“ทำไม “ความขยันโง่ๆ”.. จึงปรากฏมากขึ้น..” ที่นี่มีคำตอบ!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา มีพุทธภาษิตกล่าวไว้สอนใจเราทั้งหลาย ว่า..

 “..โมหะ (ความหลง, ความโง่เขลา) .. เกิดจากความคิดเห็นที่ผิด ไม่ได้ใช้ปัญญาไตร่ตรองหรือพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ไม่รู้ดี ไม่รู้ชั่ว ไม่รู้บาปบุญคุณโทษ

คนที่มีจิตโมหะ.. จักเป็นคนมีความคิดมืดมนลุ่มหลง.. ผู้หลงจึงไม่รู้อรรถ.. ผู้หลงจึงไม่เห็นธรรม..

ความลุ่มหลงครอบงำคนใด เมื่อใด ความมืดมิดย่อมมี เมื่อนั้น..”

เมื่อพิจารณาตามธรรมของสภาวโมหะ.. จะเห็นได้ว่า เมื่อไรที่เราถูกโมหะครอบครองจิต.. จิตใจของเราจะเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสของความมืดมน เฉื่อยชา มึนงง ลุ่มหลง..

จะเป็นคนที่ไม่มีเหตุผล.. หลงเชื่อในสภาวธรรมที่ไร้สัจจะว่าเป็นสัจจะ.. ยึดถืออำนาจปรุงแต่งทาง ไสยศาสตร์ เหนือ พุทธศาสตร์

เชื่อมั่นยึดถือในอิทธิฤทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์ จากวัตถุ สิ่งของ บุคคล.. แม้ต้นไม้ใบหญ้า เศษเหล็ก ก้อนกรวด ที่ถูกปลุกเสกขึ้นให้มีพลังตามมายาของจิต.. ที่ปรุงแต่งด้วยฤทธิ์ของกิเลสที่ห่อหุ้มจิตจนเกิดอาการโง่เขลาเบาปัญญา ลุ่มหลงให้เข้าไปยึดถือ วัตถุ สิ่งของ เหนือพระสัจธรรม.. จนแปลงค่าความลุ่มหลง โง่เขลา ตามแนวไสยศาสตร์ ให้เชื่อมั่นอย่างเอาเป็นเอาตาย.. แม้จะให้ทำอะไร.. จะต้องเสียเงินเสียทองเปลืองตัวมากเท่าไร ก็ยอม

โมหจิต.. ที่เกิดขึ้น จึงทำให้คนคนนั้น เป็นคนหูเบา, หูหนวก ใครพูดอะไรก็เชื่อในคำพูดที่ไร้สัจจะ.. แต่คำพูดใดที่เป็นสัจจะ กลับหูหนวก ไม่ได้ยิน.. ไม่ยินดีสดับ..

คนลักษณะประเภทนี้ แม้จะนั่งฟังพระสงฆ์แสดงธรรม ก็ยากที่จะฟังรู้เรื่อง ด้วย โมหะกิเลสที่ปกปิดจิต เสมือนน้ำเปื้อนโคลนตม ที่นำไปวางไว้ในมุมมืด.. ที่บดบังความใสของน้ำเสียสิ้น..

โมหจิต.. จึงก่อเกิดขึ้น เพื่อทำหน้าที่ปกปิดปัญญา เพื่อไม่ให้จิตรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง มีความหลงผิด มีความเข้าใจผิดเป็นลักษณะ..

คนพวกนี้ แม้จะพูดคุยด้วย ก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง.. แม้จะอธิบายอย่างตั้งใจด้วยมธุรสวาจา.. ที่บริบูรณ์ด้วยสัจธรรม ก็ยากที่จะให้ซาบซึ้งจิตรับสัมผัสเสียงแห่งธรรมที่ทรงอานุภาพ ที่เรียกว่า “สัททธรรม” (สัททะธัมมะ) จึงอย่าได้กล่าวถึง ความรู้ ความเข้าใจ ในธรรมที่ลุ่มลึกนั้นเลย

จึงได้เห็นปรากฏการณ์หลังฟังธรรม บ่อยครั้ง เมื่อถามไปถึงสาระธรรมที่แสดง.. บุคคลเหล่านี้จะถามกลับมาว่า.. อะไรนะ.. เรื่องอะไรหรือ.. ฟังไม่รู้เรื่องเลย.... พูดไม่เข้าใจ.. ลึกซึ้งเกินไป.. โอ้!! .. ธรรมชั้นสูง. ยากนัก!!...

