ร่างพ.ร.บ.ชาติพันธุ์ฯ อีกหมุดหมาย สร้างความเท่าเทียมในสังคมไทย

หวังว่ากฎหมายฉบับนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นให้สังคมไทยยอมรับตัวตนและวิถีวัฒนธรรมของพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ แม้เนื้อหาสาระของตัวร่างกฎหมายอาจมีบางประเด็นที่หลายฝ่ายยังมีความเห็นต่าง แต่เชื่อว่าหากเราใช้โอกาสของการพิจารณาร่างพรบ.ฉบับนี้ เป็นกระบวนการเรียนรู้ เชื่อแน่ว่าสังคมไทยจะเข้าใจพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์มากขึ้น และในที่สุด ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ฯ จะเป็นอีกหมุดหมายหนึ่งในการสร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในสังคมไทย

เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2568 ที่ผ่านมา ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติเสียงข้างมาก เห็นชอบ “ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. … “ในวาระสาม ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 312 ต่อ 84 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 4 คน และหลังจากนี้ สภาฯ จะส่งร่างพรบ. คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ฯ หรือที่เรียกกันว่า”ร่าง พรบ.ชาติพันธุ์ฯ” ไปให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไป

สำหรับร่างพรบ.ชาติพันธุ์ ฯ ถือเป็นอีกหนึ่งร่างกฎหมายที่น่าสนใจ ซึ่งหนึ่งในนักการเมือง ที่ให้ความสำคัญและผลักดันเรื่องนี้มาตลอด ก็คือ “ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. ....สภาผู้แทนราษฎร”

โดย”ปิยะรัฐชย์”กล่าวสรุปถึงหัวใจสำคัญของร่างพรบ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ฯว่า มีสาระสำคัญ 5 ประการ ดังนี้

(1) หลักพื้นฐานแห่งสิทธิและการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์

(2) กลไกการคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์

(3) การมีส่วนร่วมของกลุ่มชาติพันธุ์ในการกำหนดนโยบาย

(4) จัดทำฐานข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานกำหนดนโยบายและแนวทางในการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ให้สอดคล้องกับบริบททางวัฒนธรรม

( 5) การจัดตั้งเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อให้ชุมชนชาติพันธุ์ได้ดำรงวิถีชีวิตและมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดความยั่งยืน

ปิยะรัฐชย์”ย้ำความสำคัญของร่างพรบ.ฯดังกล่าวที่หากมีการประกาศใช้เป็นกฎหมาย จะส่งผลดีต่อกลุ่มชาติพันธุ์ฯในประเทศไทย เพราะร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีเจตนารมณ์ให้เป็นกฎหมาย “คุ้มครองและส่งเสริมสิทธิทางวัฒนธรรม” ตามหลักการของรัฐธรรมนูญ มาตรา 70 ที่ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรมของชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์อย่างเสมอภาคไม่เลือกปฏิบัติ เน้นสร้างความเข้าใจในวิถีชีวิตที่แตกต่างหลากหลาย โดยมีหลักการ 3 ประการ คือ

 1) คุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรม

2) ส่งเสริมศักยภาพกลุ่มชาติพันธุ์

 3) สร้างความเสมอภาค

บนหลักการของการให้ “ความเท่าเทียมอย่างเป็นธรรม” ด้วยการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างมี “ศักดิ์ศรี” ให้หลักประกันความเท่าเทียมที่มีโอกาสเข้าถึงอย่างเสมอภาพเพื่อสร้างสังคมที่เป็นธรรมลดความเหลื่อมล้ำตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน เชื่อแน่ว่าจะเป็นประโยชน์กับพี่น้องขาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ทั่วประเทศในด้านหลักๆ  คือ 1. การคุ้มครองสิทธิของพี่น้องขาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์จะมีความชัดเจนเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพราะมีบทบัญญัติไว้ในมาตรา 5 - 12 ครอบคลุมสิทธิทุกด้านที่พี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ในฐานะคนไทยจะได้รับการคุ้มครอง

2.การมีกลไกระดับนโยบายชาติที่จะดูแลพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ ในรูปแบบคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน จะทำไห้การดูแลพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์มีกลไกที่ชัดเจนที่เอื้อต่อการแก้ปัญหาและดูแลพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์อย่างบูรณาการ และสอดคล้องกับวิถีชีวิต

3 การมีสภาคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งจะเป็นกลไกการมีส่วนร่วมให้พี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์นำเสนอปัญหาและแสวงหาแนวทางแก้ไข เพื่อเสนอเป็นนโยบายให้คณะกรรมการนำไปกำหนดเป็นแนวนโยบาย

