เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา นับตั้งแต่ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ จนถึง ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ในปีนี้ ซึ่งอยู่ระหว่าง ๑๘ ตุลาคม-๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ในพระพุทธศาสนานับเป็นหนึ่งเดือนของการแสวงหาผ้าของพระสงฆ์ที่อยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือนในพรรษาแรกของปีนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า.. เป็นฤดูกาลแห่งการเปลี่ยนผ้าของพระสงฆ์.. ที่ตรงกับการถวายผ้ากฐินในหนึ่งเดือนหลังปวารณา-ออกพรรษาของศรัทธาสาธุชน ที่เป็นประเพณีนิยมของชาวพุทธในการจัดหาผ้าและบริวารทั้งหลาย ไปถวายแด่พระสงฆ์ที่เคารพศรัทธาอยู่จำพรรษาครบถ้วนในวัดนั้นๆ...
การถวายผ้ากฐิน..ในพระธรรมวินัย ที่สืบเนื่องมายาวนานตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยพุทธานุญาตให้พระสงฆ์อยู่จำพรรษาครบถ้วนไตรมาสในพรรษาแรก สามารถรับผ้าจากญาติโยมที่มีศรัทธาปสาทะได้.. โดยห้ามพระสงฆ์ไปแสดงสัญญาณเรียกหาหรือมีจิตน้อมลาภเข้ามา.. เพื่อจะได้นำมาเข้าสู่การสังฆกรรมด้วยญัตติทุติยกรรม.. เพื่อมอบผ้าให้กับพระรูปใดรูปหนึ่งที่มีความรู้ ความสามารถ มีความประพฤติเหมาะควร ทั้งต่อเพื่อนพรหมจรรย์และศรัทธาญาติโยมทั้งหลาย อีกทั้งเป็นผู้ครองจีวรเก่าคร่ำ-ทุพพลภาพ อันควรแก่การเปลี่ยนผ้าจีวรใหม่ในผืนใดผืนหนึ่งหรือทั้ง ๓ ผืนครบไตรจีวร ที่เรียกว่า จีวรครอง สำคัญยิ่ง คือ ต้องทำการกรานผ้ากฐินได้ (หมายถึง การตัด เย็บ ย้อม..) ในผ้าจีวรผืนใดผืนหนึ่ง.. ที่ถูกต้องตามพระวินัยนิยมบรมพุทธานุญาต เพื่อนำไปบริโภคใช้สอย...
ความสำคัญของการถวายผ้ากฐิน.. จึงอยู่ที่การผูกใจให้ความสำคัญกับการถวายผ้าผืนนั้น ที่นิยมเป็น ผ้าขาว ส่วนสิ่งของบริวารทั้งหลาย เป็นแค่องค์ประกอบของผ้ากฐิน.. ซึ่งฝ่ายผู้รับก็เช่นเดียวกัน จะต้องผูกใจรับผ้าขาวผืนนั้น ที่เรียกว่า ผ้ากฐิน เพื่อนำไปกรานกฐินตามธรรมวิธี
ในปัจจุบัน สิ่งที่ผันแปรไปจากธรรมเนียมปฏิบัติเพื่อสืบเนื่อง พุทธประเพณี อันทรงคุณค่า คือ การเปลี่ยนค่านิยม จาก ธรรมนิยม เป็น วัตถุนิยม..
ดังที่ได้เห็นความพึงใจจาก การได้ถวายวัตถุเงินทองสิ่งของมีค่าทั้งหลาย ที่ตนแสวงหามาได้โดยวิธีการต่างๆ นานา เพื่อมอบให้กับพระสงฆ์ในวัดนั้นๆ.. โดยละทิ้งความสำคัญในการผูกใจถวายผ้าแก่สงฆ์ จนทำให้การถวายผ้ากฐินมีอานิสงส์เปลี่ยนไป.. ไม่สำเร็จในบุญกิริยาที่พึงจะถึง.. พึงจะได้จากการถวายผ้ากฐิน..
