คิดว่าการที่ลูกจะฟังคำแนะนำจากพ่อ เป็นสิ่งที่สมควรอย่างยิ่งในครอบครัว แต่การทำงานในวันนี้ นายกฯไม่ได้เป็นลูกของคุณพ่อ แต่เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นนายกรัฐมนตรีที่ถูกจับตามอง ดังนั้นในฐานะที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล นายกรัฐมนตรีก็จำเป็น ที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่ โดยอาจจะปรึกษาคุณพ่อก็ได้ ไม่จำเป็นต้องให้สาธารณชนรับทราบ... ประชาชนมองว่าท่านคือนายกรัฐมนตรี ก็ต้องแสดงบทบาทของผู้นำประเทศลำพังให้ได้ โดยไม่มีเงาของคุณพ่อของท่านมาเกี่ยวข้อง
คาดหมายกันว่าภายในช่วงกลางเดือนกันยายนนี้ "รัฐบาล นส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี"จะเข้าบริหารประเทศอย่างเป็นทางการ หลังการจัดตั้งรัฐบาล-ฟอร์มครม.กำลังรุดหน้าไปเรื่อยๆ
มีเสียงสะท้อน-ข้อแนะนำจากสมาชิกวุฒิสภา-สภาสูง ถึงรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ต่อการบริหารราชการแผ่นดินต่อจากนี้ โดยเฉพาะข้อเสนอแนะสิ่งที่รัฐบาลควรเร่งทำ-แก้ปัญหาให้กับประชาชนโดยเร่งด่วนรวมถึงข้อเสนอแนะทางการเมืองถึงนายกรัฐมนตรีให้บริหารประเทศด้วยความเป็นอิสระอย่าปล่อยให้มีการครอบงำทางการเมืองเกิดขึ้น
ความเห็นดังกล่าวมาจาก "ปฏิมา จีระแพทย์-สมาชิกวุฒิสภา ที่เข้ามาเป็นสว.จากสายกลุ่มสิ่งแวดล้อมและพลังงาน"โดยก่อนหน้านี้เคยทำงานในภาคธุรกิจ ผ่านการบริหารงานในภาคเอกชนมามากมายเช่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทย แอร์เอเชียเอ็กซ์ -ผู้ช่วยประธานกรรมการ เครือโรงพยาบาลพญาไทและเครือโรงพยาบาลเปาโลเมโมเรียล และหน่วยงานภาครัฐ อาทิ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์-ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม-กรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม- กรรมการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย เป็นต้น
"สว.-ปฏิมา"กล่าวว่า สิ่งที่คาดหวังจากรัฐบาล นายกรัฐมนตรี นส.แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะประชาชนและในฐานะสมาชิกวุฒิสภา(สว.) คือหวังให้นายกรัฐมนตรี นำพาประเทศไทย ให้ก้าวผ่านความท้าทายทางเศรษฐกิจ ความท้าทายทางสังคมได้อย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพ
ผมดีใจที่ตอนนี้มีการนำเรื่องของมาตรฐานทางจริยธรรมฯมาพิจารณาประกอบในการจะเสนอชื่อบุคคลไปเป็นรัฐมนตรี ก็หวังจะเห็นรัฐบาลบริหารประเทศด้วยความโปร่งใส ความเป็นธรรม และใช้ความสามารถในการบริหารจัดการให้เกิดผลออกมาดีที่สุดต่อประชาชน
ก่อนหน้านี้ผมได้เคยพูดออกสื่อเพื่อเตือนนายกรัฐมนตรี ให้รับฟังประชาชน รับฟังความคิดเห็นจากสื่อมวลชนให้มากยิ่งขึ้น และได้เตือนนายกฯไปถึงเรื่อง"การครอบงำ"ตามพรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ฯ มาตรา 28ที่บัญญัติว่า
" ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทำการใดอันทำให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม "
ซึ่งหลังออกมาพูดเรื่องนี้ผ่านสื่อมวลชนไปเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้ ก็มีกระแสตอบรับที่เห็นตรงกัน ผมได้ออกมาพูดเตือนเรื่องนี้ด้วยความเป็นห่วง ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่และเป็นประชาชนเพื่อฝากไปถึงนายกรัฐมนตรี
ทีนี้เรามาคุยกันในฐานะของความเป็นพ่อ ก็ได้ฟังสิ่งที่อดีตนายกรัฐมนตรี คุณทักษิณ ชินวัตร แสดงวิสัยทัศน์ฯ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา คิดว่าการที่ลูกจะฟังคำแนะนำจากพ่อ เป็นสิ่งที่สมควรอย่างยิ่งในครอบครัว แต่การทำงานในวันนี้ นายกฯไม่ได้เป็นลูกของคุณพ่อ แต่เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นนายกรัฐมนตรีที่ถูกจับตามองอยู่เยอะ ดังนั้นในฐานะที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล ท่านนายกรัฐมนตรีก็จำเป็น ที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่ โดยอาจจะปรึกษาคุณพ่อก็ได้ ไม่จำเป็นต้องให้สาธารณชนรับทราบ ซึ่งในองค์กรใหญ่ๆ องค์กรระดับโลก เขาก็มีการสร้างตัวตายตัวแทน หรือ successor จากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก ที่ก็มีการดันรุ่นลูกให้โดดเด่น เรียนรู้จากการทำงาน-เรียนรู้จากการบริหาร โดยให้คำแนะนำกับรุ่นลูกเป็นระยะได้ในทางลับ โดยไม่จำเป็นต้องให้สาธารณชนรับทราบ ที่เป็นเรื่องซึ่งสามารถดำเนินการตามที่เห็นสมควรได้ โดยไม่จำเป็นต้องออกมาสู่สาธารณชน นายกรัฐมนตรีจะได้ทำงานได้อย่างเต็มที่
-การบริหารประเทศของนายกฯแพทองธาร ชินวัตร ในช่วงต่อจากนี้ จะทำอย่างไรให้ประชาชนเชื่อมั่น เชื่อถือในตัวผู้นำประเทศ?