นอกจากนี้ร่างพรบ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ.ฯ ดังกล่าว ยังกำหนดให้มีการจัดทำฐานข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์ ที่จะช่วยเป็นแหล่งอ้างอิงในการพัฒนานโยบายที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหาและบริบททางวัฒนธรรมของพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์

ส่วนกรณีหลายฝ่ายมีข้อกังวลว่าการกำหนดเขตพื้นที่คุ้มครองจะมีข้อจำกัดในการปฏิบัตินั้น ขอยืนยันว่า หลักการของการกำหนดพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงอยู่ในกฎหมายฉบับนี้ ทั้งหลักการเรื่องการจัดการพื้นที่แบบมีส่วนร่วม และการเคารพในหลักสิทธิชุมชนซึ่งในเรื่องนี้สามารถผลักดันให้เกิดรูปธรรมใด้ผ่านกลไกคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการกำหนดนโยบายที่สนับสนุนการขับเคลื่อนในอนาคต

“หวังว่ากฎหมายฉบับนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นให้สังคมไทยยอมรับตัวตนและวิถีวัฒนธรรมของพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งแม้เนื้อหาสาระของตัวร่างกฎหมายอาจมีบางประเด็นที่หลายฝ่ายยังมีความเห็นต่าง แต่เชื่อว่าหากเราใช้โอกาสของการพิจารณากฎหมายฉบับนี้ เป็นกระบวนการเรียนรู้ เชื่อแน่ว่าสังคมไทยจะเข้าใจพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์มากขึ้น และในที่สุด ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ฯ จะเป็นอีกหมุดหมายหนึ่งในการสร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในสังคมไทย”

สำหรับกระบวนการต่อจากนี้หลังร่างพรบ.ชาติพันธุ์ฯ ผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ ไปเมื่อ 5 ก.พ. หลังจากนี้ สภาฯ ก็ส่งร่างพรบ.ดังกล่าวไปให้วุฒิสภา ฯ ซึ่งมีกระบวนการคือ เมื่อที่ประชุม สว. ได้พิจารณารับหลักการในวาระที่ 1 แล้วจะมีการตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาโดยมีสัดส่วนจาก สว ตัวแทนรัฐบาล และภาคประชาชน ซึ่งจะมีระยะเวลาพิจารณา 30 วัน ขยายระยะเวลาได้อีก 30 วัน รวมไม่เกิน 60 วัน จากนั้นเมื่อคณะกมธ.วิสามัญ ฯ ของวุฒิสภา พิจารณาแล้วเสร็จแล้วจะนำเสนอที่ประชุมวุฒิสภา พิจารณาในวาระ 2 และวาระ 3 ซึ่งหากไม่มีการปรับแก้เนื้อหาจากร่างที่ผ่านสภาฯ ก็จะถือว่า ร่าง พรบ ฉบับนี้ สว.เห็นชอบ และนำขึ้นทูลเกล้าประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป แต่หากเกิดกรณี สว.มีการแก้ไขร่างพรบ.ฯ  ต้องนำเข้าประชุมสภาฯ ซึ่งหากที่ประชุมสภาฯ เห็นด้วยกับ สว.  ก็จะให้ความเห็นชอบและนำร่างพรบ.ฯ ขึ้นทูลเกล้าประกาศใช้เป็นกฎหมาย แต่หาก สภาฯ ไม่เห็นตัวย ต้องมีการตั้งกรรมาธิการร่วมของสองสภาฯ คือส.ส.กับสว. เพื่อพิจารณาร่างพรบ.ดังกล่าวร่วมกันอีกครั้ง

จากนั้นพอคณะกรรมาธิการของสองสภาฯ พิจารณาแล้วเสร็จ ก็ส่งร่างกลับไปให้ที่ประชุมส.ส.และสว.ให้ความเห็นชอบ เมื่อทั้ง 2 สภาเห็นชอบตามที่คณะกรรมาธิการร่วมของทั้งสองสภาปรับแก้ ก็จะนำร่างพรบ.ขึ้นทูลเกล้าฯ  และประกาศใช้เป็นกฎหมาย แต่หากสภาฯ ไม่เห็นด้วยกับ สว.จะพักการพิจารณาไว้ไม่น้อยกว่า 180 วัน เมื่อครบกำหนด จากนั้นสภาฯ จะประชุมกันอีกครั้ง ซึ่งหากที่ประชุมสภาฯ มีมติยืนยันตามร่างเดิมที่ผ่านสภาฯ ก็จะมีการนำร่างพรบ.ฯ ขึ้นทูลเกล้าประกาศใช้เป็นกฎหมาย อย่างไรก็ดีเนื่องจากในการพิจารณาของส.ส. ได้มีการปรับแก้ในประเด็นที่เป็นข้อห่วงกังวลในทุกประเด็นแล้ว และทาง สว.ก็ได้มีการศึกษาร่าง พรบ. ชาติพันธุ์ฯ มาล่วงหน้า จึงเชื่อการพิจารณาในชั้นของสว.จะให้ความเห็นชอบ ดังนั้นจึงคาดว่าภายในปี 2568 นี้เราจะมีกฎหมายคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ฉบับแรกของประเทศ

