
ก่อนหน้าที่ดิฉันจะเข้าทำงานที่องค์การสหประชาชาติเมื่อเกือบ 8 ปีก่อน ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยได้ชื่นชมประเทศไทยมากนัก เพราะรถติดมากแทบทุกวัน มลภาวะเป็นพิษโดยเฉพาะช่วงรถติด อากาศก็ร้อนเหลือเกิน รัฐบาลก็เปลี่ยนบ่อย ไม่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ เจ๋ง ๆ ออกมาให้เห็น ตลาดหุ้นก็มีแต่ทรงกับทรุดและที่สำคัญดูเหมือนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมจะไม่ไปไหนเสียที
แต่ต้องยอมรับว่าหลังจากเข้าทำงานในองค์การสหประชาชาติ ได้คลุกคลีกับเพื่อนร่วมงานหลายประเทศ หลายวัฒนธรรม และได้ไป mission เพื่อช่วยเหลือประเทศต่าง ๆ ดิฉันกลับมีความรู้สึกที่เปลี่ยนไปมากเกี่ยวกับประเทศไทย คือรู้สึกโชคดีมากที่เป็นคนไทย และอยู่ในแผ่นดินไทย เพราะเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ดิฉันคิดว่าเมืองไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่มากอันดับต้น ๆ ของโลก ไทยแทบจะไม่มีภัยธรรมชาติ มีวัฒนธรรมที่โดดเด่น แหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม อาหารที่แสนอร่อย และคนไทยที่ส่วนใหญ่รักสงบมีน้ำใจ
ในแง่ภูมิศาสตร์ เราก็มีความได้เปรียบอย่างมาก กล่าวคือเป็นศูนย์กลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งทางบกและทางอากาศ พื้นที่ส่วนใหญ่ก็มีความอุดมสมบูรณ์มาก ภาคการเกษตรไทยมีความแข็งแกร่งและพร้อมที่จะตอบสนองความต้องการด้านความมั่นคงทางอาหารทั้งในและต่างประเทศ
สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ว่าไทยจะมีภูมิศาสตร์ที่เป็นต่อ สภาพแวดล้อมน่าอยู่ ไม่ได้มีสงคราม ภัยธรรมชาติ หรือปัญหาทางเศรษฐกิจการคลังใหญ่ ๆ แต่อันดับความน่าเชื่อถือของไทยก็ไม่ไปไหนเสียที
ดิฉันเคยเขียนบทความเรื่องอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยไว้ตั้งแต่ปี 2555 โดยวิเคราะห์สาเหตุที่อันดับความน่าเชื่อถือของไทยไม่ขยับไปไหนเลยหลังจากวิกฤตค่าเงินบาท แถมยังตกลงอีกเป็น BBB ในปีที่บทความออกเผยแพร่ ในตอนนั้น ดิฉันได้อธิบายถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้อันดับความน่าเชื่อถือของไทยไม่เคยกลับไปที่เกรด A (โดย Fitch Ratings) ซึ่งเป็นอันดับที่เราเคยได้ในช่วงก่อนวิกฤตค่าเงินบาท ปัจจัยหลัก ๆ ที่มีผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลในตอนนั้นได้แก่ ระดับรายได้ต่อหัวและอันดับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงการเมืองที่ยังขาดเสถียรภาพและนโยบายประชานิยม
ถึงตอนนี้เวลาผ่านไป 10 กว่าปี หลายท่านได้ตั้งคำถามกับดิฉันมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าทำไมประเทศไทยดูเหมือนยังไม่ไปไหนเสียที ทำไมหลังโควิดไทยจึงฟื้นตัวช้าขนาดนี้ ดิฉันจึงตัดสินใจกลับมาเขียนเรื่องนี้อีกครั้ง เพราะคำถามในวันนี้ ดูเหมือนจะไม่ต่างจากในอดีตมากนัก อันดับความน่าเชื่อถือของไทยเองไม่ได้กระเตื้องขึ้นเลยในรอบ 20 ปีนับแต่ปี 2547 ที่ ระดับ BBB+ (lower medium grade) หรือกลุ่มสุดท้ายของกลุ่มที่ลงทุนได้ (investment grade) และเหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็คล้ายเดิมเกือบทั้งหมด
