ความยุติธรรม .. สร้างได้ .. หากเข้าใจ (สาระธรรม)!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา ฤดูกาลฝนแม้เพิ่งเริ่มต้น กาลจำพรรษาแม้เพิ่งเข้าสู่ช่วงแรกของไตรมาส แต่สภาวธรรมที่ปรากฏไม่ได้อ่อนด้อยจืดจางลงไปเลย มิหนำซ้ำกลับเข้มข้นในการแสดงออกถึงความเป็นธรรมชาติของดินฟ้าอากาศ ที่พร้อมใจกัน แสดงพลังสัจธรรมว่า.. “อำนาจแห่งความจริงเหนืออำนาจความนึกคิดปรุงแต่งเสมอ..”

จึงได้เห็นว่า.. อะไรที่ลวงๆ ลับๆ ล่อๆ .. มักจะสูญสลายไปอย่างไร้ค่า แม้จะพยายามถูกปลุกปั่นให้มีค่าในกระแสนิยมของโลก.. ด้วยเครื่องมือเทคโนโลยีชั้นสูง

ดังนั้น ในยามใดที่เริ่มมองโลกว่ารกรุงรังไปด้วยปัญหา จึงให้ระลึกถึงคำกล่าวที่ว่า....

สรรพสิ่งที่รกรุงรังในโลกนี่แหละ.. คือ รากฐานของการเรียนรู้ค้นหาสัจธรรม.. ความเป็นจริง..!!

ขอเพียงแต่ตั้งสติกำหนดรู้ลงไป เพื่อเข้าให้ถึงเหตุแห่งความรกรุงรังของโลก.. ก็จะเข้าใจถึงความจริงแท้ที่มีอยู่ในกองขยะนั้น เพียงแต่ต้องมองผ่านขยะที่รกรุงรังเหล่านั้นไปให้ได้.. อย่าได้ติดอยู่กับสิ่งที่เห็นนั้น ด้วยการเข้าไปให้ถึงรากเหง้าของสิ่งที่เห็นนั้นว่า.. แท้จริงคืออะไร, เกิดได้อย่างไร, ดับได้อย่างไร และแม้ขณะดำรงอยู่ในระหว่าง มันเป็นอย่างไร!!

การมองอย่างสืบค้นลึกลงไปให้ถึงรากเหง้าของทุกสรรพสิ่ง ผ่านเรื่องราวสรรพสิ่งที่ดูออกจะไร้ค่า กลายเป็นช่องทางการเข้าถึงคุณค่าที่แท้..ได้จริง ดังเช่น.. แม้แม่น้ำในมหาสมุทรจะกว้างใหญ่ไพศาล ลึกล้ำยากหยั่งถึง แต่แท้จริง ก็เริ่มต้นมาจากน้ำหยดหนึ่ง .. ซึ่งหากเราจะมองค้นหาความจริงจากน้ำทะเล-มหาสมุทร ก็จักสามารถเข้าถึงความจริงได้ไม่ยาก หากเราเข้าถึง เข้าใจ น้ำเพียงหยดหนึ่งนั้น

เฉกเช่นเดียวกับการคิดค้นหาความจริงของสิ่งที่มีรูปลักษณะยิ่งใหญ่.. คนที่มีอำนาจวาสนา ซึ่งแท้จริงมักจะปรากฏความจริงให้เห็นผ่านสิ่งที่ไร้รูป .. ซ่อนตัวตน จึงจะเข้าถึงความจริงของสิ่งนั้นๆ ได้

พระพุทธศาสนา จึงมีธรรมวิธีในการศึกษาค้นคว้าหาความจริงแท้จากสิ่งที่มองเห็นปรากฏอยู่เบื้องหน้า ด้วยการกระจายรูปลักษณะ .. สภาวธรรมดังกล่าวออกจากกัน เพื่อการค้นหาแก่นสาร.. สาระธรรมในสิ่งนั้นๆ ว่า.. แท้จริงเป็นอย่างไร

ดังการแตกกระจายร่างกายนี้ เพื่อค้นหาตัวตนแท้จริงที่เที่ยงแท้.. ค้นหาความสวยงามที่น่าดูน่าชม ที่ผุดปรากฏอยู่ให้แลเห็นด้วยจักษุ.. ซึ่งเมื่อตรวจค้นหาด้วยวิธีแยกแยะองค์ประกอบ ก็จะเข้าถึงลักษณะความเป็นธรรมดา.. ตามกฎ สามัญลักษณะ ของสิ่งนั้นที่แสดงความเป็นจริงอันมีอยู่ในธรรมชาติ