ต้องขออนุญาตว่า คืออย่างตัวผม ก็มีลูก ท่านก็ต้องยอมรับว่าประชาชนมองว่าท่านคือนายกรัฐมนตรี ก็ต้องแสดงบทบาทของผู้นำประเทศลำพังให้ได้ โดยไม่มีเงาของคุณพ่อของท่านมาเกี่ยวข้อง และถ้าผมเป็นท่าน ผมก็จะบอกคุณพ่อของผมว่า "คุณพ่อ อย่าออกสื่อเยอะ คุณพ่อ อยู่ที่บ้านเลี้ยงหลาน แล้วเดี๋ยวลูกมีอะไร ลูกจะโทรไปถาม หรือกลับไปกินข้าวเย็นที่บ้าน แล้วลูกจะไปปรึกษา ขอคำแนะนำ "
นายกฯอายุ 38 ปี ต้องทำให้ลูกของท่านฯ ภูมิใจ ใครจะพูดอะไร ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องการเมือง ผมไม่อยากแตะ แต่ในฐานะเป็นมนุษย์ ท่านต้องสร้างความภูมิใจให้ลูก ให้หลาน อดีตมันแก้ไม่ได้แล้ว แต่ปัจจุบันและอนาคต มันอยู่ในมือท่าน ต้องทำประเทศนี้ให้ดีที่สุด ฟังผู้เชี่ยวชาญเยอะๆ และฝากไปถึงบุคคลที่เป็นเพื่อนๆ คุณพ่อด้วยว่า ถึงเวลาหรือยัง ที่ผู้ใหญ่ในรุ่นคุณพ่อ คุณอา ต้องเป็นสภาที่ปรึกษา ปล่อยให้คนรุ่นใหม่ เขาบริหารจัดการบ้านเมือง ผมเชื่อว่านายกฯทำได้ ถ้าตั้งใจจะทำ โดยฟังที่ปรึกษาซึ่งเป็นนักวิชาการ อย่าฟังนักการเมือง และต้องเปิดใจรับฟังฝ่ายค้าน ซึ่งที่้ผ่านมาก็ได้ค้านบางอย่างที่เป็นเรื่องดี เช่นเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต แล้วจะเป็นการทำงานเพื่อประเทศเพื่อประชาชนจริงๆ ไม่เอาการเมือง ไม่เอาพรรคพวก เอาประชาชน
"ปฏิมา-สว."กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ที่ผ่านมาในการบริหารประเทศของรัฐบาลในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา(รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน) ที่ยังไม่เห็นมีออกมา คือเรื่องของยุทธศาสตร์ชาติ ที่บางคนอาจบอกว่ายุทธศาสตร์ชาติ คือมรดกของคสช. แต่ผมมองต่างมุม ผมมองว่าในการบริหารประเทศ หรือแม้แต่การบริหารงานในภาคเอกชนทั้งบริษัทขนาดใหญ่ บริษัทขนาดเล็ก หรือบริษัทครอบครัวทุกแห่ง หรือแม้แต่วงการศึกษาเช่นการบริหารมหาวิทยาลัย โรงเรียน ก็ต้องมีการจัดทำยุทธศาสตร์ของตัวเอง
ปัจจุบัน รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 เรามีรัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยยุทธศาสตร์ชาติ ตามมาตรา 270 การปฏิรูปประเทศ และการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ คณะรัฐมนตรี ต้องแจ้งความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศต่อรัฐสภาเพื่อทราบทุกสามเดือน คณะรัฐมนตรีต้องติดตามดูด้วยว่าได้บริหารประเทศโดยเดินตามแผนปฏิรูปหรือแผนยุทธศาสตร์ชาติหรือไม่ เพราะเมื่อเรายังใช้รธน.ฉบับปี 2560 จึงจำเป็นต้องปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ชาติฯ นอกจากรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีแนวทางจะแก้รัฐธรรมนูญและยุทธศาสตร์ชาติ ที่หากแก้ไขสำเร็จ แล้วจะไม่เอาเรื่องยุทธศาสตร์ชาติที่ออกมาช่วงคสช.ก็ทำได้ แต่เมื่อวันนี้ยังมีอยู่ ควรต้องดำเนินการตามนั้น แต่การบริหารประเทศ ก็จำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ ที่อาจจะเป็นยุทธศาสตร์ในเวอร์ชั่นของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่หรือของรัฐสภาชุดที่จะเข้ามาหากมีการใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องมียุทธศาสตร์ชาติของตนเองเช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้น การบริหารจะเป็นลักษณะระยะสั้น เพราะยุทธศาสตร์ชาติเป็นเรื่องระยะยาว
ภารกิจเร่งด่วนห้าเรื่องสำคัญรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง
สำหรับภารกิจสำคัญเร่งด่วนที่ต้องการให้รัฐบาลเร่งขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหา "ปฏิมา-สว."ให้ข้อเสนอแนะว่า เรื่องเร่งด่วนมากที่สุด คือต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศ เช่นเฉพาะหน้าตอนนี้ก็คือต้องช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วมในเวลานี้ ที่หลังน้ำลดก็ต้องรีบเข้าไปช่วยฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยและเยียวยาผู้ประสบภัย ก็เป็นเรื่องเร่งด่วนระยะสั้นที่สุด
