ปกติแล้วโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัสส่วนมาก มันมักจะมาไวไปไว วูบวาบ ถ้ารุนแรงก็มักไม่ระบาดไปไกล ถ้าติดต่อง่าย มักจะไม่รุนแรง และ มันมักอยู่กับเราไม่นานก็จางหายไป หรือ กลายเป็นโรคประจำถิ่น หรือ โรคตามฤดูกาลไปในที่สุด….
แต่สำหรับโควิด-19 ที่ยังอยู่กับเรามายาวนานจนชักจะเบื่อ ก็ยังไม่มีทีท่าว่ามันจะไป..ทั่วทั้งโลกยังคงระบาดรอบใหม่รอบแล้วรอบอีก..จะจบเมื่อไร…และจบอย่างไร..ไม่มีใครให้คำตอบได้…
ขณะนี้ความหวังสุดท้ายของมวลมนุษย์ จึงเหลืออยู่แค่ 3ทาง คือ
1.โคโรนาไวรัสโควิด-19 เปลี่ยนใจ หรือ แผ่วไปเอง…(ตามที่นักวิชาการหลายท่านคาดหวังกับเจ้าโอมิครอน..)
2.มีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพครอบคลุมการกลายพันธุ์ของโควิด-19ทุกสายพันธุ์ และครอบคุมมนุษย์ทั้งโลก
3.มียารักษาโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพ แบบง่ายๆ (Home-Use) ที่ใช้ได้กับทุกสายพันธุ์
อย่างไรก็ตามในระยะหลังนี้ เริ่มมีคนให้ความคิดเห็นออกมาในทำนองว่า สาเหตุที่โควิด-19 ยังไม่ยอมหยุดระบาด ก็เพราะมันยังไม่พอใจผลงานของมัน คือ มันยังทำหน้าที่ของมันยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์…
การเกิดโควิด-19ระบาดไปทั่วโลก ถ้าไม่ใช่เกิดจากเจตนา หรือความผิดพลาดจากน้ำมือมนุษย์…ก็ต้องเป็นความหายนะที่เกิดจากน้ำมือของธรรมชาติ…นักวิทยาศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมหลายท่านให้ความเห็นว่า..ทุกสรรพสิ่งที่มีชีวิตในโลกนี้ ล้วนมีประโยชน์และมีหน้าที่ของมัน รวมทั้งเจ้าโควิด-19ตัวนี้ด้วย มันถูกเข้าโปรแกรมมาโดยธรรมชาติ ให้ทำหน้าที่ของมันอย่างเคร่งครัด หน้าที่ส่วนใหญ่คือช่วยกันดูแลโลกให้เกิดภาวะสมดุลย์…
–หนอน แมลงสาบ หนู ทำหน้าที่กำจัดของเสียไม่ให้เกิดมลภาวะ….งูกำจัดหนูที่มีมากเกินควร…เสือ สิงโต ทำหน้าที่ลดปริมาณ ฝูงเก้ง กวาง สมัน ที่มีจำนวนมากเกินควร…ตั๊กแตนปาทังก้า จะยกพวกลงทำลายพืชไร่ที่ปลูกชนิดเดียวในปริมาณมาก แต่ถ้ามีการปลุกแบบผสมผสาน คละกันด้วยพืชหลายชนิดมันจะไม่มาทำลาย เพราะมันถือว่า สมดุลย์…ไข้หวัดนก ไข้หวัดหมู ก็เริ่มจากการเลี้ยงไก่ เลี้ยงหมูในปริมาณมาก และ แออัดจนเกินควร แม้กระทั่งโคโรนาไวรัสตัวนี้ก็ยังเลือกทำลายชีวิตมนุษย์ที่เสื่อมโทรม และ มนุษย์ทีมีจำนวนมากเกินควร…
สรุปแล้ว ทุกสรรพสิ่งล้วนมีประโยชน์และมีหน้าที่ของมัน ซึ่งต่างทำหน้าที่ของมันอย่างเคร่งครัด….
ยกเว้น นักการเมืองไทยบางคน บางฝ่ายที่ไร้แก่นสารหาประโยขน์อันใดมิได้ ที่มีหน้าที่ แต่ ”ไม่รู้หน้าที่”..เลยทำหน้าที่ผิดเพี้ยนไป ใฝ่แต่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง..บ้านเมืองของเราจึงวุ่นวายไม่สิ้นสุด!!…
ข้อมูลWildlifeจากThe Guardian(21/3/18)ชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่มีชีวีตในโลกนี้ 82%เป็นต้นไม้ 13%เป็นแบคทีเรีย และอีก5%เป็นสิ่งที่มีชีวิตอื่นๆ เผ่าพันธุ์มนุษย์เมื่อเทียบกับสิ่งที่มีชีวิตทั้งโลกจะมีจำนวนเพียง0.01%…
แต่มนุษย์สัดส่วนที่น้อยนิดได้ทำให้สัตว์ป่าและสัตว์น้ำที่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม(Wild & Marine Mammals)สูญพันธุ์ไปถึง83%และ80%ตามลำดับ และทำให้ต้นไม้สูญพันธุ์ไปถึง50% ปลาสูญพันธ์ไป15%…
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมในโลกนี้ มีมนุษย์อยู่ในนั้น 36% อีก 60% ถูกนำมาเลี้ยงเป็นอาหาร อีก4%ยังคงเป็นสัตว์ป่า ในขณะเดียวกันสัตว์ปีก70%ถูกนำมาเลี้ยงเป็นอาหาร อีก30%ยังคงเป็นสัตว์ป่า จะเห็นว่ามนุษย์เป็นตัวการทำให้ระบบนิเวศวิทยาเปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวง..
อุทกภัยครั้งใหญ่ของหลายประเทศในเวลาเกือบจะพร้อมกัน ณ.ช่วงเวลานี้ มันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากภัยพิบัติที่เป็นผลมาจากฝีมือของมนุษย์ทั้งสิ้น…โลกที่ร้อนขึ้นจากภาวะเรือนกระจก มีการพูดถึงกันมานาน ได้มีมติให้ทุกประเทศทั่วโลกช่วยกันแก้ปัญหา แต่ต้นตอที่ก่อปัญหาส่วนใหญ่ก็คือประเทศมหาอำนาจซึ่งต่างไม่มีความจริงใจที่จะช่วยกันแก้ปัญหากันอย่างจริงจัง เพราะต่างมุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตน…
ทำให้หวนนึกถึงประเทศไทย…ประเทศชาติเราก็มีสภาวะ…”เรือนกระจกทางการเมือง” มายาวนาน เราประสบ ”ภาวะประเทศร้อน”…อุณหภูมิสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง..แต่ดูเหมือนไม่มีคนไทยฝ่ายไหนจะมีความจริงใจที่จะช่วยกันแก้ปัญหากันอย่างจริงจัง..ต่างมุ่งแต่แสวงหาประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง ฉกฉวยความได้เปรียบทางการเมืองทุกวิถีทาง มุ่งทำลายล้างกันแบบขาดสติโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศชาติ การเมืองไทยมีพื้นฐานการทุจริตมาตั้งแต่การเลือกตั้ง..การซื้อสิทธิ์ขายเสียงถ้าไม่เริ่มต้นด้วยมีการซื้อก็คงไม่มีการขาย…การก้าวขี้นสู่อำนาจในรูปแบบเกลียดตัวกินไข่เกลียดปลาไหลกินน้ำแกงในลักษณะที่…สีขาวพึ่งสีเทา สีเทาพึ่งสีดำ เพราะสีเทาและสีดำจะเป็นตัวประสานผลประโยชน์
ในที่สุดขาวก็ต้องเกลือกกลั้วสีดำในที่สุด มีคำกล่าวว่า “ประเทศชาติจะไม่สามารถยิ่งใหญ่ได้อย่างแท้จริง ถ้าคนในชาติไร้ซึ่งคุณธรรมนำทาง..” A NATION CANNOT BE TRULY GREAT WITHOUT A MORAL COMPASS.” (Marcia Fudge) แต่สำหรับสภาพตามความเป็นจริงของประเทศไทยแล้ว การจะหาคนดีมีคุณธรรมแบบบริสุทธิ์ผุดผ่องปกครองบ้านเมืองในยามนี้คงเป็นไปได้ยาก เอาแค่ได้คนที่มีตำหนิน้อยที่สุดก็ถือว่าโชคดีแล้ว แต่การยอมรับของคนไทยคนไทยที่มีผู้นำปนเปื้อนก็คงมีความหลากหลาย บางส่วนอาจต้องการการสีขาวบริสุทธิ์ บางส่วนได้สีเทาก็พอรับได้ บางส่วนได้สีอะไรก็ได้ถ้าเขาได้ผลประโยชน์ (ใจถึงพึ่งได้ให้ประโยชน์) ทั้งนี้น่าจะขึ้นอยู่กับระดับการอบรมเลี้ยงดู ระดับการศึกษา เศรษฐานะ ประสบการณ์ชีวิต และวัยที่แตกต่างกันไป…
สรุปแล้ว ต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดน่าจะมาจากคุณภาพนักการเมืองที่ระบบไม่สามารถคัดกรองคนสีเทาและสีดำออกไปจากระบบได้ นักเลือกตั้งส่วนใหญ่ยังคงสามารถซื้อเสียงได้จนเป็นปกติแบบที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทันจนถือเป็นความชอบธรรมในที่สุด ขอย้ำอีกครั้ง สาเหตุเบื้องต้นก็คือนักการเมืองที่มุ่งใช้เงินเพื่อเข้าสู่อำนาจมากกว่าการใช้คุณความดี “ถ้าไม่มีการซื้อเสียง ก็จะไม่มีการขายเสียง” ดังนั้นการจะให้ระบบการเลือกตั้งและประชาชนช่วยคัดกรองนักการเมืองจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ทั่วทั้งระบบ…
สมมุติว่าถ้าประเทศชาติเรามีนักการเมืองที่มีคุณภาพ มีจิตสำนึกที่ยึดชาติเป็นศูนย์กลาง และประชาชนส่วนใหญ่ของเรามีความสามารถในการแยกแยะความถูก–ผิด ควร–ไม่ควรกันมากกว่านี้ ป่านนี้ประเทศชาติเราจะเจริญกว่านี้ไปอีกหลายร้อยเท่าตัว สติปัญญาและความสามารถของคนไทยนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าชาติอื่น แต่เรามาเสียเวลาไปกับการเดินหลงทางวนเวียนอยู่ในเขาวงกตแห่งความขัดแย้งและคอรัปชั่นภายในชาติมายาวนาน จากพื้นฐานการที่เรามีนักการเมืองที่ด้อยคุณภาพไม่มีการพัฒนา ในอดีตเป็นอย่างไรปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้น พฤติกรรมที่น่ารังเกียจ บิดเบือน ให้ร้ายป้ายสี วาทะกรรมโกหกมดเท็จ ทุจริตคดโกง ฉ้อราชบังหลวง ได้กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในสังคมการเมืองไทยทุกระดับ..ไม่ว่าฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และ ระดับท้องถิ่น…
เราจะแก้ปัญหากันอย่างไร
ระหว่างนักการเมืองกับประชาชนเราควรจะแก้ไขที่ใคร ถ้าเราแก้ปัญหาได้ทั้งสองฝ่ายได้ก็จะสมบูรณ์ที่สุด แต่การแก้ไขที่ประชาชนคงเป็นไปได้ยากแต่ถ้าแก้ได้จะยั่งยืน แต่ถ้ามองถึงต้นตอของปัญหาที่สร้างนิสัยที่ไม่ดีให้แก่ประชาชนทำให้ประชาชนขาดวิจารณญาณที่ควรจะเป็น นักการเมืองและระบบการคัดกรองนักการเมืองควรต้องได้รับแก้ไขเป็นลำดับแรก แต่จะถึงมีระบบหรือกฎหมายที่ดีเพียงใดก็ไม่สามารถป้องกันคนโกงได้ ดังนั้นการแก้ที่คน คือนักเลือกตั้งคือทางออก ส่วนจะแก้นักเลือกตั้งได้อย่างไรนั้นน่าจะเป็นเรื่องของประชาชนที่เป็นผู้เลือก ในที่สุดปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะแก้ปัญหาคุณภาพนักการเมืองไทย คือคุณภาพของประชาชน ดังคำกล่าวที่ว่า “ประชาชนเป็นอย่างไร ก็ได้ผู้แทนฯอย่างนั้น” ก็ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่ง ประเทศไทยเราจะมีประชาชนที่มีคุณภาพ สามารถเลือกนักการเมืองที่มีคุณภาพที่มุ่งสร้างความสามัคคีของคนในชาติและทำคุณให้แก่แผ่นดินเกิด…