เปิดจุดสำคัญร่างพรบ.ชาติพันธุ์ฯ

สำหรับร่างพรบ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ฯ ฉบับที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ มีสาระสำคัญหลายประเด็นที่น่าสนใจ

...อาทิเช่น ในส่วนของเรื่อง “การคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์”ตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ เขียนไว้ใน มาตรา 5  ระบุว่า การคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ตามพระราชบัญญัตินี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิขั้นพื้นฐานและได้รับการส่งเสริมให้เกิดการเคารพสิทธิอันติดตัว มาแต่กำเนิด บนความหลากหลายในชาติกำเนิดถิ่นที่อยู่ เชื้อชาติ ศาสนา ชาติพันธุ์ เพศสภาพ  หรือวัฒนธรรม และสามารถดำรงชีวิตในสังคมได้ตามวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตดั้งเดิมอย่างมีศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ โดยมีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกับบุคคลอื่น การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องชาติพันธุ์จะกระทำมิได้ มาตรการที่รัฐกำหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้กลุ่มชาติพันธุ์สามารถใช้สิทธิ หรือเสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น ย่อมไม่ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม  การคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ตามพระราชบัญญัตินี้ให้กระทำได้ เท่าที่ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคง ของรัฐ หรือสุขภาพอนามัย

มาตรา 6 กลุ่มชาติพันธุ์ต้องได้รับความคุ้มครองสิทธิในเกียรติยศ ชื่อเสียง และศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ การกระทำใดๆ อันมีลักษณะเป็นการเหยียดหยาม สร้างความเกลียดชัง หรือเลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมต่อกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเกียรติยศ ชื่อเสียง หรือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของกลุ่มชาติพันธุ์จะกระทำมิได้ การกำหนดนโยบาย กฎ ระเบียบ มาตรการ โครงการ หรือวิธีปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐ  องค์กรเอกชน หรือองค์กรใดในลักษณะที่เป็นการเหยียดหยาม สร้างความเกลียดชัง หรือเลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมต่อกลุ่มชาติพันธุ์จะกระทำมิได้ การโฆษณาหรือเผยแพร่ทางสื่อมวลชนหรือสื่อสารสนเทศประเภทใดอันเป็นการเหยียดหยาม สร้างความเกลียดชัง หรือเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อกลุ่มชาติพันธุ์ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เกียรติยศ  ชื่อเสียง หรือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกลุ่มชาติพันธุ์จะกระทำมิได้

มาตรา 7 กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในการใช้ส่งเสริม อนุรักษ์ ฟื้นฟู แสดงออก ซึ่งภูมิปัญญา ศาสนา ศรัทธาความเชื่อ วัฒนธรรม ภาษา และขนบธรรมเนียม ตามจารีตประเพณี อันดีงามที่มีความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์

การบังคับให้กลุ่มชาติพันธุ์ต้องผสมกลมกลืนทางศาสนา วัฒนธรรม หรือทำลายวัฒนธรรม ของตน รวมทั้งการกระทำใด ๆ ที่มีเป้าหมายหรือมีผลให้กลุ่มชาติพันธุ์ถูกพรากจากความผูกพัน วิถีปฏิบัติ หรือคุณค่าทางวัฒนธรรมหรืออัตลักษณ์ของตน จะกระทำมิได้

มาตรา 8 กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในการจัดการศึกษาด้วยภาษาของตนเองที่เหมาะสม กับวิถีทางวัฒนธรรม ร่วมกับการศึกษาของรัฐทุกรูปแบบและทุกระดับ เพื่อให้บุคคลที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ สามารถเข้าถึงองค์ความรู้ ภูมิปัญญา วิถีปฏิบัติและสามารถสืบทอดวัฒนธรรมและภาษาของตนเองได้ และรัฐพึงให้การสนับสนุนการจัดการศึกษาดังกล่าว