นอกจากนี้ก็จะต้องเร่งแก้ไขปัญหาเรื่องของ"หนี้สิน"โดยเฉพาะการเข้าไปดูแลแก้ไขปัญหาลดหนี้สินของประชาชน เพราะเรื่องของหนี้สิน มันกระทบกับเรื่องของจีดีพี ยิ่งมีหนี้สินมาก มีการคำนวณของ ธนาคารเพื่อการชำระบัญชีระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements) เขามีการคำนวณว่า หากหนี้เพิ่มขึ้น 1 เปอร์เซ็นต์ หมายถึงจีดีพีจะลดลง 0.1 เปอร์เซ็นต์ ที่เป็นสูตรคำนวณจีดีพีที่ผมศึกษามา
ดังนั้นจึงต้องเร่งหาวิธีลดหนี้ของประชาชน ส่วนวิธีการ อย่างน้อยก็ต้องมีการพูดคุยกับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ที่ผมเห็นว่า ธปท.เขามองในภาพใหญ่ ที่เขามองว่าหากลดดอกเบี้ยเวลานี้จะมีผลกระทบระยะยาว แต่จะพบว่าตอนนี้ประชาชนเขามีปัญหา ก็อยากให้มีการดูแลในเรื่องการลดดอกเบี้ย ผมฟังวิสัยทัศน์ของคุณพ่อนายกรัฐมนตรี มีการพูดถึงเรื่องการ แฮร์คัทหนี้ประชาชน ที่ผมเห็นด้วย ซึ่งต้องบอกก่อนว่า หากใครคิดดีกับประเทศและประชาชน เราจะสนับสนุนความคิดนั้น ไม่ว่าจะมาจากใครก็ตาม ซึ่งเรื่องแฮร์คัทหนี้ประชาชน เพราะบางคนไม่ไหวจริงๆ ควรจะต้องช่วยเหลือเขา
งานเร่งด่วนเรื่องที่สามที่รัฐบาลควรทำคือต้อง"ลดความเหลื่อมล้ำของประชาชน" เช่นเรื่องของการพัฒนาทางด้านการศึกษา ซึ่งการศึกษาเป็นผลระยะกลางและระยะยาว ไม่ใช่ระยะสั้น แต่เราต้องรีบทำ ยิ่งทำเร็ว ก็ยิ่งเกิดผลเร็วขึ้นเท่านั้น อย่างเรื่อง ภาษาอังกฤษ ที่เป็นเรื่องพื้นฐานของประชากรในอาเซียนและของโลก ดังนั้น ประชาชนที่ยังอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองหลัก ก็ต้องนำเรื่องของภาษาอังกฤษไปให้เขาได้มีโอกาสเรียนรู้ ที่ปัจจุบันก็มีแอปพลิเคชันมากมาย อย่างในอดีต ก็เคยมีโครงการ หนึ่งโรงเรียน หนึ่งแท็บเล็ต เราควรมีเครื่องมือทางการศึกษาให้กับนักศึกษาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษา เพราะหากเราได้คนที่มีคุณภาพเช่น หากปัจจุบัน เขาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เขาก็เรียนอีก 7 ปี ก็จบมัธยมศึกษาตอนปลาย เข้าสู่การศึกษาระดับอุดมศึกษาอีกสี่ปี เขาก็จบออกมาแบบมีคุณภาพสูงเข้าสู่ตลาดแรงงานตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการในธุรกิจต่างๆ การพัฒนาด้านการศึกษา ใช้เวลาไม่นาน สิบปีก็เห็นผล แต่ต้องทำให้ทั่วถึงทุกระดับ แม้แต่ในพื้นที่ไกลปืนเที่ยง ห่างไกลความเจริญ ต้องมีมาตรฐานการศึกษาที่เท่าเทียมกันเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
เรื่องที่ 4 ก็คือเรื่อง"ความมั่นคงทางพลังงาน" ที่ผ่านมา เห็นนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯและรมว.พลังงาน ทำเรื่องร่างพรบ.พลังงานฯฉบับใหม่ ที่หากออกมาจะเป็นประโยชน์กับประชาชนในเรื่องของ"ค่าน้ำมัน"ปัจจุบันเราจ่ายค่าน้ำมันต่อลิตร ก็ตกประมาณสามสิบกว่าบาทจนถึงสามสิบเก้าบาท แต่คุณพีระพันธุ์เคยกล่าวไว้ต่อที่ประชุมสภาฯ ถึงเรื่องต้นทุนน้ำมันว่าจริงๆอยู่ที่ประมาณ 20-21 บาทเท่านั้นเอง แต่ที่ราคามันขึ้นไปถึงสามสิบกว่าบาท ก็เพราะว่ามีการเก็บภาษีและอื่นๆ เช่นภาษีสรรพสามิต หรือนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ก็ทำให้ประชาชนเดือดร้อนในการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่นค่าน้ำมันในการเดินทาง ,ค่ารถในการเดินทาง แต่หากทำให้ค่าใช้จ่ายพลังงานลดลง ก็ทำให้ทุกอย่างลดลงตาม ประชาชนก็จะเดือดร้อนลดลง หรืออย่างค่าไฟ ที่ประชาชนเคยได้ประโยชน์จากมาตราการลดค่าไฟฟ้าช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยเรื่องค่าไฟฟ้า ถ้ากระทรวงพลังงานสามารถช่วยได้ ประชาชนจะมีเงินเก็บมากขึ้น และหากจะให้ยั่งยืน ก็ยังมีอีกหลายมาตราการเช่นการสนับสนุนให้ติดโซล่ารูฟท็อป หรือ ระบบผลิตไฟฟ้าบนหลังคา โดยมีการอุดหนุนจากภาครัฐ ก็เป็นสิ่งที่คิดว่ารัฐบาลควรจะต้องรีบทำ
เรื่องที่ห้า คือเรื่อง"สาธารณสุข"ที่ปัจจุบันเราไม่อยากเห็นโรคระบาดแบบโควิด ก็ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้จักโรคที่กำลังเข้ามาใหม่ๆ เช่น โรคฝีดาษลิง ที่ก็มีความกังวลกันว่าจะเป็นโรคระบาด โรคติดต่อ จะต้องมีการกักตัวอะไรอีกหรือไม่ ดังนั้น ก็ต้องมีการเผยแพร่ให้ประชาชนรับรู้ว่า เราจะป้องกันได้อย่างไร รักษาอย่างไร