ที่น่าเป็นห่วง คือ นอกจากโอกาสที่ไทยจะได้รับการเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือจะค่อนข้างริบหรี่แล้ว ล่าสุดในปีนี้ Fitch ยังมีมุมมองว่าไทยอาจจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือได้ จากปัญหาด้านการคลังภาครัฐที่มีต่อเนื่องโดยเฉพาะเรื่องสัดส่วนหนี้ภาครัฐต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ อยู่ที่ระดับ 64% ของ GDP และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีก รวมถึงเรื่องความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยซึ่งอาจฉุดรั้งการดำเนินนโยบายที่มีประสิทธิผลและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
หลายท่านคงจำกันได้ว่า เศรษฐกิจไทยเคยเติบโตอย่างก้าวกระโดดเฉลี่ย 9.5% ในช่วง 10 ปีก่อนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง (2530-2539) แต่หลังจากนั้นไทยก็กลับกลายเป็นประเทศที่มีการเจริญเติบโตต่ำลงมาก โดยเติบโตเฉลี่ยเพียง 3.5% ในช่วงปีหลังลดค่าเงินบาทถึงช่วงก่อนวิกฤตโควิด และหลังวิกฤตโควิดก็ฟื้นตัวอย่างเชื่องช้าโดยโตไม่ถึง 2% (2564-2566) และคาดว่าจะขยายตัวเพียง 2.7% ในปีนี้
ดิฉันคิดว่าปัญหาของไทยหยั่งรากลึกมากกว่าปัจจัยที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือใช้ในการประเมิน ไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้างในหลายด้าน ที่ทำให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและรายได้ของประชาชนอ่อนแอ ปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญสองประการที่ควรได้รับการแก้ไขเร่งด่วน คือ ปัญหาประชากรสูงวัยและปัญหาความเหลื่อมล้ำที่บั่นทอนกำลังซื้อชนชั้นกลาง
สังคมไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์แล้ว คือมีประชากรสูงวัยในสัดส่วน 20% ของประชากรทั้งหมด อัตราการเกิดของไทยก็เข้าขั้นวิกฤตแล้ว โดยปัจจุบันอัตราเด็กเกิด (6.7 ต่อประชากร 1 พันคน) มีน้อยกว่าอัตราการตาย (9.1 ต่อประชากร 1 พันคน) ไปเรียบร้อยแล้ว และหากปล่อยไปเช่นนี้ประชากรไทยอาจจะลดลงเหลือเพียง 30 กว่าล้านคนในอีก 60 ปีข้างหน้า
ความเหลือมล้ำก็เป็นอีกประเด็นที่ควรดูแล ปัจจุบันรัฐบาลมักใช้จ่ายเงินเพื่อผู้มีรายได้น้อย ขณะที่ชนชั้นกลางมักจะถูกลืมและเป็นกลุ่มที่ต้องแบกรับภาษีด้วย การนำภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ นอกจากจะทำให้คนชั้นกลางจนลงอย่างมากแล้ว ยังทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำมากที่สุดในรอบ 10 ปี (คาดการณ์ว่าจะติดลบถึง 20% ในปี 2567)
พูดถึงเรื่องความเหลื่อมล้ำ คนไทย 66 ล้านคน มีคนจ่ายภาษีจริงๆ เพียง 4 ล้านคน และคนที่จ่ายทั้งภาษีเงินได้และภาษีที่ดินก็มีน้อยกว่านี้มาก ชนชั้นกลางที่ถือครองที่ดินที่มีรายได้น้อยแต่โดนรีดภาษีทั้งสองประเภท เป็นกลุ่มคนที่แบกรับภาระภาษีของประเทศนี้อย่างเต็มที่ การเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ได้เป็นไปตามความสามารถในการจ่ายภาษีของประชาชนจะส่งผลให้ทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์และคนไทยชั้นกลางล่มสลายในอนาคตอันใกล้ และที่ดินของประเทศก็มีแนวโน้มตกไปอยู่กับคนรวยที่มีความสามารถพัฒนาที่ดินหรือกลุ่มทุนต่างชาติ ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่น่ากลัวในอนาคตจึงอาจไม่ได้อยู่ระหว่างคนรวยกับคนจน แต่อยู่ระหว่างชนชั้นกลางกับคนกลุ่มอื่นๆ