แม้ฝ่ายพระสงฆ์.. หากมัวแต่ส่งจิตไปยินดีพอใจในยอดจำนวนเงินทองสิ่งของที่ญาติโยมถวายก็เช่นเดียวกัน.. โดยลืมผูกใจรับในผ้าขาว..ที่ถวาย แต่กลับไปผูกใจยินดีในเงินทองสิ่งของ ก็ย่อมทำให้การรับผ้ากฐิน ไม่เป็นการรับผ้ากฐิน.. ด้วยจิตใจที่ไปยินดีในวัตถุที่ไม่ควร ที่เรียกว่า ยอดกฐิน หรือ จำนวนเงินทองที่มีการน้อมถวาย ซึ่งนอกจากทำให้กฐินเดาะแล้ว ยังเป็นอาบัติหรือบาป.. ในการกระทำทุจริต ผิดพระวินัย ด้วยการไปส่งจิตยินดีในการรับวัตถุเงินทองสิ่งของต้องห้าม.. ที่ทรงบัญญัติไว้เป็นศีลของพระสงฆ์ ว่า ห้ามรับ.. ห้ามใช้ผู้อื่นรับ.. และห้ามยินดีในการที่ผู้อื่นรับเก็บไว้ให้กับตน..
ปัญหาของการไม่วางใจให้ถูกธรรม.. ไม่ประพฤติด้วยกาย วาจา ให้ถูกศีล.. ประกอบตนอยู่ในมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาปฏิบัติ.. จึงทำให้พระพุทธศาสนาเศร้าหมอง ผู้ที่เคยศรัทธาก็เสื่อมถอย.. ผู้ที่ยังไม่ศรัทธาก็ไม่ศรัทธา.... จึงกลายเป็น “โมฆบุรุษ” กับทุกฝ่าย พากันจูงมือลงไปเที่ยวอบายภูมิ ทุคติวินิบาต สัตว์นรก .. มากกว่าจะไปสวรรค์ชั้นฟ้า ตามที่โฆษกวัดบรรยายชักจูงให้หมู่คนที่ขาดความรู้ ความเข้าใจในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ช่วยกันควักเงินจากกระเป๋ากันออกมา เพื่อร่วมต่อยอดกฐิน.. ด้วยคำพูดทำนองลีลาที่เร้าใจ จนต้องยอมสละเงินทองที่มีอยู่ไม่มาก.. เพื่อหวังให้ได้มาในสิ่งที่ประสงค์ดัง โลกธรรม
เล่ห์กลในการใช้ภาษาของโฆษกลิ้นทองประจำวัดต่างๆ ที่พยายามสรรหาความมีสาระมาบังหน้าความไร้สาระ.. แฝงความไร้สาระในความมีสาระ จึงดำเนินไปอย่างเมามัน ด้วยยุทธวิธีที่เราท่านเมื่อได้ยินได้ฟังแล้วต้องหลงเคลิ้มใจอ่อนผ่อนไปตาม.. บางครั้งกว่าจะรู้สึกตัวก็สายเสียแล้ว.. นี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสังคมบ้านเรา..
น้อยนักที่จะได้พบคำพูดชักนำเข้าสู่กระแสบุญอย่างมีสาระธรรม.. ถูกต้อง ตรงตามพระธรรมวินัย ที่เรียบง่าย สวยงามในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด สงบ สะอาด น่าเลื่อมใส.. ให้จิตใจผ่องแผ้ว ดื่มด่ำในพระธรรมวินัย ที่หลวงพ่อ หลวงลุง หลวงน้า หลวงอา.. ท่านพากันตั้งใจบรรยาย ชี้ทางถูก ปิดทางผิด.. สรุปให้เห็นสาระธรรมแท้จริงของการถวายผ้ากฐิน ว่า ฝ่ายผู้รับควรกระทำอย่างไร.. ฝ่ายผู้ถวายควรกระทำอย่างไร ที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย เพื่อการเข้าถึงอานิสงส์ผลบุญแท้จริง.. ในพุทธศาสนาของเรา
แต่ดูเหมือนว่า เป็นเรื่องธรรมดาในสังคมสมัยนี้ ที่สิ่งดีๆ กำลังเปลี่ยนแปลงไป.. แม้จิตใจของผู้อ้างตนว่า เคารพธรรม.. ปฏิบัติธรรม.. จึงไม่ต้องกล่าวถึง ปุถุชน.. คนนิยมเสพกามทั้งหลาย ที่กำลังหลงใหลในพระเจ้าไอทีเป็นชีวิตจิตใจ