"ทั้งห้าเรื่องดังกล่าวคือเรื่องที่รัฐบาลสามารถช่วยประชาชนได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว โดยการเรียกข้าราชการกระทรวงต่างๆ มารับแนวทาง เพราะปัจจุบันที่ยังไม่มีรัฐบาลเต็มตัว ในช่วงสุญญากาศแบบนี้ ข้าราชการประจำ ที่มีความรู้ความสามารถ ก็ควรเสนอครม. ที่เป็นครม.รักษาการให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งได้ทันที"
ความคาดหวังโฉมหน้าครม.เศรษฐกิจ
"ปฏิมา-สว."กล่าวต่อไปว่า สำหรับความคาดหวังต่อโฉมหน้าของครม.ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล นส.แพทองธาร ชินวัตร อยากเห็นโฉมหน้าครม.เศรษฐกิจที่มีผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์จริง มีความรู้ความสามารถ แม้จะเป็นคนรุ่นใหม่ แต่หากมีประสบการณ์มาแล้วในการบริหารจัดการที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นผลงานโดดเด่น ก็คิดว่าประชาชนยอมรับได้
...เช่นนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรมว.คลัง ก็เป็นที่ยอมรับกัน เช่น การเคยมีประสบการณ์เข้าไปฟื้นฟูบริหารกิจการหลายธุรกิจมาในอดีตไม่ว่าจะเป็น ปตท. หรือบางจาก ก็เป็นบุคคลที่ทุกคนไม่มีคำถาม อย่างตอนที่ไปชี้แจงตอบคำถามของส.ส.ฝ่ายค้านหรือตอนมาชี้แจงต่อที่ประชุมวุฒิสภา ชุดเดิมตอนช่วงพ.ค.-มิ.ย. ที่ผ่านมา ก็ตอบคำถามต่างๆ ได้ดีแม้จะเพิ่งเข้ามาทำงานได้แค่ 1-2 เดือน แต่ทีมงานมีความสำคัญ ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าทีมงานที่เหลือทางด้านเศรษฐกิจจะมีใครอีกบ้าง เพราะต้องมีการวิเคราะห์-แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ และที่สำคัญต้องโปร่งใส
-หากการตั้งครม.โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ ถ้ายังต้องยึดโควต้าพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล ก็อาจทำให้ได้รมต.ด้านเศรษฐกิจที่ไม่ตรงกับหลัก Put the right man on the right job?
ครม.เศรษฐกิจไม่ได้มีแค่กระทรวงการคลังอย่างเดียว แต่ยังมีอีกหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้องเช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ ที่เวลาทำงานร่วมกันโดยเฉพาะการแก้ปัญหาประชาชนในเรื่องเศรษฐกิจ ก็ต้องบูรณาการร่วมกัน
ยกตัวอย่างเช่นเรื่อง แอปพลิเคชัน การสั่งซื้อของออนไลน์ของจีน ก็มีคนตั้งคำถามกันว่า ทำไมกรมศุลกากรไม่เก็บภาษี แต่กรมศุลกากรก็บอกว่าเป็นเรื่องที่กระทรวงการต่างประเทศ กับกระทรวงพาณิชย์ ไปเซ็น Free Trade Agreement เอาไว้ ส่วนกระทรวงการคลังไปเซ็น World Customs Organization เอาไว้ว่าสินค้าที่ต่ำกว่า 1,500 บาทห้ามคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นต้น แต่ว่าในช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เขาก็เริ่มเก็บแล้ว อะไรก็ตามที่นำเข้าหรือส่งเข้าในประเทศไทย ชิ้นละต่ำกว่า 1,500 บาท ก็มีการพิจารณาว่าเป็นสินค้าอะไร แล้วก็มีการคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ปัญหามันก็ไปตกอยู่กับประชาชนคนสั่งซื้อ เพราะพวกแอปพลิเคชันเขาฉลาด เช่นขายราคาเดิมห้าร้อยบาท แต่กรมศุลกากรบอกว่าต้องจ่าย VAT กรมศุลกากรก็คิดเป็น 535 บาท เวลาเอาของไปส่ง ไม่ว่าจะเป็นเช่น เคอรี่ เอ็กซ์เพรส แฟลช เอ็กซ์เพรส เขาก็ไปเก็บเงินปลายทางอีก 35 บาท ทางผู้ซื้อก็บอกว่าสั่งซื้อที่ 500 บาท อีก 35 บาทไม่จ่าย ลักษณะแบบนี้เป็นต้น คือเป็นเรื่องของ ช่องว่างของกฎหมาย ที่ไม่สามารถไปบังคับให้ผู้ส่งจากประเทศต้นทางให้เขาจ่ายโดยบวกภาษีมูลค่าเพิ่มได้ เลยมาผลักภาระให้ผู้ซื้อ ผู้บริโภค
ลักษณะที่ยกตัวอย่างมา ก็เกี่ยวข้องทั้งก.ต่างประเทศ-พาณิชย์-คลัง ในการที่จะคุยกันเรื่องการนำเข้าสินค้าที่ผ่านทางแอปพลิเคชันก็ต้องบูรณาการกัน
