
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 กำหนดไว้ในหมวด 6: แนวนโยบายแห่งรัฐว่า รัฐต้องจัดให้มียุทธศาสตร์การพัฒนาชาติ โดยมีรายละเอียดตามมาตรา 65 ว่า รัฐพึงจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติเป็นเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนต่าง ๆ ให้สอดคล้องและบูรณาการกันเพื่อให้เกิดเป็นพลังผลักดันร่วมกันไปสู่เป้าหมายดังกล่าว … ทั้งนี้การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติให้ดำเนินการภายใต้กระบวนการ ซึ่งกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560
รัฐบาลของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี (พ.ศ. 2557- 2562) ได้จัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 6 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1) ด้านความมั่นคง 2) ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน 3) ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 4) ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม 5) ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ 6) ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ โดยกำหนดการประเมินผลการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติในภาพรวมไว้ 6 มิติ คือ 1) ความอยู่ดีมีสุขของคนไทยและสังคมไทย 2) ขีดความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาเศรษฐกิจ และการกระจายรายได้ 3) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ 4) ความเท่าเทียมและความเสมอภาคของสังคม 5) ความหลากหลายทางชีวภาพ คุณภาพสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ และ 6) ประสิทธิภาพการบริหารจัดการ และการเข้าถึงการให้บริการของภาครัฐ
บทความนี้ ต้องการนำเสนอการประเมินผลสัมฤทธิ์การพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติ เฉพาะประเด็นเรื่อง “การพัฒนายกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” ทั้งนี้ เนื่องจาก ความสามารถใน การแข่งขันของประเทศเป็นตัวชี้วัดซึ่งดำเนินการโดย สถาบันการจัดการนานาชาติ (International Institute for Management Development: IMD) ซึ่งเป็นองค์การที่ดำเนินการอย่างเป็นอิสระ มิได้อยู่ภายใต้ การควบคุมและกำกับของรัฐบาลไทย นอกจากนี้ ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ยังเป็นตัวชี้วัดที่กำหนดประเด็นการประเมินไว้อย่างครอบคลุม กล่าวคือ ประเมินจาก 4 ปัจจัยได้แก่ 1) สมรรถนะทางเศรษฐกิจ (Economic Performance) 2) ประสิทธิภาพภาครัฐ ( Government Efficiency) 3) ประสิทธิภาพภาคธุรกิจ (Business Efficiency) และ 4) โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ซึ่งทั้งสี่ปัจจัยดังกล่าวประกอบด้วยตัวชี้วัดจำนวนรวมทั้งสิ้น 334 ตัวชี้วัด
ภายใต้กรอบแนวคิดของ IMD ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หมายถึง ความสามารถของประเทศในการสร้างและรักษาสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ ให้เอื้อต่อการเสริมสร้างและพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ ทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่ความมั่งคั่งในระยะยาว การจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จึงไม่ควรพิจารณาเพียงมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ และผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ควรต้องพิจารณาครอบคลุมทั้งประเด็นการสร้างและรักษาปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาประเทศทั้งด้านการเมือง สังคม และวัฒนธรรม ให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นประเด็นสำคัญด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นมุมมองของการประเมินความสามารถในการแข่งขันของประเทศของ IMD จึงกำหนดตัวชี้วัดการประเมินอยู่บนพื้นฐานของหลักคิดของการที่ประเทศต้องมีปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจต่าง ๆ อย่างครอบคลุมในทุก ๆ ด้าน