ยิ่งได้เห็น หลวงปู่.. หลวงพ่อ.. วัดป่า.. วัดปฏิบัติ.. ออกมาพูดกล่าวประกาศยอดกฐิน คือ จำนวนเงินที่คณะศรัทธาสาธุชน.. ได้ร่วมกันถวายว่าได้ ๕ ล้าน ๑๐ ล้าน ๒๐ ล้าน ๓๐ ล้านบาท.. ด้วยใบหน้าปีติยินดี.. ยิ่งให้เกิดความสังเวชใจ.. ว่า... โอ้หนอ!! .. แม้พระกรรมฐานสายปฏิบัติ.. ก็พากันใหลหลง.. ชักชวนกันมุ่งสู่อามิสบูชากันหมดแล้ว.. ทอดทิ้ง ธรรมปฏิบัติ ไว้เป็นแค่เครื่องหมายแขวนอยู่ด้านหน้าประตู.. ว่า.. เป็นวัดป่า.. วัดปฏิบัติ.. จึงไม่ต้องไปกล่าวถึง วัดบ้าน.. หรือวัดที่เจ้าคณะ.. เจ้าอาวาส..อีกหลายรูป กำลังมัวเมาอยู่กับลาภ ยศ ที่พระพุทธเจ้าทรงชี้ว่าเป็นภัยร้ายต่อการประพฤติพรหมจรรย์ของบรรพชิต
ความมักใหญ่ใฝ่สูงของผู้เข้ามาบวชในยุคนี้.. ไม่ว่าจะมากพรรษาหรือน้อยพรรษา.. จึงนำไปสู่พฤติกรรม.. พฤติจิต ที่ออกนอกแนวการปฏิบัติธรรม.. อันไม่ควรใช้คำว่า พระ เรียกนำหน้า
จึงเห็นการแสวงหา เพื่อหวังให้ได้มาซึ่งฐานะ โอกาส เพื่อประโยชน์ต่ำๆ แบบชาวบ้าน
การมุ่งแสวงหาด้วยอำนาจของตัณหาที่แก่กล้าของนักบวช จึงน่าเกลียดกว่าชาวบ้านที่มีชีวิตคลุกเคล้าอยู่กับกามคุณเป็นปกติ...
เมื่อมีการแสวงหา เพื่อให้ได้มา.. จึงได้เห็นการกระทำด้วยวิธีการต่างๆ นานา แม้จะทุจริตเบียดเบียนใคร.. ทำร้ายใคร ก็กระทำ
ความชั่วของนักบวชที่มีตำแหน่ง.. มียศศักดิ์ จึงน่ากลัวจริงๆ.. โดยเฉพาะในสมัยวัตถุนิยมร้อนแรง.. นักบวชเหล่านี้จึงมุ่งคิดแสวงหา แต่ลาภ ยศ สรรเสริญ.. อย่างไร้ยางอาย ดังปรากฏข่าวคาวฉาวโฉ่ทั้งที่มีให้เห็นและที่ยังปกปิดอยู่..
การไร้ความเป็นธรรมในระบบการปกครองของนักบวช.. จึงเกิดขึ้น ด้วยการแต่งตั้งนักบวชที่ยังอ่อนพรรษาอายุ.. ขาดความรู้ ความสามารถ ไม่มีประสบการณ์ ไปทำหน้าที่ปกครองหมู่เพื่อนพรหมจรรย์ใหญ่น้อย สำคัญยิ่ง คือ บางรูป บางองค์ ยังประพฤติปฏิบัติตนเลวๆ เหมือนคนทั่วไป..
จึงได้เห็นการกระทำที่ไม่สอดรับกับฐานะของผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ในฐานะนักบวชที่เข้ามาเพื่อ สละ ละ วาง คลายออก ไม่อาลัย
การกระทำความชั่ว.. การประพฤติผิดพระวินัย การเบียดเบียนผู้อื่น แม้แต่กับพระภิกษุที่หมู่ชนให้ความเคารพ.. ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ก็เกิดขึ้น.. ด้วยเหตุผลเพราะไม่ใช่พวกตนเอง.. ที่สำคัญ คือ กลัวว่าจะเป็นใหญ่ มีฐานะ โอกาส.. ลาภ ยศ สรรเสริญ มากกว่าตน... และที่วิตกกังวลที่สุดของคนพวกนี้ คือ กลัวจะสูญเสียฐานะ ตำแหน่ง เจ้าคณะ.. เจ้าปกครอง.. ไป..