รัฐมนตรีที่มาจากหลากหลายกระทรวง ที่มาจากโควต้าพรรคการเมืองต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่แต่ละพรรคเขาก็กลัวจะเสียชื่อพรรคเขาเอง พรรคการเมืองก็คงมีการคัดคน เพราะตอนนี้การเสนอชื่อบุคคลไปเป็นรัฐมนตรี มีเรื่องของมาตรฐานจริยธรรมฯ ก็ทำให้พรรคการเมืองต้องคัดคนที่มีมาตรฐานจริยธรรมฯ ซึ่งเป็นที่ยอมรับ เป็นที่ประจักษ์ของประชาชนทั่วไปและคัดคนที่มีประสบการณ์ในการทำงานด้านนั้นมาเป็นรมต. เพราะแม้การตั้งรัฐมนตรีจะมีเรื่องของโควต้า แต่พรรคร่วมรัฐบาลที่เป็นเจ้าของโควต้า ก็ต้องพิจารณาด้วยว่าจะส่งใครมา ไม่ใช่เอาแต่เหตุผลของพรรค เช่นส่งมาเพราะเป็นโควต้านายทุนของพรรค ก็ไม่อยากให้ทำเช่นนั้น
ส่วนบทบาทของ"สภาสูง-สว."กับการทำหน้าที่ตรวจสอบ ให้ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลนั้น "ปฏิมา-สมาชิกวุฒิสภา"ให้ความเห็นถึงเรื่องนี้ว่า การทำงานของสว.ชุดปัจจุบัน ที่ผมเรียกว่า เป็นสว.ชุดภูมิปัญญาไทย ถึงตอนนี้ก็ทำงานมาร่วมเกือบสองเดือน ก็จะเห็นได้ว่าสว.ที่มาจากหลายภาคส่วนธุรกิจ 20 กลุ่มสาขาอาชีพ ต่างทำงานกันอย่างเต็มที่ ต่างทุ่มเททำงานกันเต็มที่ อย่างในช่วงการปรึกษาหารือกัน สว.ก็มีการนำปัญหาของประชาชนในพื้นที่ และปัญหาต่างๆ มาหารือกัน ซึ่งแม้ผมจะมาจากภาคของธุรกิจ แต่ส่วนตัวก็จะเข้าไปช่วยในเรื่องการแก้ปัญหาของประชาชน โดยจะร่วมกับส.ส.กทม.เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร กับส.ก.เขตวัฒนา เพราะผมเป็นสว.ที่มาจากการเลือกในเขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ก็ได้มีการนัดกันว่าในวันที่ 6 ก.ย.นี้ เพื่อหารือกันว่าจะแก้ปัญหาอะไรให้กับประชาชนในเขตวัฒนา เพื่อเป็นต้นแบบ ในการที่จะนำตัวอย่างในเขตวัฒนาไปใช้ในเขตอื่นๆ ต่อไป เช่นเรื่องของปัญหาหนี้สิน ที่จะให้มีศูนย์รับเรื่องร้องเรียนเรื่องหนี้สิน ช่วยแก้ปัญหาเรื่องหนี้สิน การสนับสนุนให้มีระบบไกล่เกลี่ยหนี้สิน เป็นต้น ผมเองก็ได้ไปเสนอกับสมาคมผู้ไกล่เกลี่ยไทย ในการที่จะช่วยเหลือรับเรื่องของลูกหนี้ธนาคาร เพราะลูกหนี้บางคนไม่กล้าไปเจอธนาคาร ก็จะมีตัวกลางในการไปเจรจาหรือจะมีการแนะนำเทคนิคการเจรจาให้ธนาคารลดหนี้ให้
สว.ก็มีบทบาทในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และการพิจารณาร่างกฎหมายต่างๆ แต่บทบาทของสว.ที่ทำได้นอกรัฐสภา ก็พบว่าสว.ชุดปัจจุบันเริ่มทำงานในพื้นที่ บางคนก็ทำงานกับผู้ว่าราชการจังหวัดในต่างจังหวัด แต่ผมก็จะทำกับส.ส.และสก.ในพื้นที่ แต่ในบทบาทการตรวจสอบให้คำแนะนำรัฐบาลก็จะทำอย่างเต็มที่เช่นในการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมร่วมรัฐสภา เมื่อรัฐบาลแถลงแล้ว ผมก็พร้อมจะอภิปรายให้คำแนะนำต่อรัฐบาลในฐานะสภาสูง เราจะไม่ตำหนิ ไม่ติเตียนใดๆทั้งสิ้น แต่จะเน้นให้คำแนะนำ อย่างที่ผมให้สัมภาษณ์ข้างต้น ผมก็มีข้อแนะนำนายกฯไปผ่านไปถึงคุณพ่อของนายกฯ เป็นการแนะนำไม่ใช่การตำหนิ เพราะสว.ต้องรักษาความเป็นกลาง
...........................................
วิพากษ์นโยบาย รัฐบาลเพื่อไทย ค้านแจกเงินดิจิทัล-ควรให้เป็นเงินสด เปิดกาสิโน ต้องศึกษาผลกระทบรอบด้าน
หากจะดึงนักท่องเที่ยวให้เข้ากาสิโน มาเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ก็จะไปกระทบกับปัญหาอื่นๆ ให้ตามมาอีก เรื่องการจะให้เปิดกาสิโนหรือไม่ ควรมีการศึกษาผลกระทบทางสังคม วัฒนธรรม อย่างถี่ถ้วน ก่อนจะตัดสินใจดำเนินการ บางครั้งเราไปคิดว่า จะทำให้มีรายได้เข้าประเทศ แต่อาจจะไม่ดีในเรื่องของการมีอาชญากรรมเกิดขึ้นหรือไม่ ประชาชนจะยิ่งมีหนี้สินขึ้นหรือไม่
"ปฏิมา -สมาชิกวุฒิสภา"ที่มีประสบการณ์ด้านการบริหารงานภาคธุรกิจและภาครัฐ มาอย่างโชกโชน ให้ทัศนะต่อนโยบายสำคัญๆของรัฐบาลเพื่อไทย หลายเรื่อง
โดยเริ่มที่นโยบายเรือธงของรัฐบาลเพื่อไทย นั่นก็คือ "ดิจิทัลวอลเล็ต"โดยเขากล่าวว่า ดิจิทัลวอลเล็ต เป็นนโยบายที่ผมมีจุดยืนชัดเจน เปิดเผยว่าไม่เห็นด้วยกับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ที่ก็ดีใจที่เห็นคุณพ่อของท่านนายกฯ(นายทักษิณ ชินวัตร) ออกมาบอกก่อนหน้านี้ว่า จะแจกเป็นเงินสด แต่ก็เป็นคุณพ่อนายกฯพูด แต่หลัก ๆต้องรอฟังหัวหน้ารัฐบาลพูด เพราะถ้าหัวหน้ารัฐบาลพูด มันก็จะมีน้ำหนัก-หนักแน่น เพราะตอนนี้เหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งเดือน ในการใช้เงิน หลังที่ประชุมวุฒิสภามีมติให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 เพิ่มเติม กรอบวงเงิน 1.22 แสนล้านบาท