การเข้าถึงสิ่งหนึ่ง.. เพื่อรู้ให้ถึงในสิ่งหนึ่ง.. เพื่อการไปให้ถึงที่สุดในสิ่งหนึ่ง.. เพื่อความสิ้นไปแห่งสิ่งหนึ่งนั้น.. จึงกลายเป็นคำพูดเชิงปรัชญา.. ของนักคิด.. นักพิจารณา ที่ชอบพูดกันในหมู่ผู้นิยมปรัชญา ที่ พระผู้เฒ่ารูปหนึ่งที่ทรงความรู้อย่างเป็นธรรมดา แปลคำว่า ปรัชญา ไว้ให้น่าชวนคิดพิจารณายิ่ง ด้วยความหมายของ ปรัชญา.. คือ การพูดที่คนอื่นไม่รู้เรื่อง.. หรือรู้เข้าใจได้ยาก ..โดยท่านพูดเน้นย้ำให้ฟังเสมอว่า “ไอ้คำพูดที่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องนั่นแหละ เรียกว่า คำพูดแบบปรัชญา!!”

สมัยนั้น.. เมื่อได้ฟังหลวงปู่กล่าวเช่นนั้น ก็ยังแปลกใจว่า ทำไมท่านแปลอย่างนั้น.. แต่มาวันนี้ เมื่อเห็นอะไรมากขึ้นๆ ในโลกที่รกรุงรังใบนี้ จึงเริ่มเข้าใจ เมื่อได้ฟังบรรดานักคิด.. นักเขียน.. นักวิทยาการทั้งหลาย พากันพูดในสิ่งที่เป็นธรรมดาในโลกนี้ ให้ยุ่งยากสลับซับซ้อน จนรกรุงรังไปด้วยปรัชญาของชาวโลก ที่ส่งผลให้โลกเต็มไปด้วยขยะแห่งความคิด.. โดยเฉพาะในโลกไร้พรมแดนของการสื่อสารในปัจจุบัน

จากความคิดที่รกรุงรัง สู่คำพูดที่ไร้สาระ และการกระทำที่ไร้คุณค่า.. จึงเป็นปรากฏการณ์ปกติของโลกใบนี้.. ที่หากขาดสติปัญญาในการพิจารณา ก็มักจะเป็นไปเช่นนั้น เพื่อสะท้อนความเป็นจริงของธรรมชาติ ที่แสดงความเป็นธรรมดาที่เหนือทุกสรรพสิ่ง..

จึงได้เห็นความเป็นจริงว่า.. หากคนเรามีความเชื่อเป็นอย่างไร ก็ต้องมีความคิดเป็นอย่างนั้น ถ้ามีความเชื่อที่ไม่ตรงธรรม.. ก็จักนึกคิดไปในทางอกุศล.. และจะสื่อสารด้วยคำพูดที่ไร้สาระ.. เป็นประจักษ์พยาน ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่.. จะมีฐานะความรู้เป็นอย่างไร ก็จะเป็นไปเฉกเช่นเดียวกัน

การพัฒนาจิต.. การพัฒนาความคิดนึก.. เพื่อสร้างความสำนึกที่ถูกต้อง จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งต่อการเรียนรู้เพื่อการฝึกอบรมจิต ให้รู้จักคิดนึกอย่างมีสาระ.. ...ที่จะนำไปสู่การพูดที่มีสาระ.. เพราะ เมื่อมีการคิดนึกที่ถูกต้องตามคลองธรรม ย่อมจักนำไปสู่การพูดคำจริง.. การพูดคำที่ถูกต้อง และการพูดคำที่เป็นประโยชน์ เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น.. โดยหากจะให้เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่นนั้น จะเลือกกาลที่ควรจะพูด.. โดยคำนึงถึงความจริงและความถูกต้องเป็นสำคัญ..