การวางเส้นสายของหมู่ตน.. การเชื่อมโยงเข้าหานักบวชผู้ใหญ่ที่มีอำนาจวาสนา เกิดขึ้น..อย่างเป็นปกติ.. จึงได้เห็นพฤติกรรมของบุคคลในแวดวงนักบวช ว่า.. ไม่ธรรมดาเลย.. ไม่ได้แตกต่างไปจากคนทางโลก.. และบางครั้งเลวยิ่งกว่าคนทางโลก ที่กล่าวว่า.. “แม้คนทางโลกที่เลวๆ เขายังไม่ทำกัน...” จึงเป็นเรื่องที่ไม่ไกลเกินจริงเลยสำหรับในยุคสังคมสมัยนี้ ที่มีหมู่โจร.. เข้ามาปล้น ทำลาย พระพุทธศาสนากันมากขึ้น.. โดยเอ่ยอ้างว่า.. เพื่อทำหน้าที่สืบพระศาสนา!!.
เจริญพร
dhamma_araya@hotmail.com
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
’ห้าพันตารางกิโลเมตร‘ เท่ากับกี่ตารางนิ้ว ? เงื่อนตายของ MOU 2544 ?
MOU 2544 ไม่ใช่กรอบการเจรจาเพื่อหาข้อตกลง ”แบ่งผลประโยชน์(ปิโตรเลียม)“ เท่านั้น แต่หาข้อตกลง “แบ่งเขตแดน(ทะเล)“ ด้วย !
คำนูณ ผ่าปม 2 ได้ 3 เสีย ถ้าไม่ยกเลิก MOU 2544
ความเคลื่อนไหวและการแสดงความคิดเห็นเรื่อง MOU 2544 ที่เชื่อมโยงถึงเกาะกูด, การหาแหล่งพลังงานแห่งใหม่ในพื้นที่อ้างสิทธิไทย-กัมพูชา ที่มีการประเมินกันว่ามีมูลค่าสูงถึง 10 ล้านล้านบาท ยั
'แก้วสรร' แพร่บทความ 'นิติสงคราม' คืออะไร?
นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ อดีตรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ออกบทความเรื่อง “นิติสงคราม” คืออะไร???
อย่าได้ประมาทในธรรม.. “เมื่อใจตรง .. จะตรงใจ”..
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา.. เดินทางกลับมาจากอินเดีย เมื่อ ๗ พ.ย.๒๕๖๗.. ถึงกรุงเทพฯ ๘ พ.ย.๒๕๖๗ หลังจากไปร่วมประชุม “The First Asian Buddhist Summit 2024” ที่นิวเดลี งานนี้จัดโดยกระทรวงวัฒนธรรมและท่องเที่ยวของรัฐบาลอินเดีย
ขึ้นต้นก็(เขียน)ผิดแล้ว ! ว่าด้วยเส้น “ละติดจูด” ที่ 11° “E” ในเอกสารแนบท้าย MOU 2544
เขียนและพูดเรื่อง MOU 2544 มาหลายปี หลากมุมมอง ล่าสุดช่วงนี้ก็จำแนกข้อดีข้อเสีย รวมทั้งส่วนที่จะได้และส่วนที่จะเสียหากเจรจาสำเร็จ ล้วนหนัก ๆ ทั้งนั้น .
ไม่เลิก MOU 44 ได้สอง-เสียสาม !
คำถามของท่านนายกรัฐมนตรึเมื่อวันก่อนที่ว่าถ้าเราเลิก MOU 2544 แล้วจะ “ได้” อะไร ดูเหมือนท่านจะเห็นว่าเราจะ “ไม่ได้” อะไรเลยละกระมัง จึงสรุปว่าจะไม่เลิกและจะเดินหน้าต่อ