...ก่อนหน้านี้ผมเคยแนะนำไปว่า ถ้าจะแจกหนึ่งหมื่นบาท จะมีคนที่ได้ประมาณ12 ล้านคน แต่ถ้าเป็นผมจะแจกให้ได้จำนวนเยอะคือประมาณ 40 ล้านคน โดยให้คนละสามพันบาท หรือไม่ก็ 30 ล้านคน โดยให้คนละสี่พันบาท เพราะเงินหนึ่งพันบาท ก็มีประโยชน์กับประชาชนที่เขามีปัญหาจริงๆ ถ้ายิ่งแจกให้ประชาชนได้จำนวนมาก ก็ยิ่งเป็นการแก้ปัญหาให้กับประขาชนในจำนวนมากขึ้น และเงินก็จะหมุนอยู่ในประเทศไทยไม่ได้ไปไหน
..ผมคิดว่า ควรจะแจกเป็นเงินสดภายในเดือนกันยายน ผ่านแอพพลิเคชั่นที่ออกมาสมัยลุงตู่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะผ่านการพิสูจน์แล้วว่าปลอดภัยและทำได้ทันที ไม่ต้องไปเสียเงินจ้างบริษัทมาเขียนแอพพลิเคชั่น ใหม่ และจะทำเสร็จเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทางธปท.ก็ยังไม่เห็น เพราะต้องมีกระบวนการตรวจสอบความปลอดภัยโดยธปท.ด้วย
"ความคิดของผม ก็ยืนยันว่าไม่เห็นด้วยหากจะแจกเป็นเงินดิจิทัล แต่ควรเป็นเงินสด หากรัฐบาลจะแถลงนโยบายช่วง 15 กันยายน รัฐบาลรักษาการตอนนี้ก็ต้องเตรียมสั่งข้าราชการประจำให้เตรียมพร้อมได้แล้ว เพราะเหลือเวลาอีกแค่ประมาณหนึ่งเดือนจะสิ้นปีงบประมาณ 2567 แล้ว อย่าให้เป็นปัญหาไปถึงปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 หากรัฐบาลทำได้ ประชาชนจะเทคะแนนให้รัฐบาลเยอะเลย"
ส่วนที่ก่อนหน้านี้ คุณทักษิณ บอกว่า จะให้เป็นเงินสดกับกลุ่มเปราะบางก่อน จากนั้นรอบต่อไปจะให้เป็นดิจิทัลวอลเล็ตนั้น ผมก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี เพราะผมเคยศึกษาเรื่อง Central Bank Digital Currency (CBDC) ซึ่งธปท.ศึกษาเรื่องนี้อยู่ เรื่องเกี่ยวกับเงินดิจิทัล ควรให้ธปท.เป็นเจ้าภาพ ไม่ควรให้เป็นบริษัทเอกชนที่เอาเงินงบประมาณรายจ่ายของประเทศที่เป็นเงินภาษีประชาชนไปบริหารจัดการ ที่จะมีค่าใช้จ่ายต่างๆ เวลามีการทำธุรกรรมต่างๆ ไม่ควรให้ทำแล้วเป็นประโยชน์กับกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ควรทำแล้วให้เป็นประโยชน์กับธปท.จะดีกว่า
"ปฏิมา-สว."ยังกล่าวถึงนโยบาย การให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี ตามกฎหมายทรัพย์อิงสิทธิ และให้ต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียม จาก49 เปอร์เซ็นต์เพิ่มเป็น75 เปอร์เซ็นต์ว่าที่ผ่านมา ได้เคยศึกษาเรื่องการให้ต่างชาติเช่าที่ดิน เมื่อ 13-14 ปีที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ สมัยเป็นประธานคณะกรรมการอสังหาริมทรัพย์หอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย โดยใช้เวลาศึกษาเรื่องดังกล่าวเป็นเวลานานพอสมควร และมีการเสนอผลการศึกษาต่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
โดยเจตนาของพวกเรา เรามองเหรียญด้านเดียว ณ วันนั้น คือเรามองว่าจะเป็นมาตราการที่ออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการชักจูงชาวต่างประเทศที่เคยเข้ามาเที่ยวประเทศไทย ที่มาเที่ยวประเทศไทยในระยะสั้นให้เปลี่ยนมาเป็นพักอยู่ในประเทศไทยให้ยาวขึ้น โดยไม่ต้องไปเช่าโรงแรมที่พักแล้ว แต่ให้มาซื้อบ้านพักอาศัยเป็นของตัวเอง หรือมาเช่าที่ดินในระยะที่ยาวขึ้นในการทำโครงการต่างๆ เพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพราะวันนั้น เมื่อเราให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนทำโครงการในประเทศไทย เช่นหากมาสร้างโรงแรม ก็ต้องมีการซื้อวัสดุก่อสร้าง ปูน-ทราย เศรษฐกิจในประเทศไทยก็จะเกิดการหมุนเวียน และต้องมีการจ้างแรงงาน คนงานก่อสร้างคนไทย