ในสังคมของมนุษยชาติ.. จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเลือกผู้นำ ผู้ปกครอง ผู้บริหารบ้านเมือง ที่มีปัญญา.. ไม่ตกอยู่ภายใต้ของ โมหจิต หรือ โมหมูลจิต คือ จิตที่มีโมหะเป็นมูล.. เป็นเหตุ ..เป็นประธาน

เพราะหากสังคม ประเทศชาติ ได้คนพวกนี้มาเป็นผู้นำ ผู้ปกครอง.. สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา คือ การคิดผิด.. การทำผิด จากการหลงผิด การเข้าใจผิด.. ไม่ตรงธรรม

การกระทำของบุคคลที่ประกอบด้วยโมหจิตเหล่านี้ จึงเป็นธรรมดาที่จะชักนำสังคม ประเทศชาติ ไปในทางที่ไม่มีสาระ ไม่มีประโยชน์

เรื่องดีๆ .. เรื่องเป็นธรรม.. เป็นประโยชน์ ให้ความสุขแก่หมู่ชน ประเทศชาติ.. คนพวกนี้จะไม่คิดทำ.. จะไม่คิดพูด.. จะไม่สนับสนุน ส่งเสริม แม้ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม

หากจะคิดทำ คิดพูด.. ก็จะเป็นเรื่องที่คนดีๆ เขาไม่คิดทำ.. ไม่คิดพูดกัน.. คือ เรื่องไร้ประโยชน์โดยธรรม

ที่สำคัญ คือ ความไม่เข้าใจ.. ความไม่รู้.. และขาดความรู้ที่ถูกต้องเป็นธรรม.. แม้ในสาระธรรมทางโลก ที่ยากจะเข้าใจว่า อะไรคือ Soft Power.. อะไรคือ Hard Power.. เรียกว่า เข้าข่ายไม่รู้เหตุ ไม่รู้ผล ตามความเป็นจริง แปลพอให้เข้าใจว่า.. เป็นการรู้โดยประการอื่นซึ่งตรงข้ามกับความเป็นจริง

“การเห็นผิดเป็นชอบ เห็นสิ่งไม่ควรว่าควร..” .. นับเป็น Character ของคนพวกนี้.. จึงอย่าได้แปลกใจ หากจะเห็นการคิดอ่านที่มัวเมาไปตามกระแสโลกและกิเลส.. จนขาดความยั้งคิด.. ยั้งทำ ในวิถีคุณธรรม..ความดี

โมหจิต .. จึงเป็นเรื่องราวหน้าหลักในชีวิตของเราทั้งหลายที่ควรเรียนรู้ เพื่อการเข้าใจตนเองและเข้าใจผู้อื่น อย่างเป็นธรรม.. จะได้ละจากการดูถูกดูแคลน เหยียบย่ำซ้ำเติม กันและกัน.. คำนึงอยู่เสมอว่า.. เราและเขาก็พอๆ กัน หากขาดการเจริญสติปัญญา..