ก่อนการเข้าสู่อำนาจรัฐของรัฐบาลของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี อันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย จากการประเมินของ IMD ซึ่งมีจำนวนประเทศทั้งหมด เข้ารับการประเมินเพื่อจัดอันดับจำนวนรวมทั้งสิ้น 60 ประเทศ (เขตเศรษฐกิจ) ประเทศไทยได้รับการประเมินจัดอันดับ อยู่ที่อันดับ 29 และอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในปีต่อ ๆ มาอยู่ที่อันดับ 30 (พ.ศ. 2558) อันดับ 28 (พ.ศ. 2559) อันดับ 27 (พ.ศ. 2560) และ อันดับ 30 (พ.ศ. 2561) ตามลำดับ
ต่อมาในช่วงรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (พ.ศ. 2562- 2566) อันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย อยู่ที่อันดับ 25 (พ.ศ. 2562) อันดับ 29 (พ.ศ. 2563) อันดับ 28 (พ.ศ. 2564) อันดับ 33 (พ.ศ. 2565 ) อันดับ 30 (พ.ศ. 2566 ) และ อันดับ 25 (พ.ศ. 2567)
กล่าวโดยสรุป ถ้านับปี พ.ศ. 2557 เป็นปีเริ่มต้นในการเปรียบเทียบ การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยใน ปี พ.ศ. 2557 อยู่ที่อันดับ 29 ผ่านมา 11 ปี (พ.ศ. 2557- 2567) อันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย มีอันดับดีขึ้น 4 อันดับ คือเลื่อนอันดับจากอันดับที่ 29 ขึ้นมาอยู่ที่อันดับที่ 25
แต่ถ้านับ ปี พ.ศ. 2562 เป็นปีเริ่มต้นในการเปรียบเทียบ (ช่วงรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา พ.ศ. 2562- 2566) ผ่านมาเป็นระยะเวลา 7 ปี อันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยยังรักษาอันดับไว้คงที่อยู่ที่ อันดับเดิมคืออันดับที่ 25 หรืออาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ในช่วงระยะเวลา 7 ปี (พ.ศ. 2562- 2567) ที่ผ่านมา การพัฒนาของประเทศไทย ถึงแม้ว่าจะมีการดำเนินการปฏิรูปประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561- 2580) แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยขึ้นมาเลย
ท่านที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมนอกเหนือจากในบทความนี้ แนะนำอ่านเพิ่มเติมได้ จากบทความทางวิชาการของผู้เขียนในหัวข้อเดียวกันนี้ ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการของคณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ดร.ณัฏฐ์ คลี่ปม 'กาสิโน' เตือนรัฐบาล 'ไทยเป็นเมืองพุทธ' ต้องระวัง!
“ดร.ณัฏฐ์” มือกฎหมายมหาชน ระบุบ่อนกาสิโน เศรษฐกิจใต้ดิน นำเข้าสู่ระบบภาษี รัฐบาลแพทองธาร ชิน
'รังสิมันต์' หนุนนายกฯ ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ยุบทิ้งกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ
นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า มีแนวโน้มจะปรับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เนื่องจากระยะเวลาอาจยาวนานไป และควรปรับเนื้อหาให้สอดคล้องต่อความเปลี่ยนแปลงของโลก ว่า จริงๆ เราก็พูดถึงเรื่องนี้มาโดยตลอด
การบริหารราชการแผ่นดิน: ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายการเมืองกับฝ่ายข้าราชการประจำ
ระบบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งก่อกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกา แบ่งอำนาจอธิปไตยออกเป็น 3 ฝ่ายคือ ฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) ฝ่ายนิติบัญญัติ (สภาฯ) และฝ่ายตุลาการ โดยมีระบบราชการเป็นกลไกสำคัญ รองรับการดำเนินการของอำนาจอธิปไตยทั้ง 3 ฝ่าย
'สถิตย์' แนะยุทธศาสตร์ชาติถึงฝั่ง จีดีพีต้องโตร้อยละ 5 ปรับวิธีจัดงบประมาณ
ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา มีการเสนอรายงานการดำเนินงานของคณะยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2565 โดยนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.
'ทนายถุงขนม' อ้างคำวินิจฉัยศาลรธน. เปิดช่องยกเลิกคำสั่ง คสช.
'พิชิต-ที่ปรึกษาของนายกฯ' ชี้ช่อง ยกเลิกคำสั่งคสช. อ้าง คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 30/2563 สอดคล้อง รัฐธรรมนูญมาตรา 77 และ มาตรา 279 เปิดช่องยกเลิกกฎหมายที่หมดความจำเป็น
'เศรษฐา' ทำคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสร็จสิ้นแล้ว!
'เศรษฐา' จัดทำนโยบายแถลงต่อรัฐสภาเสร็จแล้ว มีทั้งสิ้น 52 หน้า พิมพ์ 3,000 เล่ม ประเดิมด้วยประการศแต่งตั้งนายกฯ ก่อนร่ายนโยบาย