เมื่อสิบปีกว่าที่แล้ว ที่ผมเป็นประธานศึกษาเรื่องนี้ ผมก็ไปศึกษาว่าประเทศต่างๆ ในเวลานั้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน เช่น กัมพูชา เวียดนาม ลาว มาเลเซีย อินโดนีเซีย เป็นอย่างไรบ้าง ก็มีการเสนอว่า จากสัญญาเช่า 30 ปี ขอขยายเป็น 90 ปี น่าจะดึงดูดให้นักลงทุน มาทำโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินลงทุนเยอะ บางโครงการไม่สามารถเกิดผลตอบแทนได้ภายในสามสิบปี โดยมีการเสนอในช่วงดังกล่าวให้ขยายเป็น 90 ปี โดยอ้างอิงจากประเทศเพื่อนบ้าน
"ปฏิมา-สมาชิกวุฒิสภา"กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ในวันนี้ ข้อมูลที่อัพเดทที่ได้ยินความเห็นจากผู้ไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว ได้ให้ข้อมูลว่าตอนนี้ประเทศต่างๆ รอบข้างประเทศไทย มีแต่ลดจำนวนปีการให้เช่าที่ดินลง
..เป็นสิ่งที่ ในฐานะสว.ก็ต้องมีการศึกษาอย่างชัดเจนโดยนักวิชาการ อย่ามองการศึกษาของผมในอดีตเพราะมันล้าสมัยไปแล้ว ต้องมาศึกษาฟังข้อมูลที่อัพเดทกัน เช่น ต้องฟังว่าที่รัฐบาลจะเสนอให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี เอาตัวเลขมาจากไหน แล้วคนที่ไม่เห็นด้วยกับ 99 ปี แต่เห็นด้วยกับให้เช่า 60ปีหรือไม่เกิน 75 ปี เขามีเหตุผลเพราะอะไร
...ในฐานะที่เป็นสว.เราก็ต้องมองเหรียญสองด้าน ผมเห็นว่า นักวิชาการควรมีการศึกษาว่า หากต้องมีการให้เช่าที่ดินระยะยาวมากกว่า 30 ปีจะเป็นอย่างไร อย่างส่วนตัวของผมเอง ไม่อยากให้ใช้เป็นกฎหมายครอบคลุมทั้งประเทศ ผมต้องการให้ทำเป็นโซนนิ่ง ในพื้นที่ซึ่งมีแนวโน้มจะเป็นประโยชน์ต่อการดึงเงินลงทุนจากต่างประเทศ เช่นหากจะโยงกับนโยบายเอนเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ ที่ให้เปิดกาสิโน ก็ให้ไปที่บางพื้นที่ของภาคอีสาน ที่ยังมีความกันดาล เราต้องการให้มีการพัฒนาพื้นที่ให้มันดีขึ้นเหมือนลาสเวกัสที่สหรัฐฯ
..ให้ทำเฉพาะโซนนั้นได้หรือไม่ หากอยากจะให้มีการเช่าที่ดินระยะยาว เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ หรือ Special Economic Zone ได้หรือไม่ หรือกับโครงการอีอีซี แต่ไปอยู่ที่ภาคอีสานได้หรือไม่ อันนี้สมมุติ หรือบางพื้นที่ซึ่งมีความต้องการของนักลงทุน หรือคนที่อยากมาซื้อบ้านระยะยาวในบางพื้นที่เช่น ภูเก็ต กระบี่ จอมเทียน ระยอง ตราด ได้หรือไม่ แบบนี้เป็นต้น
"นโยบายให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี จึงควรต้องมีการศึกษาผลกระทบในระยะยาว ต่อเศรษฐกิจและสังคม จะได้ไม่ต้องพูดว่าขายชาติ เพราะเราเอาเฉพาะบางโซน "
"สว.ปฏิมา"ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ผมเองหลังจากเป็นสว. ผมก็ทำการบ้านเรื่องนี้ ผมก็ไปศึกษามา ก็พบว่าประเทศอื่น ขายเมืองทั้งเมืองก็ยังมี เช่น ที่สหรัฐฯ ก็ขายทั้งเมืองเลย เมืองที่มีทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล ปั้มน้ำมัน ร้านอาหาร แล้วก็มีการทำวิจัยว่าที่ขายกันเป็นเมืองๆ มีผลกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศอย่างไร ผลปรากฏว่ามีชาวต่างชาติมาซื้อเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ดังนั้น คำว่าขายชาติ ผมว่าเป็นคำพูดที่รุนแรงเกินไป เพราะคนที่เขามองว่ามีประโยชน์ ก็ยังมีอีกหลายคน แต่ทางที่ดี ก็ต้องนำนักวิชาการในระดับชั้นนำของประเทศ เอามาประชุมหารือกัน ทำวิจัยเรื่องนี้ และต้องรับฟังคนที่ไม่เห็นด้วยให้เขามาแสดงความเห็นว่าหากไม่เห็นด้วยกับ99 ปีแล้วคุณคิดว่าควรเป็นระยะเวลาเท่าใด
ขณะที่เรื่อง ให้ต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียม จากร้อยละ 49 เพิ่มเป็นร้อยละ 75 โดยหลักการผมก็ไม่เห็นด้วย เพราะก็มีคอนโดมิเนียมหลายพื้นที่ในประเทศไทย ที่ผมไม่คิดว่าชาวต่างชาติในประเทศไทยอยากไปซื้อ และคงไม่อยากไปเป็นเจ้าของมากกว่า 49 เปอร์เซ็นต์
เรื่องนี้ต้องพิจารณาเป็นแค่บางพื้นที่เท่านั้น เช่นอย่างในกทม.ก็คอนโดมิเนียมที่อยู่ในแนวรถไฟฟ้า เรื่องนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น กรมที่ดิน กรมโยธาธิการและผังเมือง ก็ต้องมาให้ความคิดเห็นว่าหากเปิดเฉพาะโซน ไม่ได้ทำทั้งหมดทันที โดยเริ่มทำเป็นโซนก่อน แล้วมาดูว่า จะมีชาวต่างชาติเข้ามาพักอาศัยหรือไม่ หากขยายเป็น ร้อยละ 75 ไม่ใช่ออกกฎหมายมาแล้วใช้ครอบคลุมทั้งประเทศ แล้วไปเปิดคอนโดมิเนียมที่นนทบุรี แล้วใครไปซื้อ ฝรั่งจะไปซื้อหรือไม่ ก็คงไม่มีทาง เป็นต้น ดังนั้นนโยบายการให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี ฯ และให้ต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียม ร้อยละ 75 ก็ต้องมาศึกษากันอย่างจริงจัง อย่าพูดลอยๆ ต้องมีข้อมูลเชิงวิชาการสนับสนุน