มาตรา 9 กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดังต่อไปนี้ (1) สิทธิในการจัดการ อนุรักษ์ บำรุงรักษาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ  สิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพ พันธุกรรมพืชและสัตว์อันเป็นมรดกทางภูมิปัญญาและระบบนิเวศ อย่างสมดุล เป็นธรรม และยั่งยืน ตลอดจนดำรงความสัมพันธ์ด้านจิตวิญญาณกับที่ดิน น้ำ ป่าไม้ ทะเล และชายฝั่งทะเล รวมทั้งทรัพยากรธรรมชาติอื่นด้วย

(2) สิทธิในการดำรงวิถีชีวิตตามวัฒนธรรมและประเพณีดั้งเดิม ตามภูมิปัญญาที่ได้สืบสาน  รักษา และต่อยอดจากมรดกทางวัฒนธรรมของบรรพชนเพื่อการดำรงชีพ โดยไม่เกิดการทำลายให้เสียสมดุล หรือเป็นอันตรายต่อระบบนิเวศ

(3) สิทธิในการดำรงชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ ปลอดจากภัยคุกคาม มลพิษ และวัตถุอันตรายใด ๆ ไม่ว่าจะเกิดจากการดำเนินนโยบาย แผนงาน หรือโครงการของภาครัฐหรือภาคเอกชนหรือโครงการร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน และได้รับการแก้ไขและเยียวยาอย่างเป็นธรรม ในกรณีที่เกิดผลกระทบจากนโยบาย แผนงาน หรือโครงการดังกล่าว

(4) สิทธิในการปกป้องและได้รับความคุ้มครองจากการกระทำใด ๆ ที่ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ ต้องถูกพรากจากที่ดิน เขตแดน ทรัพยากรธรรมชาติและที่อยู่อาศัยของตน โดยปราศจากการรับรู้และยินยอม ล่วงหน้าโดยอิสระ สิทธิในการได้รับการแก้ไขและเยียวยาอย่างเป็นธรรม โดยจะจัดให้อยู่ในที่ดิน และทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณภาพ และมีการรับรองสถานะของที่ดินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย  หรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสม และสิทธิในการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการกระทำดังกล่าว (๕) สิทธิในการจัดการพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์

มาตรา 10 กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในการดำเนินวิถีชีวิต และการพัฒนาตนเองได้อย่างเสรี  รวมทั้งการธํารงรักษาและการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจชุมชน สังคม และวัฒนธรรม อันมีลักษณะเฉพาะของตน หรือในมาตรา 12 ที่เขียนไว้ว่า กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในการเข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน การบริการของรัฐ  และสวัสดิการสังคมที่มีคุณภาพ อย่างเสมอภาค ทั่วถึง และเป็นธรรม เพื่อการดำรงชีวิตอย่างปกติสุข  โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม เป็นต้น

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

การแก้ปัญหาความขัดแย้ง.. ด้วยวิธีการไม่ขัดแย้ง.. อย่างไร!?

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา... พระพุทธเจ้าของเราได้ประทานหลักธรรมเป็นไป.. เพื่อความรัก.. ความระลึกถึงกัน.. ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ชัยชนะ (ไม่เป็นโทษ) .. ในสงครามเพื่อสันติภาพ!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา... มีคำกล่าวว่า.. สันติภาพ.. ไม่ใช่ภาวะที่ได้มาโดยง่าย.. แต่ต้องอาศัยการเตรียมพร้อมอย่าง มีสติและการกระทำอันถูกตรงธรรมอย่างกล้าหาญ..

ไทยก้าวใหม่ โชว์ฟิต ลุยเลือกตั้ง เปิดตัวผู้สมัครส.ส.-โชว์นโยบายรัวๆ

 “พรรคไทยก้าวไหม่”หนึ่งในพรรคการเมืองใหม่ที่เข้าสู่สนามการเลือกตั้งปี 2569 ซึ่งมี”ดร.เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์”เป็น หัวหน้าพรรคไทยก้าวใหม่ และมี “คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช อดีตรมช.ศึกษาธิการเป็นประธานที่ปรึกษาพรรคไทยก้าวใหม่”

เมื่อคน.. สังคม! .. ไร้คุณค่าความเป็นมนุษย์.. ประเทศชาติหายนะ!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธา.. คำว่า “ศรัทธา” ในพระพุทธศาสนา มีความหมายกินลึกลงไปมากกว่าความเชื่อโดยทั่วไป ด้วยต้องมีความรู้ความเข้าใจในคุณค่าของคุณสมบัติสิ่งนั้นๆ

สมดังเป็น .. “วีรกษัตรี มหาราชินี...” ของชาวไทย!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. โครงการร้อยใจไทย สืบสานราชธรรม ทั้งแผ่นดิน น้อมอุทิศถวายพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง