ความเสื่อม.. ที่ควรเห็น.. ก่อนตาย!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. มีคำกล่าวเป็นสุภาษิต ว่า ความเสื่อมของมนุษย์ ล้วนมีสาเหตุมาจากมนุษย์.. ความเสื่อมของสิ่งใดๆ .. ก็มีสาเหตุมาจากสิ่งนั้นๆ..

ความเสื่อมของคนเรานั้น ในพระพุทธศาสนากล่าวระบุไว้ชัดเจนว่า มาจาก การประกอบอกุศลกรรม เช่นเดียวกับความเจริญของคนเรา ที่มาจากการกระทำ กุศลกรรม

ในเบื้องต้นของคนเรา จึงต้องฝึกฝนตนเองให้ประกอบ อยู่ในกุศลกรรม ๑๐.. และละอกุศลกรรม ๑๐.. ซึ่งเป็นพื้นฐานคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนา ที่ว่าด้วยการพัฒนาตนเองให้ถึงพร้อมด้วยคุณธรรมความดี ก่อนจะศึกษาปฏิบัติธรรมให้สูงขึ้น

สิ่งที่น่าพิจารณายิ่งของความเสื่อม..ความเจริญ จึงอยู่ที่ มโนกรรม.. ซึ่งเมื่อใดปล่อยปละละเลยให้กิเลสเข้าครอบงำ ความเสื่อมก็ย่อมเกิดขึ้นในจิตใจ มโนกรรมเป็นอกุศลก็จักก่อเกิด..

..อภิชฌา ความเพ่งเล็งอยากได้ของผู้อื่น

..พยาบาท ความคิดที่จะทำร้ายผู้อื่น

..มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม

จึงเป็นต้นเหตุ..ต้นทาง ให้ กาย วาจา เป็นอกุศลกรรม ประพฤติผิดศีลธรรมอย่างไม่เกรงกลัวกฎแห่งกรรม.. เพราะอำนาจ มิจฉาทิฏฐิ.. ที่นำไปสู่ความประมาทในธรรม.. ไม่เชื่อในกฎเกณฑ์กรรมนั้น..

คนเรา เมื่อปฏิเสธกฎเกณฑ์กรรมแล้ว.. ก็ยากที่อะไรๆ จะมาต้านทาน ยับยั้ง การคิด พูด ที่เป็นไปในแนวอกุศลกรรมได้ คนเหล่านั้นจึงรื่นเริงอยู่กับการคิด พูด ทำ แบบชั่วๆ เลวๆ ไร้ความละอาย.. ไม่กลัวเกรงผลแห่งกรรมที่จะตอบแทนคืนกลับมาสู่ผู้กระทำ

นั้นเป็นเรื่องปกติ.. หากคนในครอบครัว.. ในตระกูล ในสังคมประเทศชาตินั้น จะรื่นเริงสนุกสนานอยู่กับการกระทำความชั่ว ตราบที่ความชั่วยังไม่ให้ผลอย่างเต็มกำลัง ด้วยสาเหตุที่คนเรามีมิจฉาทิฏฐิ จึงปิดประตูกุศลกรรมทั้งปวง ทำให้นำไปสู่การกระทำความเลวร้ายลงไปยิ่งขึ้น ดังเช่น มีความกำหนัดในฐานะไม่ชอบธรรม ก่อเกิดความโลภอย่างไม่เลือกว่าถูกหรือผิด เพื่อสนองความกำหนัด ความพอใจขั้นที่ผิดไปจากธรรม.. ที่จะชักนำไปสู่การไม่ปฏิบัติชอบในสิ่งที่ควรกระทำทั้งปวง ในฐานะสัตว์ประเสริฐ.. เช่น การไม่เคารพ พ่อ แม่ สมณพราหมณ์.. ญาติผู้ใหญ่ในตระกูล.. ในสังคมประเทศชาตินั้นๆ.. ด้วยอิทธิพลของมิจฉาทิฏฐิ.. ที่ทำให้ขาดปัญญา.. ไร้ความเห็นชอบ จนนำไปสู่การสมสู่กันอย่างไม่เลือก.. ไร้ยางอาย ด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจในความถูกต้อง จนไม่เชื่อเรื่องของการทำความดี การแบ่งปันช่วยเหลือ การให้ผลของบุญบาปทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และความไม่เชื่อในชีวิตหลังความตาย..

คนเรา เมื่อไม่เชื่อ.. ก็ไม่กลัว..​ เมื่อไม่กลัว ก็ไม่เคารพ..​ เมื่อไม่เคารพ ก็ไม่ศรัทธา.. และเมื่อไม่ศรัทธา ก็จะไม่น้อมนำไปสู่การศึกษาปฏิบัติตาม.. จึงต้องดำเนินชีวิตไปในทางสนองตอบตัณหาความอยาก.. ที่สุดจึงประสบแต่ความเสื่อมลง.. และจักเสื่อมไปในทุกด้าน โดยเฉพาะเมื่อความดี.. บารมีที่เคยกระทำไว้เสื่อมไป..

ครั้งสมัยก่อนจะบวช.. เคยพิจารณาถึงการกระทำของตนเอง ที่ดำเนินไปตามกระแสโลกไปวันๆ.. อย่างดูเหมือนจะมีคุณค่า ว่า.. ถ้าขืนดำเนินชีวิตไปอย่างนี้ ที่สุดจักพบแต่ความเสื่อมหมดสิ้นไปซึ่งคุณความดีที่เคยสร้างสั่งสมมา.. และมีชีวิตอยู่อย่างไร้คุณค่า ทุกอย่างจะเสื่อมลง ไม่ว่า อายุ สมบัติ บริวาร ญาติมิตร.. คุณความดี บารมีธรรมที่เคยสร้างไว้แต่ปางก่อน...

บารมีธรรมที่เคยมีมา จะถูกเผาผลาญให้สิ้นไปอย่างไม่มีคุณค่า.. ที่สุดจะคงเหลือแต่ความเป็นคนชราที่น่าสมเพช ทุเรศ อย่างแน่นอน.. ใครๆ ก็คงไม่อยากคบ.. เพราะแม้แต่เราเอง ยังไม่อยากจะคบตนเองเลย..

วันหนึ่ง มีเสียงธรรมดังขึ้นมาในขณะเจริญสติภาวนาว่า.. หากไม่ออกบวชเพื่อบำเพ็ญเพียร ในฐานะพระภิกษุ ผู้เป็นสาวกในพระผู้มีพระภาคเจ้า.. งานก็จะไม่ให้ทำ บ้านก็จักไม่ให้อยู่.. (ถ้าไม่เชื่อก็ลองดู!!)

คำกล่าวดังกล่าว ทำให้เกิดความสะดุ้ง.. ตื่นขึ้นมาจากภาวะหลับใหลด้วยกิเลส ให้เกิด ความสังเวช ก่อเกิดความหน่ายในชีวิต.. ที่ดำเนินไปเหมือนมีสาระ แต่ไร้สาระ.. แลเห็นแต่ความเสื่อม เสมือนโปรยขี้แกลบลงไปในกองไฟ.. ที่ไหม้ทำลายจนสูญสิ้น

สมกับพุทธภาษิตที่กล่าวว่า.. โลกอันชรานำพาไปไม่ยั่งยืน.. ที่หมายถึง ชีวิตของเราที่แก่ เก่าคร่ำลงไปทุกๆ วัน.. เพื่อการสูญสิ้นสลาย..  โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน.. หมายถึง ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย.. ย่อมเกิดขึ้นกับทุกชีวิต.. ไม่มีใครๆ ที่จะมีอำนาจต่อกรกับกฎความเป็นจริงดังกล่าวได้.. ทุกชีวิตจักต้องตาย และจักต้องตาย..

โลกไม่มีอะไรเป็นของของตน.. ไม่ว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข.. เพราะแม้กระทั่งตนเองยังเอาตัวไม่รอด.. แล้วอะไรเล่าจะเป็นของของตน.. เหลียวซ้าย แลขวา มองดูที่สิ่งที่เป็นของเรา.. ล้วนแต่รอคอยความเสื่อมสิ้นสลายไป เหมือนกับเรา.. แม้เงินทองในบัญชีธนาคารก็รอการใช้จ่ายให้สูญสิ้นไป.. กล่าวโดยรวมว่า ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเรา รวมทั้งตัวเรา ที่สุดต้องแปรเปลี่ยนไปตามสภาพ.. เมื่อสิ้นกาละอย่างยากจะยึดถือยึดมั่น ห่วงหาอาลัยได้เลย..