อย่างไรก็ดี ดิฉันเชื่อว่า ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งเหมือนในอดีต แต่รัฐบาลต้องหันมาให้ความสำคัญกับนโยบายเพิ่มรายได้ที่ยั่งยืนและแก้ปัญหาอย่างตรงจุด โดยเฉพาะมาตรการส่งเสริมการเพิ่มประชากรอย่างเร่งด่วน รวมถึงพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอีกครั้งให้สอดคล้องกับความสามารถในการเสียภาษีจริง เหล่านี้จะช่วยพลิกฟื้นอำนาจซื้อของชนชั้นกลางและภาคอสังหาริมทรัยพ์ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญ ในด้านการใช้จ่าย รัฐบาลควรใช้จ่ายเงินให้มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าอย่างทั่วถึงในทุกกลุ่ม เพื่อกระตุ้นรายได้และกำลังซื้อของประชาชน ลดภาระการคลังในระยะปานกลางและระยะยาว ส่งเสริมให้เศรษฐกิจไทยได้เติบโตอย่างยั่งยืน
เวทีพิจารณ์นโยบายสาธารณะ
ดร เทียนทิพ สุพานิช
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รัฐบาลเปิดศึก! กวาดล้างสินค้าผิดกฎหมาย-ธุรกิจนอมินี มูลค่าความเสียหายทะลุ 1.2 พันล้าน
รัฐบาลเดินหน้ากวาดล้างธุรกิจต่างชาติผิดกฎหมาย จัดการสินค้านำเข้าผิดกฎหมายและธุรกิจนอมินีของต่างชาติ มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 1.2 พันล้านบาท พร้อมเปิดช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแสการกระทำผิด
รัฐบาลโวเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกจีดีพีทะลุเป้าแน่!
รัฐบาล มั่นใจเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกคึกคัก หลังการท่องเที่ยวฮอตฮิต แค่ 2 เดือนทะลุ 7.6 ล้านคน คาดดันจีดีพีไตรมาสแรกทะลุเป้าเกิน 3.3% แน่นอน
นายกฯ ขออย่าเพิ่งท้อแม้ 'จีดีพี' รั้งท้ายอาเซียน
นายกฯ ขอ อย่าเพิ่งท้อจีดีพีรั้งท้ายอาเซียน ติงอย่าเล่นเกมการเมืองต่างประเทศ ลั่นเป็นนายกฯดูแลทั่วปท. รับท้อบ้าง แต่ไม่นาน
โพลชี้ ศก.ฝืดเคือง รัฐบาลทำงานไร้ประสิทธิภาพ ชี้แจกเงินหมื่นก็ไม่ช่วย
“สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “คนไทยกับภาวะเศรษฐกิจ ณ วันนี้” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,141 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 18-21 กุมภาพันธ์ 2568
ยาสารพัดนึก! สว.นันทนาบอกเศรษฐกิจไทยวิกฤตต้องรื้อโครงสร้างแก้ รธน.ถึงช่วยได้
ดร.นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา (สว.)
ขวางไม่อยู่แล้ว! ร่าง กม.กาสิโน 50 วันใกล้เสร็จ รอ 'ครม.' ไฟเขียวต้นมีนาคม
ร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนฯ จ่อเสร็จทันกรอบ 50 วัน เลขาฯกฤษฎีกาเผยปรับรายละเอียดแล้ว เหลือแค่รอครม.พิจารณาต้นมีนาคม ด้านสัดส่วนกาสิโนยังไม่นิ่ง แต่อาจไม่เกิน 10% ของพื้นที่ ระบุนักลงทุนต้องมีเงินทุนขั้นต่ำ 100,000 ล้าน และจ่ายค่าใบอนุญาต 5,000 ล้าน ส่วนประเด็นประชามติ ขึ้นอยู่กับรัฐบาล ไม่ใช่หน้าที่กฤษฎีกา