กลับมาพิจารณาดูเรื่องราวในสังคมบ้านเมือง ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา.. ของแวดวงการเมือง พบข่าวมีการยุบพรรคการเมือง.. ที่นำไปสู่การพูดจาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ซึ่งมีทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในหมู่สาธารณชน.. ที่นับเป็นเรื่องธรรมดาของสังคมการเมืองในระบอบประชาธิปไตย

แต่บนเส้นทางของความเป็นจริงในธรรมชาติของชีวิต ที่ต้องดำเนินไปภายใต้กฎเกณฑ์ของกรรมนั้น “..การกระทำใดๆ ไม่ว่า คิด พูด หรือทำ.. ย่อมต้องให้ผลต่อเจ้าของผู้กระทำนั้น อันเป็นไปตามเจตนาของเจ้าของการกระทำนั้นเสมอ..”

ยิ่งได้เห็นข่าวแผ่วงกว้างไปสู่สถาบันการศึกษาที่ออกมาเชื่อมโยงกับการเมือง สังคม จึงให้น่าเป็นห่วงต่อการแสดงออกทางความรู้สึกนึกคิด.. ที่นำไปสู่การพูดจาวิพากษ์วิจารณ์เพื่อต้องการความเป็นธรรม ด้วยการพูด.. การกระทำ ที่ไร้ความชอบธรรม

แน่นอน.. ในกระบวนการทางสังคมภายใต้กฎหมาย อาจจะกระทำได้ในระดับหนึ่ง.. แต่ในทางกฎแห่งกรรมนั้น ทุกอย่างต้องยุติธรรมเสมอในทุกกาลสมัย

จริงๆ แล้ว หากทุกฝ่ายเคารพในการใช้ นิติให้เป็นธรรม.. โดยเคารพถึง ความยุติธรรม แท้จริง.. ทุกสิ่งทุกอย่าง.. ทุกเรื่องทุกราว ย่อมมีจุดบรรจบลงตัวที่ธรรม.. นั่นหมายถึง สมาชิกในสังคมนั้นๆ ต้องยกธรรมขึ้นเป็นใหญ่ อย่างเสมอกัน.. ไม่ใช่เสมอกู!

แต่หากคนในสังคม.. แม้เพียงส่วนหนึ่งปฏิเสธกฎเกณฑ์กรรม.. ไม่เคารพกฎของธรรม.. ไม่เชิดชูความยุติธรรมให้ปรากฏในสังคม.. ความขัดแย้งก็ย่อมจักเกิดขึ้น และหากยิ่ง ไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ด้วยปฏิเสธกฎเกณฑ์ธรรม และเรียกร้องกฎเกณฑ์ใหม่ที่ผิดเพี้ยนไปจากธรรม ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ.. การขยายพลังความขัดแย้ง.. พลังการทำลาย ก็ย่อมจักเกิดขึ้น ดังที่มีการพยายามจุดประกายขยายปัญหาให้แผ่กว้างออกไป ด้วยการสื่อสารผ่านการพูดสู่การคิดนึก.. และแปลงรูปกลับมาเป็นการกระทำ เพื่อสนองตอบความคิดนึกนั้น.. ที่ออกจะขัดแย้งกับกฎเกณฑ์ของธรรม...

แต่อย่างไรก็ตาม.. หากความพยายามของคนเราต้องเข้าไปต่อสู้กับอำนาจแห่งธรรม.. ที่สุดก็ย่อมจักพ่ายแพ้ นำโทษภัยกลับคืนมาสู่คนผู้กระทำเสมอ เพราะความเป็นจริงที่ท้าทายต่อการพิสูจน์อย่างหนึ่ง คือ ยังไม่มีใครสักคนในโลกนี้ ที่เอาชนะกฎเกณฑ์กรรม.. กฎเกณฑ์ธรรมชาติได้เลย...... นี่เป็นสัจธรรม!!

พระพุทธศาสนา.. จึงมีหลักธรรมคำสั่งสอนให้เข้าใจ เข้าถึง ความจริงที่มีอยู่ในธรรมชาติ.. เพื่อนำมาเป็นความรู้ที่ถูกต้องตรงธรรม.. ในการพัฒนาชีวิตให้เป็นไปโดยธรรม.. ไม่ใช่ขัดแย้งกับธรรม

คำสั่งสอนในพระพุทธศาสนา จึงไม่แนะนำไปในการ นึก คิด พูด ทำ ที่ไร้สาระ.. เป็นบาปอกุศล ไม่ว่าจะด้วยเพราะเหตุใดๆ.. เรียกว่า ไม่มีข้ออ้างเพื่อจะทำชั่วแม้เพียงสักครั้ง.... ดังปรากฏคำสั่งสอนที่ว่า..