ดังนั้น จึงควรทำความเข้าใจในลักษณะของจิตประเภทนี้ คือ โมหจิต ว่าจะต้องเป็นจิตที่เกิดขึ้นพร้อมความเฉยๆ .. คล้ายเป็นคนมีอุเบกขา.. ไม่ยินดียินร้ายในสุขทุกข์ที่เกิดขึ้น จริงๆ แล้ว.. เป็นอาการของความมึนงง.. กับสภาวธรรมที่ปรากฏอย่างไม่รู้ไม่เข้าใจในธรรม และมีความสงสัยประกอบอยู่ใน... โมหจิต ขณะนั้น จึงมีความหลงผิดเป็นหลักสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เมื่อมาผสมผสานกับความลังเลสงสัยและความไม่มั่นใจ จึงทำให้เกิดความไม่ยินดียินร้ายขึ้น ที่มีสภาพอุเบกขาเวทนา ให้แสดงออกด้วยอาการรู้สึกเฉยๆ .. หมายถึง เฉยแบบโง่ๆ .. เรียกตามคำพระว่า.. อัญญานุเบกขา

พวกผู้นำ ผู้ปกครอง.. ผู้บริหารองค์กรของมหาชน ที่มีจิตใจประเภทนี้ จึงน่ากลัวมาก.. โดยเฉพาะการนำองค์กร.. สังคม ประเทศชาติ ไปสู่ความหายนะ ฉิบหาย เสื่อมสูญ...

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสิ่งที่น่ากลัวในหมู่คนเรา คือ ความโง่ ความเขลาเบาปัญญา.. แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้น คือ ความขยันของคนโง่.. ที่คนเราชอบพูดกันว่า.. โง่แล้วยังขยัน..

คนประเภทนี้เข้าข่ายป่วยไข้ทางจิต ที่เรียกว่า โรคจิตเภท (Schizophrenia) ซึ่งเป็นโรคที่แสดงความผิดปกติทางการรับรู้.. มีความผิดปกติทางบุคลิกภาพ.. มีความผิดปกติทางความคิด คนประเภทนี้มีความคิดและการรับรู้ไม่ตรงกับความเป็นจริง.. ส่งผลเสียต่อการดำเนินชีวิตของตนที่สัมพันธ์กับสังคม สิ่งแวดล้อม.. อย่างผิดพลาดคลาดไปจากธรรม

สอดคล้องกับทางพุทธศาสตร์.. ที่จำแนกจิตประเภทนี้เข้าในฐาน โมหมูลจิต ที่ประกอบด้วย ความฟุ้งซ่าน (อุทธัจจเจตสิก) มีความคิดซัดส่ายไปในอารมณ์ต่างๆ อย่างขาดหลักยึด ไม่สงบ.. วุ่นวายใจ.. คนพวกนี้จะมีอาการเหม่อลอย เซื่องซึม แฝงอยู่ใน วิถีชีวิต​ .. ซึ่งในบางบุคคลอาจจะถูกกลบเกลื่อนอยู่ด้วยอารมณ์ที่ปรับเปลี่ยนไปมา.. แต่หากสังเกตไปในดวงตา จะเห็นอาการจิตเหม่อลอยแฝงอยู่.. ที่แสดงอาการชัดเจนว่า.. ไปเสียแล้ว!!

จิตประเภทนี้ (โมหมูลจิต + อุทธัจจเจตสิก) หากเกิดติดต่อกันไปนานๆ จะทำให้ขาดสติในระยะยาว จนเกิดปรากฏการณ์ เสียสติ ที่เข้าขั้น อาการบ้า เนื่องจากมีอาการฟุ้งซ่านมานาน อันเกิดจากการขับส่งจิตปรุงแต่งไปตามกระแสโลก โดยเฉพาะในโลกกระแสไอทีปัจจุบัน

อัญญานุเบกขา .. จึงเป็นอาการเกิดขึ้นบ่อยๆ ที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่ขาดปัญญา.. มากไปด้วยวิจิกิจฉา.. ที่เข้าไปสนับสนุนด้วยโมหกิเลส.. จึงแสดงออกทางจิตในลักษณะ เฉยๆ ไม่รู้เรื่อง.. เฉยๆ ไม่เอาเรื่อง.. เฉยๆ ไม่ได้เรื่อง.. เป็นต้น

จึงเห็นอากัปกิริยาของคนพวกนี้.. ที่ออกอาการสับสนกับการแสดงออกด้วยการ คิด พูด ทำ.. ที่แม้ตนเองยังสับสนในตนเอง ว่า.. คิด พูด ทำ อะไร!?.. จนตนต้องอุทานออกมาว่า.. เวรกรรมถึงขนาดนี้เหรอ!! เมื่อได้สติ.. ซึ่งแตกต่างจากการวางเฉยอย่างมีปัญญา.. คือ อุเบกขาธรรม ที่จะแสดงออกถึงการวางตัวอย่างเหมาะสม พอดี ไม่เบี่ยงไปทางรักและชัง..

การวางตัวของผู้นำ ผู้ปกครอง.. ผู้บริหารราชการแผ่นดิน.. ที่ต้องเป็นแบบอย่างของมหาชน.. จึงต้อง เฉยอย่างมีธรรม (อุเบกขาธรรม) ไม่ใช่เฉยโง่.. ที่นำไปสู่ความขยันโง่.. จนได้ชื่อว่า มีวุฒิภาวะไม่เหมาะสม.. ทำอะไรตามใจตนจนน่าเกลียด.. ด้วยเสรีภาพของโมหะที่ไร้อารยธรรม แม้ในที่สุด การแต่งเนื้อแต่งตัว.. การวางตัว ที่จะรู้จัก กาลเทศะ ตามฐานะ บทบาท หน้าที่ ตำแหน่ง ของตนที่มีต่อ สังคม ประเทศชาติ.. และมหาชน

นอกจาก โมหจิต ที่ประกอบด้วย ความลังเลสงสัย.. ความไม่มั่นใจ.. แล้วนั้น อีกประการหนึ่งที่จะเกิดขึ้น คือ.. อาการทางจิต ที่ออกอาการไม่ค่อยรู้สึกรู้สา.. ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย.. ไม่รู้ร้อนรู้หนาว จนก่อเกิดอาการ จิตเฉยโง่ แบบเที่ยงแท้ แบบไร้สำนึกรู้ชอบ.. ที่นับเป็นภัยร้ายอย่างยิ่งทั้งต่อตนเองและผู้อื่น

นอกจากโมหจิตประกอบด้วยวิจิกิจฉาแล้วนั้น.. โมหจิต อีกดวงหนึ่ง คือ อาการหลงผิด เข้าใจผิดของจิต ที่ประกอบด้วย ความฟุ้งซ่าน (อุทธัจจะ) ซึ่งจะก่อเกิดอาการฟุ้งซ่าน มีความคิดซัดส่ายไปในอารมณ์ต่างๆ ไม่สงบใจ วุ่นวายใจอยู่มาโดยตลอด.. ที่เด็กๆ คนยุคสมัยใหม่ในโลกวัตถุนิยมจะนิยมเป็นกันมาก ที่เรียกกันเบาๆ ว่า “โรคสมาธิสั้น” ซึ่งจริงๆ แล้ว คือ อาการโมหจิต ที่รุนแรงเข้าขั้นขาดสติระยะยาว.. ซึ่งหากปล่อยไปนาน จะเป็นโทษอย่างยิ่งต่อจิตประเภทนี้ ที่ประกอบด้วยความหลงผิด (โมหะ) สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เป็นพวก โมหจิต ที่ยากต่อ การฟังธรรม.. เรียนรู้ธรรม.. ปฏิบัติธรรม.. ที่แสดงออกโดยอาการไม่มีสมาธิ.. ที่ในปัจจุบันเรียกกันว่า “สมาธิสั้น” .. ซึ่งจะเป็นจิตที่มีสภาพปราศจากความยินดียินร้ายต่อสิ่งเร้าใดๆ ด้วยจิตมีสภาพโมหะบวกอุเบกขาเวทนา.. ที่เรียกว่า “เฉยโง่” (อัญญานุเบกขา) ด้วยเหตุแห่งความฟุ้งซ่านของจิต ที่ซัดส่ายไปในอารมณ์ต่างๆ ที่เข้าไปเสพอย่างไร้การพักผ่อน.. ไม่รู้จักพักจิต เคร่งเครียดเกินไป จนจิตมีกำลังอ่อน และอ่อนที่สุด.. จนยากจะตั้งอยู่ในความเป็นกุศลจิตได้