ซึ่งสอดคล้องกับหลักธรรมข้อที่ ๓ ที่กล่าวว่า โลกไม่มีอะไรเป็นของของตน.. จักต้องละสิ่งทั้งปวงไปแม้ชีวิตนี้ที่เคยยึดถือยึดมั่นมาตลอดว่า เป็นของเรา เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา

สำคัญอย่างยิ่ง.. เมื่อพิจารณาลึกๆ ลงไปในชีวิตที่ผ่านมาและเป็นอยู่.. คือ โลกหรือชีวิตของเราไม่เคยอิ่ม.. ดังภาษิตที่ว่า.. โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา

หลักธรรมทั้ง ๔ ข้อ ชื่อว่า ธัมมุทเทส ที่พระพุทธเจ้าผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงไว้.. ได้ประกาศิตให้เกิดความคิดเห็นที่ถูกต้อง.. ให้ได้เห็นโทษภัยของโลกหรือชีวิตที่รกรุงรังไปด้วยอสาระ.. ตามกระแสของโลกียธรรม จนต้องกลับมานั่งทบทวนการดำเนินชีวิตของตนเองในเวลาที่ผ่านมา.. จนถึงปัจจุบันนั้นๆ ว่า มีอะไรเป็นแก่นสารสาระธรรมบ้าง..

ยิ่งเห็นความจริงของวันเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว กับการใช้ชีวิตที่ไม่มีคุณค่า.. เผาผลาญวันเวลาเล่นไปวันๆ.. อย่างไม่รู้ว่าจะใช้เวลาให้คุ้มค่ากับการมีชีวิต.. ในฐานะสัตว์ประเสริฐได้อย่างไรดี...

แม้จะตื่นเช้า หุงข้าวไปใส่บาตร ถวายสังฆทานตามวัดวาอารามต่างๆ.. จะสมาทานศีลแปด.. พักตามวัดยามค่ำคืนเพื่อเพ่งเพียรภาวนา.. แต่ก็ยังคาราคาซังอยู่กับวิถีความเป็นชาวบ้าน..ผู้ครองเรือน จนระลึกถึงคำกล่าวของพระเถระรูปหนึ่ง ชื่อหลวงพ่อแดง ที่มรณภาพไปแล้ว ที่เคยพูดใส่หูไว้ว่า.. “อย่ายืนคาประตูอยู่.. ให้เข้ามาเลย”.. จึงทำให้เกิดการตัดสินใจว่า.. คงถึงเวลาเดินทางสู่ภายในแล้วล่ะเรา.. ยิ่งวันหนึ่งหลังจากภาวนา ได้พักผ่อนอิริยาบถในตอนกลางวัน ประมาณหลังเที่ยง.. ได้ปรากฏมีเสียงที่มีอำนาจ ทรงพลัง ของผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่ กล่าวว่า... “ผู้ไม่มีวิชา เขาไปบวช ไปเรียน ผู้มีวิชา มานอนหลับอยู่ที่นี่...”

เสียงก้องกังวานดังกล่าว ช่างแทรกเข้าไปถึงจิตใจ ให้สะดุ้งตื่นจากอำนาจมัวเมา.. ลุกขึ้นมานั่งพิจารณาด้วยความละอาย.. นับเป็นความละอาย เป็นความสะดุ้งกลัวครั้งแรกของชีวิตที่เกิดขึ้นในจิตใจอย่างยอมรับโดยดุษฎีภาพ.. เป็นความละอายที่ทรงคุณค่ายิ่ง.. ที่นำไปสู่การตัดสินใจว่า ถึงเวลาแล้วที่ควรสละเพศเน่าๆ.. ไปสู่สมณเพศเพื่อศึกษาปฏิบัติธรรมตลอดชีวิต...

การอุทานในจิตใจส่วนลึกว่า.. เราพบเส้นทางชีวิตแท้จริงของเราแล้ว เริ่มเกิดจากเหตุการณ์ดังกล่าว.. โดยมีอีกหลายเรื่องราวที่ปรากฏ ทั้งจากภายในและภายนอก เพื่อเป็นแรงผลักดันให้เกิดการตัดสินใจเดินหน้าไปสู่เส้นทางประพฤติพรหมจรรย์.. อย่างไม่ถอยหลังกลับมาสู่วิถีชาวบ้าน ผู้ครองเรือนอีกต่อไป..