เขาด่ามา .. อย่าด่าตอบ .. แต่พึงตั้งใจศึกษา

เขาว่ามา .. อย่าว่าตอบ .. แต่พึงอดทนศึกษา

เขาโกรธมา .. อย่าโกรธตอบ .. แต่พึงตั้งมั่นรู้เท่าทัน

เขาทำร้ายมา .. อย่าทำร้ายตอบ .. แต่พึงตั้งอยู่ในความเพียรชอบ

แม้เขาฆ่าเรา .. เราก็อย่าพึงฆ่าเขา .. พึงยกธรรมเป็นใหญ่..

จากแนวคิดดังกล่าว.. จึงเห็นได้ว่า พระพุทธศาสนาสอนให้เราเอาชนะด้วย สันติวิธี .. ธรรมวิธี ยึดหลัก ธรรมวินัย.. ไม่ใช่ สังคามวิชัย คือชัยชนะด้วยการทำร้ายทำลายกัน....

จึงควรอย่างยิ่ง.. ที่นักการเมือง ผู้ปกครอง ผู้บริหารบ้านเมือง.. ตลอดจนถึงครูบาอาจารย์ในสถานศึกษา จะได้ช่วยกันแนะนำสั่งสอนให้เด็กๆ เยาวชน.. นักศึกษา และประชาชน ได้มีสติปัญญา.. รู้จักคิดพิจารณา.. ด้วย การเข้าใจในกฎธรรมชาติ.. กฎความจริงของชีวิต.. เพื่อกลับมาใช้หลัก “สันติวิธี-ธรรมวิธี” ในการต่อสู้ เพื่อการชนะ.. ด้วยชัยชนะที่เป็นธรรม.. ที่สามารถเอาชนะใจสังคม.. มหาชนได้จริง

ที่สำคัญยิ่ง คือ พึงเปลี่ยนแปลงการเรียกร้อง เรียกหา ให้กลับมาเป็น การร่วมกันสร้างสรรค์ ร่วมกันทำ.. ที่นำไปสู่ความจริง.. ที่เป็นจริง ได้อย่างแท้จริง!!.

เจริญพร

dhamma_araya@hotmail.com

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อุทธัจจะ .. ในวังวนแห่งการตื่นธรรม .. ยุคไอที!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระรัตนตรัย... สัทธายะ ตะระติ โอฆัง.. บุคคลข้ามโอฆะได้ด้วยศรัทธา.. โอฆะ หมายถึง ห้วงน้ำ ที่มีกระแสเชี่ยวกราก พัดพาสัตว์ทั้งหลายให้ตกไปในกระแสน้ำนั้น ยากจะข้ามฝั่งไปได้

คำนูณ ผ่าปม 2 ได้ 3 เสีย ถ้าไม่ยกเลิก MOU 2544

ความเคลื่อนไหวและการแสดงความคิดเห็นเรื่อง MOU 2544 ที่เชื่อมโยงถึงเกาะกูด, การหาแหล่งพลังงานแห่งใหม่ในพื้นที่อ้างสิทธิไทย-กัมพูชา ที่มีการประเมินกันว่ามีมูลค่าสูงถึง 10 ล้านล้านบาท ยั

'แก้วสรร' แพร่บทความ 'นิติสงคราม' คืออะไร?

นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ อดีตรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ออกบทความเรื่อง “นิติสงคราม” คืออะไร???

อย่าได้ประมาทในธรรม.. “เมื่อใจตรง .. จะตรงใจ”..

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา.. เดินทางกลับมาจากอินเดีย เมื่อ ๗ พ.ย.๒๕๖๗.. ถึงกรุงเทพฯ ๘ พ.ย.๒๕๖๗ หลังจากไปร่วมประชุม “The First Asian Buddhist Summit 2024” ที่นิวเดลี งานนี้จัดโดยกระทรวงวัฒนธรรมและท่องเที่ยวของรัฐบาลอินเดีย

ขึ้นต้นก็(เขียน)ผิดแล้ว ! ว่าด้วยเส้น “ละติดจูด” ที่ 11° “E” ในเอกสารแนบท้าย MOU 2544

เขียนและพูดเรื่อง MOU 2544 มาหลายปี หลากมุมมอง ล่าสุดช่วงนี้ก็จำแนกข้อดีข้อเสีย รวมทั้งส่วนที่จะได้และส่วนที่จะเสียหากเจรจาสำเร็จ ล้วนหนัก ๆ ทั้งนั้น .