน”บุหรี่ไฟฟ้า” หวั่น เยาวชนตกเป็นทาส
ปัญหา”บุหรี่ไฟฟ้า”ที่ตอนนี้กลายเป็นอีกหนึ่งปัญหาทางสังคมที่หลายฝ่ายเป็นห่วง หลังพบว่าคนไทยโดยเฉพาะ”เยาวชน-คนรุ่นใหม่”
ระเบิดศึกซักฟอก ดีลแลกประเทศ
การเมืองตลอดสัปดาห์หน้าร้อนระอุแน่นอน กับ ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 24-25 มีนาคม และลงมติไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจ ในวันที่ 26 มีนาคม
..สืบสานราชธรรม .. ณ เมืองลับแล จ.อุตรดิตถ์!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๘ ที่ผ่านมา ได้เดินทางไปร่วมขับเคลื่อน โครงการร้อยใจไทย สืบสานราชธรรม ทั้งแผ่นดิน
หมอพรทิพย์ -สืบจากศพ ข้อสงสัย-ปมกังขา สองคดีดัง อดีตผกก.โจ้-แตงโม
ปมการเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรืออดีตผู้กำกับโจ้ ผู้ต้องหาใช้ถุงดำคลุมหัวผู้ต้องหาคดียาเสพติดเสียชีวิตในโรงพัก สภ.เมืองนครสวรรค์ ซึ่งอดีตผกก.โจ้ได้ใช้ผ้าขนหนูผูกคอเสียชีวิตในห้องขัง
เรื่อง..“ผู้กำกับโจ้”.. ปลายคอลัมน์!!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ภายใต้กระแสไอทีที่ร้อนแรง จึงได้เห็นอำนาจวัตถุนิยมทรงพลังที่เข้ามาควบคุมวิถีโลกนี้ให้อนุวัตไปตามกระแสวัตถุ ที่ชักนำสัตว์โลกให้หลงใหลไปตาม โลกยุคสมัยไอที ที่ทรงอิทธิพลต่อจิตวิญญาณชาวโลกเป็นอย่างยิ่ง
เส้นทางผลักดัน ร่าง กม.กาสิโน เดินหน้าตามรอย สิงคโปร์โมเดล
ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. ... ที่ให้มีเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ โดยมีกาสิโนรวมอยู่ด้วย ฉบับที่ยกร่างโดย "คณะกรรมการกฤษฎีกา" เสร็จสิ้นการรับฟังความคิดเห็นไปแล้วเมื่อ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ส่งร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวให้กระทรวงการคลังและรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ต้องติดตามว่า กระทรวงการคลังจะเสนอร่างดังกล่าวให้ที่ประชุม ครม.พิจารณาเห็นชอบเป็นครั้งสุดท้ายในวันใด ที่คาดว่าจะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคมนี้