เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในยามสังคมชุลมุนวุ่นวายตื่นตูม.. การโต้เถียง การวิวาทะ จึงเกิดปรากฏ ด้วยทิฏฐิแห่งตนที่แฝงเข้ามาแสดงความเห็น ในการคิดรู้ตามวิสัยคนช่างคิดในสังคมไอที จึงไม่แปลกที่จะเกิดความหลากหลายในคำพูดทั้งที่ตรงและผิดแผกไปจากธรรม..
สมดังคำกล่าวที่ว่า..
“..ความรู้ที่เกิดจาก ความเห็น ย่อมปนเปื้อนมลทิน
ต่างกับความรู้ที่เกิดจาก การเห็น (จริง).. ที่นำไปสู่ปัญญาชอบ อันทำให้มลทินคือกิเลสสิ้นไป”
ความเห็นจึงเป็นเรื่องของทิฏฐิ.. ที่เรียกคำเต็มว่า มิจฉาทิฏฐิ.. เพราะตราบใดที่ยังเป็น ความรู้ ความเข้าใจ ในระดับความเห็น อันสำเร็จจากความคิดนึก ที่แสดงความยึดถือยึดมั่นในความเป็นตัวตน.. คือ มีผู้คิด ผู้นึก ที่เข้าไปทึกทักยึดถือว่า.. นี้เป็นความคิดเห็นของเรา.. นี้เป็นความคิดเรา!!
เมื่อมีความเห็นเช่นนี้.. คำกล่าวใดๆ ที่แม้จะเป็นธรรม ก็จะไม่ถูกธรรม.. ไม่ตรงธรรม ด้วยความเป็นธรรม.. ซึ่งแสดงความจริงให้เห็นว่า.. ความคิด ความเข้าใจ เหล่านั้น ยังไม่มีธรรม.. ไม่เป็นธรรม และยังไม่ถึงธรรม.. จึงไม่สามารถสร้างธรรมให้เกิดขึ้นได้จริง.. และเมื่อสร้างธรรมให้เกิดขึ้นไม่ได้จริง จึงนำไปสู่ความฟุ้งซ่าน.. ก่อความหลากหลายในการนึกคิดพูด.. ซึ่งที่สุด ก็ย่อมหนีไม่พ้นวิวาทะ.. หาความสงบสุขไม่ได้..
กล่าวได้ว่า.. ความเห็นดังกล่าวเป็นความรู้ปลอมๆ ของบัณฑิตปลอมๆ.. ที่เป็น โมฆบุรุษ ก็ว่าได้
แต่ในทางตรงข้าม หากแปล ความเห็นเป็นการเห็นจริงตามธรรมดา คำพูด..คำกล่าวใดๆ ที่เกิดจากการเห็นจริง.. ย่อมเป็นธรรมดาที่แสดงความเป็นธรรมดา.. ปกติของสภาพธรรมนั้นๆ ก่อให้เกิดปัญญาชอบ เมื่อพิจารณาโดยแยบคายจนสามารถ เข้าถึงความรู้จริงจากการเห็นจริงนั้น .. ได้จริง ก็ย่อมมีวาทะที่เป็นธรรม ที่จักนำไปสู่ความสงบสุข..
ผู้ที่รู้จริง.. จากการเห็นจริง จึงย่อมกล่าว ย่อมแสดงออก อย่างมีธรรมและเป็นธรรม.. จะไม่กล่าวขัดแย้งคลาดเคลื่อนไปจากธรรม..
..ผู้กล่าวเป็นธรรม.. จึงไม่ขัดแย้งกับใครๆ ในโลกนี้ .. สมดังพระพุทธภาษิตที่ว่า..
นาหํ ภิกฺขเว โลเกน วิวทามิ
แปลความว่า ภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตย่อมไม่ขัดแย้งกับชาวโลก แต่ชาวโลกย่อมขัดแย้งกับเรา
ธรรมวาที ย่อมไม่ขัดแย้งกับใครๆ ในโลกนี้
คำว่า.. ธรรมวาที คือ คำกล่าวที่เป็น สัจธรรม จึงเป็นหัวใจสำคัญของคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนา ที่ยกธรรมเป็นธง ยกธรรมเป็นยอด.. ยกธรรมเป็นใหญ่.. ที่ไม่ว่ากาลใดสมัยใด ก็คงความเป็นเช่นนี้.. ไม่มีอะไรๆ.. ที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปจากความเป็นจริงได้ สมกับคำว่าธรรมในพระพุทธศาสนา เป็น อกาลิโก...
สัจธรรม.. ในฐานะสมบัติอันยิ่งของมนุษยชาตินั้น นอกเหนือจะเป็นความจริงแท้ไม่แปรผันไปตามเหตุปัจจัยใดๆ แล้ว ยังเป็นความจริงที่ให้คุณประโยชน์ ไม่เป็นโทษ มีความดีและความสวยงามประกอบเป็นลักษณะให้เห็นว่า.. สัจธรรมนั้นเป็นความจริงที่สวยงามของมนุษยชาติ..
ถึงแม้ว่า.. โลกนี้จะเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย.. และเป็นเหตุทำให้ทุกสรรพสิ่งต้องปรับเปลี่ยนตาม เพื่อสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงไปของโลก ดังที่เกิดทฤษฎีวิวัฒนาการที่ว่า..
“เผ่าพันธุ์ที่อยู่รอด.. ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่เข้มแข็งที่สุดหรือฉลาดที่สุด ..แต่เป็นเผ่าพันธุ์ที่ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุด..”
แต่นั่นเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพธรรมภายนอก หาใช่การปรับเปลี่ยนคุณธรรมความดี.. ทำลายล้างซึ่งสัจธรรมได้ไม่...
เพราะ สัจธรรม.. ที่ย่อลงเป็น ศีลธรรม ย่อมเป็น อมตธรรม.. ที่ไม่มีอำนาจใดๆ ในโลกทำลายล้างให้สิ้นไปได้ ไม่ว่ากาลใดสมัยใด..
จึงเกิดทฤษฎีการใช้อำนาจ.. ที่ต้องเป็นธรรมเสมอ.. ซึ่งแม้ว่า อำนาจจะมีอิทธิพลทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นและเป็นไป.. แต่อำนาจนั้นจะต้องอาศัยธรรม.. หากผิดไปจากธรรม.. จะไม่เรียกว่า อำนาจธรรม
ดังไม่มีคำกล่าวใดๆ ที่เป็นสัจธรรมว่า.. อำนาจ อธรรม.. จะมีแต่ อำนาจธรรม เท่านั้น และแม้จะกล่าวว่า อำนาจเป็นใหญ่ในโลก (วโส อิสฺสริยํ โลเก) แต่ในอำนาจทั้งปวงในโลก อำนาจกรรมยิ่งใหญ่ที่สุด.. เพราะอำนาจแห่งกรรมมีกฎเกณฑ์.. เป็นนิยามแน่นอนตายตัว ที่แสดงความเป็นสัจธรรมในการให้ผลตอบแทนคืนเจ้าของกรรมนั้นๆ.. อย่างแน่นอน ไม่ลบเลือน บิดเบือน เสื่อมสูญไปตามกาลเวลา.. สมดังคำกล่าวที่ว่า..
“เหนือบุญ คือ กรรม.. เหนือกรรม คือ ปัญญา”
การสร้างความเห็นที่ถูกต้อง ด้วยการรู้เห็นตามความเป็นจริง ด้วย อำนาจสติ สัมปชัญญะ และความเพียรชอบ จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งต่อการศึกษาเพื่อพัฒนาชีวิตของมนุษยชาติ... ที่พระพุทธศาสนาให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งว่า.. มนุษย์สามารถพัฒนาตน.. เพื่อแก้ไขปัญหาของตนด้วยตนเองได้เสมอ หากมนุษยชาติมีความรู้.. ความเข้าใจในธรรม มีธรรม.. เป็นธรรม.. ซึ่งความรู้.. ความเข้าใจในธรรมนั้น.. จึงนำไปสู่การมีสัมมาทิฏฐิ ที่เกิดจากการพัฒนาจิตใจให้รู้เห็นธรรมตามความเป็นจริง จนก่อเกิดปัญญาอันชอบ.. ซึ่งขอย้ำอีกครั้งว่า.. ความรู้ที่เกิดจากการเห็นเป็นปัญญา ย่อมแตกต่างจาก ความรู้ที่เกิดจากความเห็นของตน.. ที่ยังเป็นทิฏฐิ (มิจฉาทิฏฐิ) ซึ่งแม้ว่าจะกล่าวว่า.. พูดตรงตามธรรม.. ถูกต้องตามบัญญัติ
จึงไม่แปลกที่จะได้เห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในสังคมมนุษยชาติอีกครั้ง เมื่อเกิดความสำเร็จความรู้ด้วยการนึกคิดตามความเห็น (ทิฏฐิ) ของตน..
ดังได้เห็นบทบาทการแสดงออกของบุคคลในสังคมที่สวนทางกับกระแสธรรม.. แม้กล่าวอ้างว่าเจริญธรรมในทุกฐานะ เพศ.. อันไม่เป็นไปเพื่อปลง.. ปลด.. ปล่อย.. ละออกจากการยึดถือยึดมั่น ละออกจากความผูกพันในโลกธรรม คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข...
การกระทำใดๆ จึงยังมุ่งไปสู่การแสวงหา เพื่อตอบสนองตัณหา โดย วิธีการเรี่ยไร ปล้นทรัพย์ ล้วงทรัพย์.. หรือด้วยอุบายวิธีต่างๆ นานา... ที่ไม่ได้แตกต่างกันระหว่าง พระทุศีลกับคนทุศีล.. นักบวชเลวกับชาวบ้านเลว.. ทั้งนี้ เพราะฤทธิ์เดชของ มิจฉาทิฏฐิ .. ที่ก่อเกิดจากอำนาจอวิชชา.. เป็นเหตุปัจจัย
พระพุทธศาสนาของเราสั่งสอนให้ชาวพุทธ มีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ และสัมมาปฏิบัติ.. เพื่อการดำเนินไปสู่จุดมุ่งหมาย คือ ความดับทุกข์ ไม่ใช่สร้างเรื่องวุ่นวายไปวันๆ อย่างไร้ความสงบสุขแม้ในตนเอง จึงแสดงให้เห็นถึงอำนาจธรรมแห่งสัมมาทิฏฐิ.. โดยกล่าวในความเป็นตรงข้าม ให้เห็นโทษของความไม่มีสัมมาทิฏฐิว่า...
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลคนเดียว เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ไม่เป็นความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความพินาศ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความทุกข์แก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย บุคคลคนเดียว คือ บุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ
เขาย่อมมีความเห็นวิปริต เขาย่อมทำให้คนจำนวนมาก ออกจากสัทธรรม แล้วตั้งอยู่ในอสัทธรรม”
จึงเป็นเรื่องธรรมดา.. หากสังคมมนุษยชาติจะวุ่นวายและโกลาหลยิ่งขึ้น.. เมื่อปรากฏ มิจฉาทิฏฐิบุคคล เหล่านี้เกิดมีมากขึ้นในสังคม โดยเฉพาะเมื่อได้ฐานะอำนาจหน้าที่ในฐานะเป็นผู้นำ.. ผู้ปกครอง หมู่ชน..
ยิ่งมีอำนาจในบทบาทหน้าที่มากเท่าไร.. ยิ่งแสดงภัยคุกคามสังคมมนุษยชาติมากเท่านั้น.. ดังที่คนเหล่านี้ชอบพูดติดปากว่า.. “นับแต่วินาทีนี้ จึงอย่าหวังว่า ทุกคนจะได้มีความสุข.. ความสงบ ดังแต่ก่อน...”
ดังนั้นจึงไม่แปลก เมื่อคนชั่ว.. คนเลว.. อาภัพบุคคล เหล่านี้ จะไม่คิดอะไร ทำอะไร พูดอะไร ที่เป็นธรรมเลย.. จะขัดแย้งต่อธรรมทั้งหมด.. และจะพยายามทุกวิถีทางที่จะลบทิ้งศีลธรรมให้สิ้นไปจากโลกนี้... ด้วยอัปรีย์บุคคลเหล่านี้เกิดมา.. เพื่อการสร้างความฉิบหายให้กับโลก.. เพื่อการทำลายมนุษยชาติให้สูญหายไปจากอารยธรรมเพียงอย่างเดียว.. เขาเหล่านั้นจะไม่ทำอะไรๆ ที่เป็นไปเพื่อความสร้างสรรค์.. ความสงบสุขให้กับสังคมมนุษยชาติ แม้จะเป็นแผ่นดินเกิดของตนเอง.. นั่นเป็นความจริงที่ปรากฏในสังคมโลกยามนี้ที่ชาวโลกต้องเผชิญ.. ในสถานการณ์ที่ PM ๒.๕ แพร่ระบาด ทำลายล้างระบบดุลยภาพของสังคมสิ่งแวดล้อมไปทั่วโลก.. ไม่เว้นแม้กระทั่งประเทศสวยงามที่เคยอุดมสมบูรณ์ด้วยธรรมชาติสิ่งแวดล้อมอย่างบ้านเรา...
เจริญพร
dhamma_araya@hotmail.com
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สืบเนื่อง .. จากงานมาฆบูชาโลก .. เวฬุวัน/อินเดีย!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา ระหว่าง ๑๐-๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ ได้เดินทางไปอินเดีย หรือชมพูทวีปในอดีต เพื่อจัดงานมาฆบูชาโลก ณ เวฬุวันมหาวิหาร วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา แห่งพระนครราชคฤห์ แคว้นมคธ/รัฐพิหาร อินเดียปัจจุบัน ซึ่งในปีนี้ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ตรงกับ วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ มาฆบูชาฤกษ์
ร่างพ.ร.บ.ชาติพันธุ์ฯ อีกหมุดหมาย สร้างความเท่าเทียมในสังคมไทย
เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2568 ที่ผ่านมา ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติเสียงข้างมาก เห็นชอบ “ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. … “ในวาระสาม ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 312 ต่อ 84 เสียง
ดีลลับทักษิณ ยังอยู่หรือจบแล้ว? แนะล็อกเป้า นายกฯคนเดียว
หลังการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) ทำการตัดการจ่ายไฟไปที่เมียนมา เมื่อวันพุธที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา ตามมติสภาความมั่นคงชาติ(สมช.) เพื่อสกัดการดำเนินธุรกิจของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ
สืบเนื่องโครงการร้อยใจไทย สืบสานราชธรรม... ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา การจัดงานโครงการร้อยใจไทย สืบสานราชธรรม ทั้งแผ่นดิน ถวายเป็นพระราชกุศลฯ ณ จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
'แก้วสรร' แพร่บทความ 'มาตรฐานการใช้อำนาจหน้าที่ ตามมาตรา 157'
นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ และอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ออกบทความเรื่อง “มาตรฐานการใช้อำนาจหน้าที่” ตามมาตรา ๑๕๗
ตรวจแนวรบเมียนมา มังกรสยายปีก..จีนเทายังเบ่งบาน?
หลังการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) ทำการตัดการจ่ายไฟไปที่เมียนมา เมื่อวันพุธที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา ตามมติสภาความมั่นคงชาติ(สมช.) เพื่อสกัดการดำเนินธุรกิจของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