เสมือนสายฝนที่หลั่งไหลลงมาเป็นสายน้ำ.. จากสายน้ำเป็นหยาดน้ำ.. จากหยาดน้ำเป็นหยดน้ำที่ค่อยๆ ขาดเม็ด.. และสิ้นเม็ดน้ำไป ให้เหลือแต่ความสงบที่เหือดแห้งความอาลัยในโลก.. ก่อเกิดความแจ่มใส เสมือนฟ้าหลังฝน.. ให้อุทานในจิตใจว่า.. ถึงเวลาเดินทางไปสู่กระแสธรรมตามคำทำนายของครูบาอาจารย์ผู้ทรงคุณ ได้ปรากฏผลแล้ว..

จึงก่อเกิดความแจ่มใส ปีติยินดี ตั้งแต่ก่อนจะเข้าสู่สมณเพศ.. การเตรียมตัวให้ถึงพร้อม ทั้งศีลแปด นุ่มห่มผ้าขาว ร่วมเกือบ ๒ ปีจึงเกิดขึ้น พร้อมการวางแผน สละ สลัดทิ้ง ภาระหน้าที่ทางโลกอย่างเป็นระบบ.. โดยขอเล่นกับโลกครั้งสุดท้าย.. ก่อนที่จะไม่มีโอกาสกลับมาหยอกล้อเล่นกับโลกอีกต่อไป.. จนที่สุดได้ลาอุปสมบท.. และลาขาดจากทางโลกในขณะครองเพศสมณะตามแผนการ.. จนมุ่งดำเนินชีวิตปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง.. ตามป่า ภูเขา เรือนร้าง เกือบทั่วทุกภาค.. และมุ่งหน้าคืนกลับสู่ชมพูทวีป.. ตามจุดมุ่งหมาย เพื่อทำหน้าที่ฟื้นฟูพระพุทธศาสนาคืนกลับสู่ชมพูทวีป จึงเกิดขึ้น จนนำไปสู่การเรียกขานของชาวอินเดียว่า กูรู จี ถึงปัจจุบัน... ทั้งนี้ เพราะได้เล็งเห็นความเสื่อมของโลก.. ความเสื่อมของชีวิต.. และความเสื่อมของคุณธรรมความดี.. บารมีธรรมที่เกิดจากความประมาทในธรรม ด้วยอำนาจ มิจฉาทิฏฐิ ที่สัตว์โลกยากจะสลัดออกจากอำนาจอกุศลธรรมดังกล่าว...

วันนี้ เมื่อเห็นพฤติกรรมของคนเรา ที่มุ่งสู่การกระทำความเสื่อมด้วยอกุศลกรรม.. อย่างไม่สะดุ้งกลัว ไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรม.. จึงให้นึกสงสาร.. และระลึกถึงชีวิตตนเองที่เคยผ่านความเสื่อมมาก่อน...!!

 

เจริญพร

dhamma_araya@hotmail.com

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รัฐบาลแพทองธาร อยู่ไม่ครบปี บิ๊กป้อม ยังสู้-พปชร.เดินหน้าต่อ

เหลือเวลาอีกเพียง 3 สัปดาห์เศษ ปี 2567 ก็จะผ่านพ้นไปแล้วเพื่อเข้าสู่ปีใหม่ 2568 ซึ่งภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2567 เป็นอย่างไร และปีหน้า 2568 จะมีทิศทางเช่นไร เรื่องนี้มีมุมมองแนววิเคราะห์จาก

คานถล่ม ผู้บริสุทธิ์จบชีวิต 6 ราย กับ สำนึกของนักการเมืองไทย!

เช้าตรู่วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2567 เกิดโศกนาฏกรรมคานเหล็กยักษ์ที่ใช้สำหรับก่อสร้างทางยกระดับถนนพระราม 2 ถล่ม คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวน 6 ราย

ศึกเลือกตั้ง อบจ. 1 ก.พ. 68 Generation War พท.-ปชน. บารมีบ้านใหญ่ ขลังหรือเสื่อม?

การเมืองท้องถิ่นกับการเลือกตั้ง "นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด" (นายก อบจ.) ซึ่งที่ผ่านมามีการเลือกตั้งกันไปหลายจังหวัด ได้รับความสนใจจากแวดวงการเมืองอย่างมาก

อุทธัจจะ .. ในวังวนแห่งการตื่นธรรม .. ยุคไอที!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระรัตนตรัย... สัทธายะ ตะระติ โอฆัง.. บุคคลข้ามโอฆะได้ด้วยศรัทธา.. โอฆะ หมายถึง ห้วงน้ำ ที่มีกระแสเชี่ยวกราก พัดพาสัตว์ทั้งหลายให้ตกไปในกระแสน้ำนั้น ยากจะข้ามฝั่งไปได้