จิตประเภทนี้ จะไม่ละอายต่อบาป.. จะไม่เกรงกลัวผลของบาป.. และจะขยันในทางโง่.. เฉยในทางธรรม.. ไม่ยินดีในคุณธรรมความดี รู้หลากหลายแต่ไร้ประโยชน์.. คิดนึกทำได้ทุกเรื่อง แต่ไม่เป็นเรื่อง.. ไม่มีสาระประโยชน์ “พวกนี้ เรื่องดีๆ จะไม่ทำ.. แต่จะทำแต่เรื่องไม่ดี ไร้ประโยชน์ต่อมหาชน.. สังคมมนุษยชาติ..” ​จึงควรยิ่งที่สาธุชนควรจะทำความเข้าใจในอาการของโมหจิต.. ภัยร้ายที่นำไปสู่ อาการโง่แล้วขยัน!!.

 

เจริญพร

dhamma_araya@hotmail.com

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดร.วิรไท อดีตผู้ว่าฯ ธปท. ดิจิทัลวอลเล็ต กับค่าเสียโอกาส ทำนโยบายสาธารณะต้องรอบคอบ

รัฐบาลของ "แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี" อยู่ในช่วงกำลังจัดตั้งคณะรัฐมนตรีเพื่อรอการเข้าบริหารประเทศอย่างเป็นทางการ โดยหนึ่งในโจทย์ใหญ่ที่รอรัฐบาลอยู่ก็คือ

“ทศพิธราชธรรม”.. อำนาจธรรม... ต้องเคารพ!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา ระหว่าง วันที่ ๑๘-๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๗ ได้รับนิมนต์จากวัดป่าญาณสัมปันโนอารยาราม (ธ) อ.เชียงแสน จ.เชียงราย และจากฝ่ายปกครองอำเภอเชียงแสน .. แม่สาย .. แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ในโครงการร้อยใจธรรม ...

ณัฐพงษ์ หน.พรรคประชาชน ฝ่ายอนุรักษนิยม อย่าระแวงเรา กับจุดยืน 'สถาบันฯ-แก้ 112'

บทบาทของ "พรรคประชาชน" พรรคการเมืองที่ขึ้นมารับไม้ต่อจากพรรคก้าวไกล ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคไป นับจากนี้ถือว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง

ความยุติธรรม .. สร้างได้ .. หากเข้าใจ (สาระธรรม)!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา ฤดูกาลฝนแม้เพิ่งเริ่มต้น กาลจำพรรษาแม้เพิ่งเข้าสู่ช่วงแรกของไตรมาส แต่สภาวธรรมที่ปรากฏไม่ได้อ่อนด้อยจืดจางลงไปเลย มิหนำซ้ำกลับเข้มข้นในการแสดงออกถึงความเป็นธรรมชาติของดินฟ้าอากาศ ที่พร้อมใจกัน แสดงพลังสัจธรรมว่า.. “อำนาจแห่งความจริงเหนืออำนาจความนึกคิดปรุงแต่งเสมอ..”

ศาลรธน.กับคำตัดสินอันตราย ยุบ ”ก้าวไกล” สร้างดาบสองคม เอาผิดยาก 44 ส.ส.เสนอแก้ 112

แม้ตอนนี้ พรรคก้าวไกล ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคก้าวไกลและตัดสิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลเป็นเวลาสิบปีไปเมื่อ 7 ส.ค.

อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรคการเมืองและความจำเป็นในการคุ้มครองการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของไทยที่มิใช่ความคิดกษัตริย์นิยมล้นเกิน

เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ที่ผ่านมาได้มีการแถลงการณ์ปิดคดีนอกศาล โดยหัวหน้าพรรคก้าวไกลและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งมีการชี้แจงเนื้อหาและสรุปข้อต่อสู้ในเอกสารคำแถลงปิดคดีที่พรรคก้าวไกลได้ส่ง