"ปฏิมา-สว."ยังกล่าวถึงนโยบาย "เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ที่จะให้มีการเปิดกาสิโน "ด้วยว่า ในต่างประเทศ มองว่า กาสิโนก็คืออสังหาริมทรัพย์ประเภทหนึ่งเหมือนโรงแรม การจะออกกฎหมายเพื่อให้เปิดกาสิโนเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายและสังคม วัฒนธรรมของประเทศไทย ก็ต้องมาดูกันว่าจะให้มีการทำประชาพิจารณ์หรือไม่ หรือว่าจะให้ไปเปิดในโซนพื้นที่ซึ่งยังด้อยพัฒนา เพื่อให้เงินลงทุนสองแสนล้าน ไปอยู่ในอีสาน เพื่อจะได้เป็นการสร้างงานในภาคอีสาน จะได้ไม่ต้องเข้ามาทำงานในกทม. ไปสร้างความเจริญ สร้างผังเมือง สร้างระบบสาธารณูปโภค เพื่อสร้างความเจริญให้กับพื้นที่
...ความเห็นผม เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ที่จะมีกาสิโนไม่ควรให้มาตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร เพราะอย่างกรุงเทพมหานคร ก็มีปัญหาเรื่องจราจร หากจะดึงนักท่องเที่ยวให้เข้ากาสิโน มาเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ก็จะไปกระทบกับปัญหาอื่นๆ ให้ตามมาอีก เรื่องการจะให้เปิดกาสิโนหรือไม่ ควรมีการศึกษาผลกระทบทางสังคม วัฒนธรรม อย่างถี่ถ้วน ก่อนจะตัดสินใจดำเนินการใดๆ บางครั้งเราไปคิดว่า สิ่งนี้ดี จะทำให้มีรายได้เข้าประเทศ แต่อาจจะไม่ดีในเรื่องของการมีอาชญากรรมเกิดขึ้นหรือไม่ ประชาชนจะยิ่งมีหนี้สินขึ้นหรือไม่ ต้องมีการออกกฎระเบียบให้ชัดเจนว่าคนไทยห้ามเข้า เข้าได้เฉพาะคนที่ถือหนังสือเดินทางต่างประเทศ และไปตั้งอยู่ในพื้นที่ซึ่งห่างไกลพอสมควร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ก้าวย่างออกจากปัญหา .. ของประเทศ!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา... คำกล่าวที่ว่า.. “เมื่อสังคมมนุษยชาติขาดศีลธรรม.. ย่อมพบภัยพิบัติ.. เสื่อมสูญสิ้นสลาย..” นับว่าเป็นสัจธรรมที่ควรน้อมนำมาพิจารณา.. เพื่อการตั้งอยู่ ดำรงอยู่ อย่างไม่ประมาท...
'จตุพร' ซัด 'ทักษิณ' สติแตก โต้ 'ผมเป็นหนี้อะไรนักหนาสู้ให้จนติดคุก 5 ครั้ง' คงทดแทนพอแล้ว
'จตุพร' ซัด 'ทักษิณ' สติแตก อารมณ์อึดอัดพลุกพล่าน พูดกราดเกรี้ยวดุดัน โชว์ถ่อยเป็นพ่อไม่ไว้หน้านายกฯ ลูกสาว จวกปราศรัยเหวี่ยงแห ดุด่าสองแง่สามง่าม ยัดเยียดสารพัดเนรคุณ ย้อนแสบทดแทนบุญคุณนักสู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บหรือยัง ลั่น 'ผมเป็นหนี้อะไรนักหนา' สู้ให้จนติดคุก 5 ครั้ง ชีวิตผจญชะตากรรมไม่รู้จบ บ้านรอถูกยึด คงทดแทนกันพอแล้วมั้ง
‘แพทองธาร’ ยันพรรคร่วมไร้ปัญหา หลังภาพ 'ทักษิณ-อนุทิน' ออกรอบตีกอล์ฟด้วยกัน
ความจริงแล้วตนและนายอนุทิน ก็คุยกันอยู่แล้ว ถึงจะมีปัญหาอะไรก็คุยกันเคลียร์กันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทยหรือพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆถึงเวลาถ้ามีอะไรก็คุย
อย่างหล่อ! ‘อนุทิน’ ปัดตีกอล์ฟเคลียร์ขัดแย้ง ‘ทักษิณ’ ยันการกระทำสำคัญกว่าคำพูด
‘อนุทิน’ ปัดตีกอล์ฟ ‘ทักษิณ’ เคลียร์ปมขัดแย้ง ยัน ‘การกระทำสำคัญ กว่าคำพูด’ ย้ำอีแอบ ไม่ได้หมายถึงตัวเอง - ภูมิใจไทยชัดเจน เพราะข้อเท็จจริงเข้าประชุมครม.
การเมืองมกรา’68 พรรคร่วมร้อนรุ่มแตกหัก ‘ทักษิณ’ หนาวสะท้านชั้น 14
ทักษิณขยี้หนัก โชว์ภาพตีกอล์ฟขนาบข้างทุนผูกขาด ส่อสื่อสัญญาณรุก “พีระพันธุ์-รวมไทยสร้างชาติ” คาดชะตากรรมไม่แตกต่าง “ประวิตร-พปชร.” ประเมินปี 68 ปมชั้น 14 ทำการเมืองร้อนแรง
สัญญาณชัด! ‘เทพไท’ ฟันฉับความขัดแย้งในรัฐบาล เกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วแน่นอน
เป็นเรื่องปกติที่พรรคการเมือง ซึ่งมีจุดยืนและอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน แต่กระโดดข้ามขั้วจัดตั้งรัฐบาลด้วยกัน