“ความสมดุลของโลกมนุษย์ใบนี้” ควรเกิดจากการที่มนุษย์ทุกคนช่วยกันทำสิ่งดีให้แก่ประเทศชาติถิ่นเกิดและโลกใบนี้กัน โดยมิใช่ต้องให้ใครมาบังคับช่วยจัดระเบียบ แต่ควรเกิดจากจิตสำนึกความกตัญญูรู้คุณต่อประเทศชาติและโลกใบนี้ด้วยตนเอง…
จะมีประโยชน์อันใดเล่า ที่มวลมนุษย์พยายามสำรวจเสาะแสวงหาเพื่อนจากต่างดาวดวงแล้วดวงเล่า.. แต่แค่เพื่อนร่วมโลก…“เพื่อนร่วมชาติ” ที่ใกล้ชิดกัน เรากลับมุ่งลำลายล้างกันไม่หยุดหย่อน…ในอนาคต แม้ว่ามนุษย์อาจมีความสามารถไปอาศัยอยู่ในดาวดวงอื่นได้ แต่ถ้ามีมนุษย์ที่ไม่มีความเป็นมนุษย์ติดขึ้นไปแม้แค่คนเดียว ก็จะเป็นกรรมแก่ดาวดวงนั้นในที่สุด…
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้โควิด-19จะเก่งกาจเพียงใด ก็ยังเชื่อว่าในที่สุดมนุษย์จะสามารถจัดการได้อีกไม่นานเกินรอ แต่สิ่งที่ยากกว่าการจัดการโควิด คือ การจัดการความขัดแย้งภายในชาติ ซึ่งพื้นฐานมาจากการด้อยคุณภาพของนักการเมืองบางส่วน…
ปัจจุบัน…โควิด-19 ไม่ยอมไป การเมืองไทยไม่ยอมจบ
อนาคต…แม้โควิด-19 อาจจะจบไป แต่การเมืองไทยยังไม่น่าจะจบ….
โดย นายแพทย์ ชำนาญ ภู่เอี่ยม
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล เวทีพิจารณ์นโยบายสาธารณะ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดข้อมูล ‘ไวรัสโควิด’ สร้างได้ในห้องทดลอง มีจดสิทธิบัตรตั้งแต่ปี 2018
การสร้างไวรัสใหม่ชนิดนี้จะสามารถครอบคลุมไวรัสที่จะแพร่และเกิดโรคระบาดในมนุษย์ได้ทั้งสิ้น และสามารถที่จะสร้างวัคซีนให้มนุษย์ก่อนได้
ประสบการณ์เฉียดตายของดารารุ่นใหญ่ ‘อัล ปาชิโน’
โควิด-19 เกือบคร่าชีวิตของเขา - อัล ปาชิโน นักแสดงชาวอเมริกัน ล้มป่วยหนักเมื่อปี 2020 หนักมากจนเขาแทบเอาชีวิตไม่รอด
สุดสับสน! ปรากฏการณ์การเมืองไทย ยุครัฐบาล 'อิ๊งค์'
นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม อดีตสมาชิกวุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ว่า พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นพรรคร่วมรัฐบาลเฉพาะกลุ่ม สส. แต่หัวหน้าพรรคกลับถูกไล่ออกไม่ให้ร่วมด้วย
อดีตบิ๊กข่าวกรองบอกสิ้นหวังการเมืองวนในอ่าง!
นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
เอกชนห่วงการเมืองไม่นิ่ง นายกฯใหม่ภาพต้องดี หากยังเป็นนอมินี สุดท้ายประชาชนกระอัก
นายณรงค์ ตนานุวัฒน์ ประธานกิตติมศักดิ์หอการค้าภาคเหนือตอนบนเผยว่า เวลานี้ภาคเอกชนมีความกังวลกับสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่นิ่ง ล่าสุดนายกรัฐมนตรีต้องหลุดพ้นจากตำแหน่งอีกในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจและปัญหาต่างๆ
ประเทศชาติจะเปลี่ยนไป เมื่อคนไทยเปลี่ยนแปลง
ประเทศไทยจะอยู่กับวิกฤติการเมืองที่เลวร้าย หรือจะก้าวต่อไปสู่อนาคตที่ดีกว่า 2เส้นทางเดินสำคัญที่คนไทยจะต้องเลือกเดิน คือ…1.เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไป คนไทยต้องเปลี่ยนตาม(When the world changes and we change with it.) หรือ 2.เมื่อคนไทยเปลี่ยนแปลงไป ประเทศไทยก็จะเปลี่ยนตาม(When we change, the world changes.)